เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิด (1) นายสันติ โทจำปา นายก อบต.ป่าแดง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก มีความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1511, มาตรา 1572 (2) ว่าที่ร้อยโท สมพงษ์ จันรุน ปลัด อบต.ป่าแดง มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ (3) นายสมศักดิ์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนนายสันติ โทจำปา กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 ประกอบ มาตรา 863 จึงให้ส่งรายงานการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อลงโทษทางวินัย และไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีในศาลต่อไป
ในเรื่องนี้ สืบเนื่องจากมีผู้กล่าวหานายสันติฯ นายก อบต.ป่าแดง ว่าอนุญาตให้ผู้รับเหมาเข้าทำการขุดดินของ อบต.ป่าแดง ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับ อบต.ป่าแดง เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย ซึ่งจากการไต่สวนขององค์คณะพนักงานไต่สวนของสำนักงาน ป.ป.ช. พบว่านายสมศักดิ์ฯ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา มีความต้องการหาดินเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างขยายผิวการจราจรทางหลวงหมายเลข 1143 ช่วงที่ผ่านบ้านห้วยเหิน ต.ป่าแดง ที่มีบริษัท พี.เค.เอส.37 ยูเนี่ยน คอนสตรัคชั่นส์ จำกัด เป็นคู่สัญญากับสำนักงานบำรุงทางพิษณุโลกที่ 2 โดยบริษัทดังกล่าวเป็นเครือญาติกันกับ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา ประกอบกับ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา ได้รับผิดชอบงานเกี่ยวกับงานที่ดิน งานลูกรัง ในโครงการนี้ด้วย
นายสมศักดิ์ฯ ทราบข่าวว่า อบต.ป่าแดง ต้องการปรับสภาพพื้นที่บริเวณสำนักงาน อบต.ป่าแดง เพื่อจัดทำเป็นสนามกีฬาและแปลงสาธิตทางการเกษตร อาจขอขุดดินและขนดินออกมาใช้ได้ จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 2 เมษายน 2552 ถึง นายก อบต.ป่าแดง เพื่อขออนุญาตขุดและขนดินในบริเวณสำนักงาน อบต.ป่าแดง จากนั้นในวันเดียวกันได้มีการจัดทำเป็นบันทึกข้อตกลงระหว่างนายสมศักดิ์ฯ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ กับ อบต.ป่าแดง โดยนายสันติฯ นายก อบต.ป่าแดง เป็นผู้สนับสนุนโครงการ ณ อบต.ป่าแดง และมีข้อตกลงสรุปได้ว่า อบต.ป่าแดงอนุญาตให้ขุดดินและขนดินบริเวณที่ทำการ อบต.ป่าแดง แล้วทำการปรับเกรดบริเวณที่ขุดและขนดินออกไปให้มีสภาพเสมอกันทั้งบริเวณ และให้ทำการถมดินหลุมด้านทิศตะวันตกของอาคาร ขนาดกว้าง 50×30 เมตร ลึก 3 เมตร โดยนายสมศักดิ์ฯ ปฏิบัติตามโครงการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
แต่จากพยานหลักฐาน พบว่าบริเวณที่ทำการ อบต.ป่าแดง ไม่มีสภาพเป็นหลุมบ่อขนาดดังกล่าวแต่อย่างใด มีเพียงสระน้ำด้านหน้าสำนักงานและหลังจากจัดทำเป็นบันทึกข้อตกลงแล้ว หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา ได้เข้าไปขุดและขนดินบริเวณด้านหลังสำนักงานซึ่งมีสภาพเป็นดินเนินสูง ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2-3 เดือน ได้ปริมาตรดินรวมประมาณ 18,025 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับปริมาณงานดินที่ใช้ในงานก่อสร้างขยายผิวการจราจรทางหลวงหมายเลข 1143 ที่ต้องใช้ดินปริมาตร 18,240 ลูกบาศก์เมตร ขณะนั้นราคาดินมีราคาลูกบาศก์เมตรละ 10 บาท ดังนั้น ดินที่ถูกขุดและขนออกไปจึงคิดมูลค่าเป็นเงินประมาณ 180,250 บาท
นอกจากนี้ เมื่อได้ขุดดินไปแล้วไม่ได้มีการปรับเกรดให้เสมอกันตามบันทึกข้อตกลงที่ทำไว้แต่อย่างใด สภาพที่ดินกลายเป็นที่ต่ำไม่เรียบเสมอกัน มีเพียงเนินดินที่หายไป ทั้งนี้ ในปีเดียวกัน อบต.ป่าแดง ได้สั่งจ้างเหมารถไถเกลี่ยดินด้านหลังสำนักงาน ใช้งบประมาณ 20,700 บาท ทั้งต่อมายังได้จัดทำโครงการก่อสร้างลานกีฬาต้านยาเสพติดบนที่ดินแปลงดังกล่าวที่มีการขุดและขนดินออกไปใช้ ซึ่งปรากฏให้เห็นว่าโครงการก่อสร้างลานกีฬาต้านยาเสพติดได้กำหนดงานปรับสภาพพื้นที่ให้ราบเรียบเสมอกัน โดยงบประมาณเฉพาะในส่วนของการปรับสภาพพื้นที่เป็นเงิน 86,904 บาท และที่สำคัญ จะเห็นได้ว่าบันทึกข้อตกลงที่ทำกันนั้น ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายหรือค่าตอบแทนใดให้แก่ อบต.ป่าแดง จึงเป็นการอนุญาตให้ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา ขุดและขนดินของ อบต.ป่าแดง ไปใช้ประโยชน์ส่วนตน และไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อ อบต.ป่าแดง
สำหรับการลงโทษนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับทราบรายงานแล้วว่า อบต.ป่าแดง โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดพิษณุโลก ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ว่าที่ร้อยโท สมพงษ์ จันรุน ปลัด อบต.ป่าแดง ออกจากราชการแล้ว และในส่วนของการดำเนินคดีอาญากับนายสันติ โทจำปา นายก อบต.ป่าแดง ว่าที่ร้อยโท สมพงษ์ จันรุน ปลัด อบต.ป่าแดง และนายสมศักดิ์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.พิษณุโลกวิวัฒน์พัฒนา นั้น อัยการได้ดำเนินการฟ้องต่อศาลอาญาแล้ว
หมายเหตุ:
1. มาตรา 151 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
2. มาตรา 157 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. มาตรา 86 ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น