ThaiPublica > คอลัมน์ > Supply Chain Disruption ความรุนแรงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

Supply Chain Disruption ความรุนแรงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

7 ธันวาคม 2021


ชนม์นิธิศ ไชยสิงห์ทอง ส่วนเศรษฐกิจต่างประเทศ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย

ท่ามกลางวิกฤติโควิด 19 ปัญหา supply chain disruption เป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตาอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในหลายประเทศไม่เพียงส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคบริการเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทานอีกด้วย ตั้งแต่การผลิตสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงผู้บริโภค โดยปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อเช่นเดียวกับวิกฤตโควิดที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่

บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจและอธิบายถึงสาเหตุของปัญหา supply chain disruption เพื่อพยายามหาคำตอบว่าปัญหาจะเริ่มคลี่คลายเมื่อไหร่ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจมีมากน้อยเพียงใด

ปัญหา supply chain disruption เกิดจากอะไร?

ปัญหา supply chain disruption เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลในหลายประเทศต้องออกมาตรการเว้นระยะห่างเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้โรงงานหลายแห่งถูกปิดหรือดำเนินการได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ทำให้ผลิตสินค้าได้ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤต อาทิ เวชภัณฑ์ ถุงมือยาง และ เซมิคอนดักเตอร์ อีกทั้งภาคการขนส่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเช่นกัน อาทิ การปิดท่าเรือในจีน การใช้มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานของภาคการผลิตเกิดภาวะชะงักงัน และทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเป็นปัญหาระดับโลก

  • ความรุนแรงของปัญหา supply chain disruption ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2020 แม้ปัญหาภาคผลิตจะมีสถานการณ์ปรับดีขึ้นบ้างหลังจากการแพร่ระบาดระลอกแรกเริ่มคลี่คลายลง โดยโรงงานต่าง ๆ สามารถทยอยกลับมาเปิดดำเนินการได้มากขึ้น และเร่งการผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การใช้จ่ายชะลอลงในช่วงก่อนหน้า แต่ปัญหาในด้านการขนส่งกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยยังมีปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างที่ท่าเรือนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ซึ่งเมื่ออุปสงค์กลับมาเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาค่าขนส่งของตู้คอนเทนเนอร์ปรับสูงขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2020 (รูปที่ 1)
  • เซมิคอนดักเตอร์เป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบชัดเจน เนื่องจากมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการสินค้าในกลุ่มเวชภัณฑ์และถุงมือยางทยอยกลับสู่ปกติสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยความต้องการสินค้าเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้น จาก 2 ปัจจัย ได้แก่
  • 1) กระแส work from home หรือ learn from home ทำให้ความต้องการสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น อาทิ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน
    2) ความต้องการซื้อรถยนต์ฟื้นตัวเร็วกว่าที่ผู้ผลิตคาด ส่วนหนึ่งจากที่รถยนต์ส่วนบุคคลกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นเพื่อลดการเดินทางโดยรถสาธารณะ ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ปรับลดการสต๊อกสินค้าในช่วงแรกของการแพร่ระบาดจากความกังวลต่อกำลังซื้อที่จะลดลง แต่ความต้องการซื้อรถยนต์ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ทำให้ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกใช้ในส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ อาทิ แผงหน้าปัด เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ขาดแคลนไปทั่วโลก

    เซมิคอนดักเตอร์กลายเป็นสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (รูปที่ 2) ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตและขนส่งสินค้าได้ทันตามความต้องการของตลาดโลก ส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น

  • การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าทำให้ปัญหา supply chain disruption รุนแรงและยืดเยื้อมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2021 หลายประเทศกลับมาใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น ประกอบกับเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้ภาคการผลิตดำเนินการได้ไม่เต็มกำลังการผลิต โดยเฉพาะในอาเซียน อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม และไทย อีกทั้งจีนได้สั่งปิดท่าเรือหนิงโปว-โจวซาน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งส่งผลต่อภาคการขนส่งสินค้าทั่วโลก โดยราคาตู้คอนเทนเนอร์ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 เท่า และระยะเวลาในการขนส่งสินค้าปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (รูปที่ 3)
  • นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ซ้ำเติมปัญหา supply chain disruption ให้ยืดเยื้อกว่าเดิม อาทิ
    1)การขาดแคลนคนขับรถบรรทุกในอังกฤษ สหรัฐฯ และยุโรป (รูปที่ 4) ส่งผลกระทบให้ปัญหาในภาคขนส่งคลี่คลายได้ช้าลงและตู้คอนเทนเนอร์ยังคงตกค้างต่อเนื่อง โดยปัญหาค่อนข้างที่จะรุนแรงในอังกฤษ หลังจากอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้ขาดแคลนแรงงาน
    2)การขาดแคลนไฟฟ้าของจีนจากนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ภาคการผลิตได้รับผลกระทบมากขึ้น
  • ปัญหาจะเริ่มคลี่คลายได้เมื่อไหร่?

