ชนม์นิธิศ ไชยสิงห์ทอง ส่วนเศรษฐกิจต่างประเทศ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย
ท่ามกลางวิกฤติโควิด 19 ปัญหา supply chain disruption เป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตาอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในหลายประเทศไม่เพียงส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคบริการเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทานอีกด้วย ตั้งแต่การผลิตสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงผู้บริโภค โดยปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อเช่นเดียวกับวิกฤตโควิดที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจและอธิบายถึงสาเหตุของปัญหา supply chain disruption เพื่อพยายามหาคำตอบว่าปัญหาจะเริ่มคลี่คลายเมื่อไหร่ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจมีมากน้อยเพียงใด
ปัญหา supply chain disruption เกิดจากอะไร?
ปัญหา supply chain disruption เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลในหลายประเทศต้องออกมาตรการเว้นระยะห่างเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้โรงงานหลายแห่งถูกปิดหรือดำเนินการได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ทำให้ผลิตสินค้าได้ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤต อาทิ เวชภัณฑ์ ถุงมือยาง และ เซมิคอนดักเตอร์ อีกทั้งภาคการขนส่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเช่นกัน อาทิ การปิดท่าเรือในจีน การใช้มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานของภาคการผลิตเกิดภาวะชะงักงัน และทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเป็นปัญหาระดับโลก
1) กระแส work from home หรือ learn from home ทำให้ความต้องการสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น อาทิ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน
2) ความต้องการซื้อรถยนต์ฟื้นตัวเร็วกว่าที่ผู้ผลิตคาด ส่วนหนึ่งจากที่รถยนต์ส่วนบุคคลกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นเพื่อลดการเดินทางโดยรถสาธารณะ ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ปรับลดการสต๊อกสินค้าในช่วงแรกของการแพร่ระบาดจากความกังวลต่อกำลังซื้อที่จะลดลง แต่ความต้องการซื้อรถยนต์ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ทำให้ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกใช้ในส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ อาทิ แผงหน้าปัด เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ขาดแคลนไปทั่วโลก
เซมิคอนดักเตอร์กลายเป็นสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (รูปที่ 2) ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตและขนส่งสินค้าได้ทันตามความต้องการของตลาดโลก ส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น
1)การขาดแคลนคนขับรถบรรทุกในอังกฤษ สหรัฐฯ และยุโรป (รูปที่ 4) ส่งผลกระทบให้ปัญหาในภาคขนส่งคลี่คลายได้ช้าลงและตู้คอนเทนเนอร์ยังคงตกค้างต่อเนื่อง โดยปัญหาค่อนข้างที่จะรุนแรงในอังกฤษ หลังจากอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้ขาดแคลนแรงงาน
2)การขาดแคลนไฟฟ้าของจีนจากนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ภาคการผลิตได้รับผลกระทบมากขึ้น
ปัญหาจะเริ่มคลี่คลายได้เมื่อไหร่?
ปัญหา supply chain disruption ที่รุนแรงในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อและต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณที่ช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว ได้แก่
1) Ease of Supply
การผ่อนคลายมาตรการ: ในช่วงที่ผ่านมาหลายประเทศเร่งการฉีดวัคซีน และได้ทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ทำให้ภาคการผลิตกลับมาดำเนินการได้มากขึ้นโดยเฉพาะในอาเซียน สะท้อนจากดัชนี PMI manufacturing ที่ปรับดีขึ้น (รูปที่ 5)
2 Shift of Demand
การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในหลายประเทศ และการใช้มาตรการ Living with Covid ทำให้การใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้ามีแนวโน้มลดลง และเปลี่ยนแปลงไปใช้จ่ายในด้านการบริการมากขึ้น โดยอุปสงค์ของสินค้าที่ลดลงจะช่วยลดการกดดันปัญหาการขนส่งในช่วงที่ผ่านมาได้
ปัจจัยข้างต้นสะท้อนว่า supply chain disruption เข้าใกล้หรืออยู่ในระดับพีคแล้ว แต่ปัญหาดังกล่าวจะยังมีแนวโน้มยืดเยื้อไปอีกสักระยะ เนื่องจากหลายปัจจัยยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่าจะทยอยคลี่คลายได้ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม ปัญหา supply chain disruption มีความเสี่ยงที่จะกลับมารุนแรงเพิ่มขึ้นได้จาก
1) ความต้องการสินค้าที่จะปรับเพิ่มขึ้นในเทศกาลคริสต์มาส และตรุษจีน โดยอาจจะมีการจองตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขนส่งสินค้ามากขึ้นเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและเร่งขนส่งก่อนจะถึงช่วงวันหยุดยาว ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้นอีก
2) การแพร่ระบาดระลอกใหม่และการใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มขึ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะจีนที่เป็นประเทศที่ใช้นโยบาย Zero -Tolerance Covid และเป็นประเทศที่มีท่าเรือการขนส่งที่สำคัญของโลก
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย