ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 8-14 กรกฎาคม 2555
ประเด็นฮอตในโซเชียลเน็ตเวิร์กสัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์ที่มี “ศุกร์13” หลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับอาถรรพ์ของศุกร์ 13 กันมาบ้างแล้ว ว่าเป็นวันและเลขแห่งความโชคร้าย แล้วจุดเริ่มต้นของ “ศุกร์ 13” นี้มีที่มาว่าอย่างไร
ว่ากันตามความเชื่อที่ว่า ถ้าวันศุกร์ใดเกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก “อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper)” โดยเชื่อกันว่า ในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน “วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)”
ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่า วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส
และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ฟิลิปที่ “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” หรือ “Friday the 13th” ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ
สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ทั้งนี้ เรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวกับวันศุกร์ที่ 13 คือ มีหลักฐานที่ยืนยันว่า วันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้ายสำหรับใครบางคนจริงๆ โดยนักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ธแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800–900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงานกันเลยทีเดียว
จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ Paraskevidekatriaphobia หรือ Friggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค Triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13 นั่นเอง
สำหรับประเด็นฮอตในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เรื่องแรก สัปดาห์นี้ เป็นคลิปวิดิโอแห่งการให้กำเนิด และสร้างความปิติพร้อมลุ้นระทึกในเวลาเดียวกัน เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งในนครกวางโจว ประเทศจีน กำลังเร่งรีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อให้กำเนิดบุตร แต่แล้วเกิดเหตุสุดวิสัย ภรรยาเกิดถุงน้ำคร่ำแตกกลางทางจนไม่สามารถเดินทางไปต่อได้ ทั้งคู่จึงต้องทำการคลอดลูกที่บริเวณฟุตบาทข้างถนนกันเอง
โดยงานนี้ คุณสามีได้ขอความช่วยเหลือจากคลินิกหมอฟัน ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่บริเวณนั้นมากที่สุด แต่ทางทันตแพทย์บอกปัดที่จะช่วยเหลือเพราะไม่ได้เรียนรู้ด้านการทำคลอดมา ทำให้สามีต้องทำคลอดให้ภรรยาด้วยตัวเองพร้อมกับกับชาวบ้านที่คอยเข้ามาช่วยเหลือ เช่น โทรศัพท์เรียกรถพยาบาล เอาอุปกรณ์มาให้ และคอยยืนให้กำลังใจอยู่ข้างถนน
หลังจากที่ทำคลอดสำเร็จ รถพยาบาลได้มารับตัวทั้งคุณแม่และคุณลูกที่เกิดใหม่ไปตรวจเช็คสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล ซึ่งผลออกมาว่าทั้งแม่และเด็กปลอดภัยดีทั้งคู่ ด้วยความปลื้มปิติของคุณพ่อผู้ให้กำเนิด และทำคลอดให้ลูกคนนี้เองกับมือ
“ซาบซึ้งมากที่เห็นภาพสามีมีส่วนร่วมในนาทีระทึกใจ”
“ทำขึ้นมาเองแล้วยังทำคลอดเองด้วย สุดยอดจริงๆ คุณพ่อคนนี้”
“ถึงจะเป็นหมอฟันก็ควรช่วยเหลือบ้าง ไม่มีสัญชาตญาณความเป็นหมอบ้างเลยเหรอ”
“ลูกคนต่อไปคงไม่ต้องพึ่งโรงพยาบาล คุณพ่อทำคลอดเองได้เลย”
“เก่งจริงๆ ค่ะ ซึ้งมาก รับรู้ถึงความรักที่คุณพ่อมีให้ภรรยาและลูกน้อยของตัวเองได้ดีจริงๆ ค่ะ You are Hero”
เรื่องที่สอง เป็นคลิปที่สร้างความตะลึง ตึง ตึง และมีการแชร์กันในโลกออนไลน์เป็นอันมาก อาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เรายังไม่เคยเห็นจะๆ อะไรเช่นนี้ กับคลิป “หอยกาบกินเกลือ” จากการบันทึกภาพของ “PrincessNeba” ซึ่งเป็นที่สนใจอย่างมาก โดยที่ในคลิปปรากฏภาพหอยกาบอยู่บนโต๊ะที่ล้อมไปด้วยเกลือ แล้วมันก็ค่อยแง้มเปลือกออกมา ลักษณะคล้ายการแลบลิ้นยาวๆ ออกมาเล็มกินเกลือบริเวณรอบๆ ตัว ซึ่งทางผู้คนที่เข้าชมยังไม่รู้ว่า ถ้าหอยกาบกินเกลือเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
นักวิชาการด้านสมุทรศาสตร์ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า หอยกาบไม่ได้กินเกลือ ส่วนที่ยื่นออกมาไม่ใช้ลิ้นแต่คือเท้าของมัน อีกทั้งยังเสริมว่าหอยบนโต๊ะนี้น่าจะกำลังพยายามที่จะหาที่ที่มันจะสามารถขุดตัวแล้วซ่อนมากกว่า ซึ่งโดยทั่วไปหอยกาบจะกินพืชและสัตว์ขนาดเล็กที่อยู่ในน้ำ และมีอวัยวะในการกรองอาหารและสูบฉีดน้ำ อีกทั้งยังให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า บางทีเกลือพวกนี้อาจจะทำร้ายมันก็ได้ เพราะว่านั่นเป็นสาเหตุที่หอยรีบถอนตัวจากเกลือเข้าไปในเปลือกหลังจากที่สัมผัสกับเกลือ
“หอยโดนเกลือก็คงแสบน่าดู สงสารหอย สมัยผมบวชเป็นพระ มีพระรูปหนึ่งตีแมว หลวงพ่อท่านเห็นก็ดุพระรูปนั้นแล้วสอนว่า “ท่านอย่าไปทำร้ายเขาเลย แค่เขาเกิดมาเป็นเดรัจฉานก็ลำบากมากแล้ว เราประเสริฐกว่าเขาก็อย่าไปรังแกเขา” ผมจำมาจนถึงวันนี้”
“เจ๋งดี แต่ก็น่าสงสารเจ้าหอยกาบ กินเกลือเสร็จก็คงถูกคนกินต่อ”
“แวบแรกที่เห็นหอยชนิดนี้ ทำให้นึกถึงสัตว์ที่มีอายุยืน 10 อันดับ หอยทะเล Arctica islandica อายุขัย: 410 ปี มากกว่าเต่า วาฬ และปลาคาร์ฟ มีลักษณ์คล้ายกันมาก แถมหาเจอง่ายตามภัตตาคารญี่ปุ่นด้วย”
“ไม่ได้กินเกลือหรอก คือไม่มีทางเลือกให้หอยได้เดิน โผล่ออกมาก็เจอเกลือเลย ทีนี้หอยก็ยังอยู่ในสถานะลำบากแล้วล่ะ อาจจะตายได้”
“ใช่ เกลือทำร้ายมัน มันรู้สึกแสบ มันเลยต้องหดตัวเข้าไปในกาบเหมือนเดิม”
เรื่องที่สาม ปัจจุบันความเครียดเป็นปัญหาใหญ่ ที่สามารถคร่าชีวิตคนเราได้อย่างไม่คาดฝัน อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์จากปัญหาความเครียดที่สร้างความช็อคให้สังคมมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นว่าที่บัณฑิตสาวอนาคตไกลจากรั้วจามจุรี หรือแม้กระทั่งเด็กชายวัย 14 ที่กินยาพยายามฆ่าตัวตายเหตุเพราะความน้อยใจคุณครูที่โรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่าความสูญเสียเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเอง โดยล่าสุด กรณีการฆ่าตัวตายจากความเครียดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ใช้ช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กเป็นสื่อในการระบายความเครียด และโชว์ภาพการกระทำดังกล่าว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ Mr.Juan Andres Medin Pineiro อายุ 37 ปี สัญชาติสเปน ทำงานอยู่แผนกไอที บริษัทมือถือแห่งหนึ่ง เกิดความเครียดและทำการฆ่าตัวตายอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กของตัวเองภายในห้องพักย่านรัชดา โดยผู้เสียชีวิตได้พิมพ์ข้อความขึ้นเฟซบุ๊กว่า อยากตายแล้ว ขอโทษเพื่อนๆ ที่ทำงาน ว่าไม่สามารถทำงานต่อไปได้ และขอลาออก พร้อมผสมยาฆ่าตัวตายในเบียร์แก้ว รวมถึงโชว์รูปให้ดู ทำให้เพื่อนๆ ที่เห็นตัดสินใจเดินทางมายังอพาร์ตเมนต์ของผู้เสียชีวิต เมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง เพื่อนๆ ได้พยายามเรียกแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ จึงเรียกเจ้าหน้าที่ให้มาเปิดห้อง และเมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่า Mr.Juan Andres เสียชีวิตแล้ว ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด เพราะอยู่ในระหว่างการสอบปากคำเพื่อนและผู้ที่เกี่ยวข้อง และต้องรอผลการชันสูตรพลิกศพต่อไป
ยังไงเรื่องความเครียดและการสูญเสีย ก็คงเป็นเรื่องที่แต่ละครอบครัวไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ยังคงหวังให้เพื่อนมนุษย์ดำเนินชีวิตตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติ และธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้สอนไว้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นชีวิต มองให้เห็นปัญหา และอย่านำจิตไปวิ่งตาม ปล่อยวาง และทำความเข้าใจว่า ทุกสิ่งบนโลกมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตโลก และมีสติพร้อมแก้ปัญหา เริ่มต้นใหม่ อย่างมีสติเสมอ
“เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใครว่าสมควรตายหรือไม่ บางครั้งปัญหารุมเร้ามากๆ ความเครียด ความจนตรอก ก็ทำให้คนทำอะไรที่ขาดการยั้งคิดได้ อย่าคะนองแค่หน้าจอเลย ชีวิตจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังผู้ชายคนนี้กี่คนที่รู้สึกแย่ๆ เสียใจกับผู้เกี่ยวของกับผู้ตายด้วยครับ”
“มีปัญหาก็ควรที่จะคุยกับพ่อแม่หรือเพื่อนที่สนิท เผื่อจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะค่ะ”
“แล้วเฟซบุ๊กมันเกี่ยวได้ด้วยเหรอ ก็เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่มีเฟซบุ๊ก เขาตายก็เขียนลงกระดาษจดหมาย ไม่เห็นต้องบอกใคร”
“เมื่อวานเพื่อนก็จะฆ่าตัวตาย แล้วโพสต์เฟสว่าอยากตาย ดีนะที่เพื่อนๆ ไปช่วยทันอะ ไม่อย่างนั้นเศร้าหนักแน่เลย ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์”
“คน เข้าใจ เพียง เรื่อง “วัตถุ” และ ยังไม่เข้าใจ เรื่อง “จิต” อาจ ทำให้ มองเห็น ชีวิต เป็น “วัตถุ” ไม่มี ค่าอะไร และ มัก ประสบ สิ่ง ไม่พึงประสงค์ อันเป็น ทุกข์ จึงไม่อยากอยู่ หาก ได้ศึกษา เรื่อง “จิต” เขา จะไม่กล้า ฆ่า ตัวตาย แบบนี้ เพราะ เขา จะเข้าใจ ได้ ถูกต้องว่า ทำอย่างนี้ นึกว่า จบ แต่ มัน ยังไม่ จบ”
เรื่องที่สี่ สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนชาวไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา โดยมีหญิงอายุ 64 ปี ชื่อนางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ แสดงการกระทำอันไม่สมควรต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยการใช้เท้าเตะรูป ทำให้ผู้ที่มาให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญเกิดความไม่พอใจ จนเกือบถูกรุมประชาทัณต์ แต่โชคดีตำรวจได้เข้ามาระงับเหตุไว้ทัน และตำรวจบอกกับผู้สื่อข่าวว่าหญิงผู้นี้เป็นคนเสียสติ และปล่อยตัวไป
แต่กระนั้นก็ตาม นักสืบอินเทอร์เน็ตที่ไม่พอใจกับคำแก้ต่างของตำรวจ ได้สืบค้นเจอข้อมูลของนางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ ก็พบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เสียสติแต่อย่างใด แถมยังมีเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งได้โพสต์ภาพตัวเองและครอบครัว ระบุสถานะว่า “ไม่เคยทำงาน เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน ดูแลสามี สามีเป็นนายจ้าง มีความสุขที่สุด” และใช้ชีวิตอยู่ที่ Christchurch New Zealand พร้อมกับระบุชื่อเดิมว่า จินตหรา เกิดที่ อ.พล จ.ขอนแก่น
และอีกสิ่งที่น่าสนใจคือ ในเฟซบุ๊กของนางฐิตินันท์ มีการกดไลค์เพจของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเพื่อนกับ นายอดิศร เพียงเกษ และนายขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ วิสา คัญทัพ ด้วย นอกจากนี้ยังคลิกไลค์เพจ “รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” และ เพจ “จับตาอย่ายอมให้ ประชา พรหมนอก โกงประเทศ”
ทั้งนี้ จากการคลิกเข้าไปตรวจสอบเพื่อนขอนางฐิตินันท์ มีจำนวนไม่น้อยที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นคนเสื้อแดง เช่น ผู้ที่ใช้ชื่อว่า “ที่รักจ๋า ตามหาประชาธิปไตย” ซึ่ง คลิกไลค์เพจ ปฏิญญาหน้าศาล ร้องเดินหน้าแก้ รธน. เป็นต้น
ซึ่งหลังจากที่เป็นข่าว เฟซบุ๊กดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า https://www.facebook.com/jintarahk ก็ได้ถูกปิดตัวไป
“เกิดเป็นคนไทย 3 สิ่งที่อยู่สูงสุด คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผู้ใดไม่ให้ความเคารพ หาใช่คนไทยไม่”
“อย่ามาอยู่ที่แผ่นไทยเลยไปอยู่ที่อื่นเถอะ แล้วพวกคุณเิกิดมาจากที่ไหนกันถึงได้ไม่รู้จักสติ ความดี ชั่ว อะไรถูกผิด คิดไม่เป็นเลยหรอ ต้องให้คนมาจูงจมูกตัวเอง คิดเองไม่เป็น เลยหรอคะ”
“จะคอยดูว่าตำรวจ จะดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้อย่างไร? ถ้ารู้ว่าป้าคนนี้ “บ้า” แล้วญาติปล่อยออกมาเพ่นพ่านได้ยังไงกัน”
“เมื่อไหร่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและ นปช. จะยอมรับว่าพวกหมิ่นสถาบันฯ มีอยู่จริง แล้วก็หลายคนด้วย ไม่ว่าจะสังคมจริงหรือโลกออนไลน์ ถ้าไม่ผิดกฏหมายก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่มันผิดกฏหมาย อย่าว่าแต่ 112 เลย อย่างน้อยก็เข้าข่ายหมิ่นประมาท”
“นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 53 ปี ร้องด่าในหลวงและพระราชินีพร้อมทั้งใช้เท้าเตะทำลายพระบรมฉายาลักษณ์หน้าศาลรัฐธรรมนูญ อ้างว่าไม่พอใจที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เป็นธรรม // งานนี้ไม่ใส่เสื้อแดงนะคะ แต่มีดาวแดงตามประกบใกล้ชิดตลอด”
เรื่องที่ห้า เมื่อเย็นวันศุกร์ 13 ที่ผ่านมา หลายๆ คนคงนั่งเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ เพื่อรอฟังการอ่านคำตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ซึ่งดูแล้วก็เป็นไปตามคาดหมายล่วงหน้า ลักษณะออกมาคล้ายเป็นกลาง ให้ต่างฝ่ายต่างได้ถอยกลับไปตั้งหลักกันใหม่
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติยกคำร้องทั้ง 5 ที่ผู้ร้องระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยตุลาการฯ วินิจฉัยว่ายังไม่เห็นข้อบ่งชี้ว่าจะนำไปสู่แนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ ศาลฯ เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