    ปัญหา supply chain disruption ที่รุนแรงในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อและต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณที่ช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว ได้แก่

    1) Ease of Supply
    การผ่อนคลายมาตรการ: ในช่วงที่ผ่านมาหลายประเทศเร่งการฉีดวัคซีน และได้ทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ทำให้ภาคการผลิตกลับมาดำเนินการได้มากขึ้นโดยเฉพาะในอาเซียน สะท้อนจากดัชนี PMI manufacturing ที่ปรับดีขึ้น (รูปที่ 5)

  • ตู้คอนเทนเนอร์: ตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างยังเป็นปัญหาสำคัญโดยเฉพาะท่าเรือ Los Angeles และ Long Beach ที่ต้องใช้ระยะนานในการขนถ่ายสินค้า อย่างไรก็ดี ท่าเรือพยายามเร่งดำเนินการขนถ่ายสินค้าโดยเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง และลดค่าธรรมเนียมการขนถ่ายสินค้าในช่วงกลางคืน เพื่อบรรเทาปัญหาการขนส่งที่ติดขัด โดยคาดว่าปัญหาการขนส่งจะมีแนวโน้มคลี่คลาย สะท้อนจากราคาค่าขนส่งมีแนวโน้มชะลอลงหลังจากเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปี 2020
  • เซมิคอนดักเตอร์: ปัจจุบันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ เช่น ไต้หวันและเกาหลีใต้ ได้ดำเนินการอย่างเต็มกำลังการผลิต แต่อุปสงค์ของสินค้าที่มีมากกว่าปกติทำให้บริษัทหลายแห่งต้องมีแผนการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะ 1) ในระยะสั้น บริษัทหลายแห่งได้ขยายกำลังการผลิตในโรงงานแห่งเดิมซึ่งจะช่วยบรรเทาการขาดแคลนสินค้าได้บางส่วน และ 2) ในระยะยาว บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ อาทิ TSMC มีแผนการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ แต่การลงทุนดังกล่าวนี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี
  •  

    2 Shift of Demand
    การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในหลายประเทศ และการใช้มาตรการ Living with Covid ทำให้การใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้ามีแนวโน้มลดลง และเปลี่ยนแปลงไปใช้จ่ายในด้านการบริการมากขึ้น โดยอุปสงค์ของสินค้าที่ลดลงจะช่วยลดการกดดันปัญหาการขนส่งในช่วงที่ผ่านมาได้

    ปัจจัยข้างต้นสะท้อนว่า supply chain disruption เข้าใกล้หรืออยู่ในระดับพีคแล้ว แต่ปัญหาดังกล่าวจะยังมีแนวโน้มยืดเยื้อไปอีกสักระยะ เนื่องจากหลายปัจจัยยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่าจะทยอยคลี่คลายได้ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม ปัญหา supply chain disruption มีความเสี่ยงที่จะกลับมารุนแรงเพิ่มขึ้นได้จาก
    1) ความต้องการสินค้าที่จะปรับเพิ่มขึ้นในเทศกาลคริสต์มาส และตรุษจีน โดยอาจจะมีการจองตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขนส่งสินค้ามากขึ้นเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและเร่งขนส่งก่อนจะถึงช่วงวันหยุดยาว ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้นอีก
    2) การแพร่ระบาดระลอกใหม่และการใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มขึ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะจีนที่เป็นประเทศที่ใช้นโยบาย Zero -Tolerance Covid และเป็นประเทศที่มีท่าเรือการขนส่งที่สำคัญของโลก

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

  • ภาคผลิตและภาคส่งออกของหลายประเทศถูกกดดันจากทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และการขนส่งที่หยุดชะงัก ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2021 มีแนวโน้มชะลอลง โดยภาคการผลิตส่งสัญญาณชะลอลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 (รูปที่ 6) และยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไปตามปัญหาที่ยังรุนแรงและยืดเยื้อ นอกจากนี้การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เป็นปัญหาสำคัญที่กดดันการส่งออกของหลายประเทศโดยเฉพาะเอเชีย รวมถึงไทยที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าที่พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์คิดเป็น 1 ใน 4 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมด (รูปที่ 7)

  • ต้นทุนการผลิตโดยรวมปรับเพิ่มขึ้น จากราคาสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น (รูปที่ 8) ตามต้นทุนค่าขนส่งที่แพงขึ้น โดยผู้ผลิตในหลายประเทศต้องแบกรับภาระจากต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในเอเชียและไทย เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาสินค้ายังทำได้ค่อนข้างจำกัดในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ทั้งนี้หากต้นทุนยังอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน คาดว่าผู้ผลิตอาจจะปรับเพิ่มราคาสินค้า ประกอบกับราคาสินค้าบางชนิด อาทิ รถยนต์ส่วนบุคคล ปรับเพิ่มขึ้นจากการผลิตที่ทำได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ อาจจะเป็นปัจจัยกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าได้
  • บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย