ThaiPublica > สู่อาเซียน > นายกฯย้ำ ไทยใช้เวทีลุ่มน้ำโขงสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ดันโครงการมูลค่า 7.83 หมื่นล้านเหรียญ

นายกฯย้ำ ไทยใช้เวทีลุ่มน้ำโขงสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ดันโครงการมูลค่า 7.83 หมื่นล้านเหรียญ

6 พฤศจิกายน 2020


แม่น้ำโขง

นายกฯย้ำ ไทยใช้เวทีลุ่มน้ำโขงสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ผนึกกำลัง 6 ประเทศ ดันโครงการลงทุนและวิชาการ มูลค่ารวม 7.83 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน ครั้งที่ 24 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยเข้าร่วมประชุม

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การสนับสนุนความร่วมมือของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงนี้เป็นอย่างมาก โดยเน้นย้ำให้ถือเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนในสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งเสริมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งเป็นโอกาสของประเทศในการนำเสนอบทบาทความเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาค ทั้งการพัฒนาระบบถนน ระบบราง และด่านพรมแดน ทั้งนี้ ยังมีประโยชน์ที่จะเกิดจากการร่วมกันหาทางแก้ปัญหาทางด้านสังคม สาธารณสุข การศึกษา และการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดน อีกด้วย

ทั้งนี้ผลการประชุมรัฐมนตรีฯ เป็นที่น่าพอใจ เห็นสัญญาณของความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในหลายมิติร่วมกัน ประเทศสมาชิกเห็นพ้องในกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาค ปี 2565 ซึ่งประกอบด้วยแผนงานโครงการลงทุนและโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการ รวมทั้งสิ้น 205 โครงการ มูลค่ารวมกันกว่า 7.83 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (2.35 ล้านล้านบาท) โดยในรอบปีที่ผ่านมามีโครงการมูลค่ารวม 267 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในส่วนโครงการของประเทศไทย มี 74 โครงการ มูลค่ารวม 1.78 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 22.7% ของโครงการในกรอบความร่วมมือฯ ทั้งนี้ โครงการมูลค่าการลงทุนสูงที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ได้แก่โครงการพัฒนารถไฟทางคู่ในประเทศ 1.21 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่สาม 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 2.28 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นางสาวรัชดากล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการ 2 เรื่องด้วยกัน คือ 1) กรอบยุทธศาสตร์ใหม่ของแผนงาน GMS ในระยะปี 2575 ซึ่งเป็นการรวบรวมแผนการดำเนินการและมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติของไทย และ 2) ร่างเอกสารแผนการฟื้นฟูและตอบสนองต่อผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สนับสนุนให้คณะทำงานด้านสุขภาพ (Health Cooperation Sector) ภายใต้แผนงาน GMS เป็นตัวหลักในการทำหน้าที่ดูแลและติดตามการได้มาของวัคซีน เพื่อการกระจายวัคซีนใน GMS อย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