โดยงานนี้ กลุ่ม นปช. คนเสื้อแดง ที่ร่วมตัวกันที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว และ กลุ่มแดงอิสระ ที่รวมตัวกันที่ ข่วงประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ แสดงความดีใจ โห่ร้องประกาศชัยชนะ กับคำตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันสนั่น โดยแกนนำกลุ่มประกอบด้วยนายอภิชาติ อินสอน นายภูมิใจ ไชยา และนายนริศวร ทองแย้ม กล่าวว่าทางกลุ่มดีใจที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความยุติธรรม นับเป็นชัยชนะในรอบ 5 ปี โดยทางกลุ่มยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงการปราศรัยเสวนา และจุดประทัดพันนัดฉลองชัยชนะที่ข่วงประตูท่าแพ
แต่คำตัดสินนี้ ถ้าดูจากการอธิบายถึงสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญของประชาชนทุกหมู่เหล่านั้น คงดูเหมือนทำให้ฝันของฝ่ายแกนนำคนเสื้อแดง ฝันของทักษิณ ฝันของสมาชิกเพื่อไทย เริ่มเข้าสู่โหมดยุ่งยากและเข้าสู่ทางตันไปเรื่อยๆ ก็เป็นได้
การเปิดคำวินิจฉัยมี 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ผู้ฟ้องมีอำนาจในการฟ้องคดีตามมาตรา 68 หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นการให้สิทธิแก่ผู้ทราบการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 68 สองประการ คือ 1. สามารถให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ 2. ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกการกระทำดังกล่าว ศาลเห็นว่าการแปลความดังกล่าวนี้จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 69
ประเด็นที่ 2 การแก้ไขมาตรา 291 ที่เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับสามารถทำได้หรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การตรารัฐธรรมนูญ 2550 เป็นกระบวนการผ่านการประชามติ ประชาชนจึงเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังนั้น การแก้ไขจะเป็นอำนาจของรัฐสภา แต่การยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับยังไม่สอดคล้องเจตนารมณ์ 291 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้มาจากการลงประชามติ จึงควรให้ประชาชนลงประชามติก่อน ว่าสมควรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือให้อำนาจรัฐสภาดำเนินการแก้ไข จะเป็นการสอดคล้องเจตนารมณ์มาตรา 291
ประเด็นที่ 3 การแก้ไขมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 เป็นไปเพื่อให้มีวิธีการแก้ไขเป็นรายมาตรา และปรับปรุงโครงสร้างการเมืองใหม่ให้มีประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหาบกพร่องในตัวรัฐธรรมนูญเอง หากพิจารณาจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้มาจากการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดังที่ผ่านวาระ 2 และเตรียมลงมติในวาระ 3 ของรัฐสภา จะเห็นได้ว่ากระบวนการดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงที่จะล้มล้างการปกครอง อีกทั้งยังไม่มีรูปธรรม เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าของผู้ร้อง
หากพิจารณาจากรัฐธรรมนูญมาตรา 291 (1) วรรค 2 บัญญัติว่า ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291/11 วรรค 5 ก็ยังได้บัญญัติคุ้มกันไม่ให้กระทบสาระสำคัญของรัฐอีกชั้น
อย่างไรก็ตาม หาก ส.ส.ร. ได้ร่างรัฐธรรมนูญที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งประธานรัฐสภาและรัฐสภาก็มีอำนาจยับยั้งให้รัฐธรรมนูญตกไปได้ และผู้ทราบการกระทำดังกล่าวนั้นสามารถให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามมาตรา 68 ได้ อีกทั้งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและการไต่สวนที่ผ่านมา อาทิ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา, นายอัชพร จารุจินดา เลขาคณะกรรมการกฤษฎีกา, นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา, และ นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา ล้วนเบิกความว่าไม่ได้มีเจตนารมณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และผู้ถูกร้องยังแสดงเจตคติตั้งมั่นว่าดำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่เพียงพอวินิจฉัยได้ว่า เป็นการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้ออ้างทั้งหมดของผู้ร้องเป็นการคาดการณ์และความห่วงใยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังห่างไกลจะเกิดเหตุขึ้นตามที่กล่าวอ้าง จึงไม่พอฟังได้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น ฟังไม่ได้มีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ประเด็นที่ 4 เป็นเหตุให้ยุบพรรคตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อไม่กระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงไม่มีเหตุให้ต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้ง 5 คำร้อง
“ตุลาการศาลท่านมีความรู้ด้านกฏหมายอย่างดี เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ กรุณายอมรับคำวินิจฉัยของศาลนะคะ หากผู้ใดทราบมีการคิดล้มสถาบัน ล้มล้างรัฐธรรมนูญก็สามารถยื่นคำร้องไปที่ศาลรํฐธรรมนูญได้ค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกันถ้าแก้ไขต้องถามประชาชนโดยการทำประชามติก่อน ฝันของอีกฝ่ายก็สลายเหมือนกันนั่นแหละ ตั้งหลักใหม่นะคะขอบคุณผู้ร้อง ผู้สนับสนุน และประชาชนคนไทยที่รักความถูกต้อง ขอบคุณค่ะ”
“ยินดีด้วย นับวันรอถูกยุบศาล รธน. ได้เลย พยานหลักฐานขนาดไหนถึงจะพอว่ากลุ่มพวกนี้ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งการเคลื่อนไหว การออกสื่อ มันเป็นระบบทั้งหมด”
“ศาล รธน. ทำทุกเรื่องนี้ ไม่ทราบว่า คุ้มหรือไม่ ถ้าเขาไม่รู้ทัน ศาลรธน.ก็คุ้ม แต่เขารู้ว่า มีคำวินิจฉัย ที่ไม่ถูกต้องคือ ท่านไม่มีสิทธิ์รับคำร้องโดยตรง มิใช่หรือ
ท่านยังหัก เพื่อเอาชนะ แล้วตัดสินว่า ท่านทำได้ ทั้งที่รัฐธรรมนูญ เขียน ว่า ต้องผ่าน อัยการ และ ศาลรธน. ไม่ใช่ “หรือ” คำเหล่านี้ท่านต้องตีความให้ได้ หรือว่าจะเอาพจนานุกรมภาษาอังกฤษ มาใช้ในประเทศไทยอีก ถ้าพจนานุกรมภาษาไทยเป็นคุณกับการตัดสินของท่านท่านก็เอาภาษาไทย ภาษาอังกฤษเป็นคุณก็เอาภาษาอังกฤษ”
“รับรู้กันให้ทั่ว ว่า ศาลแพ่งไม่รับคำฟ้องให้ไต่สวนฉุกเฉิน กรณีนายวรชัย เหมะ สส.พรรคเพื่อใครฟ้อง 8 ศาลตุลาการรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการใช้ดุลยพินิจการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงพิพากษายกฟ้อง เท่ากับศาลแพ่งเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการรับฟ้อง ของผู้ร้อง แล้วกลุ่ม นปช.ยังจะก่อการวุ่นวายต่อสังคมประเทศชาติต่อไปอีกหรือ เลิกเถอะ วันนี้ 13 กรกฎาคม 2555 มาฟังคำตัดสินและยอมรับผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดีกว่า ไม่ว่าจะออกมาเป็นบวกหรือเป็นลบต่อทั้ง 2 ฝ่าย อย่าเป็น อันธพาลครองเมืองยุค ปี 2555 เลย อายชาวโลกเขาเถอะ”
“ต้องเคารพความถูกต้อง อาจจะไม่ถูกใจ ทุกฝ่ายเราคือ คนไทยด้วยกัน อย่าเอาความพอใจมาตัดสินกัน พวกท่านรู้ดี อะไรถูกหรือผิด”