ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ — แจก iPad ส.ส. และสุนทรพจน์ภาษาไทยของนายกฯที่ญี่ปุ่น

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ — แจก iPad ส.ส. และสุนทรพจน์ภาษาไทยของนายกฯที่ญี่ปุ่น

10 มีนาคม 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 4 – 10 มี.ค. 2555

เรื่องแรก มีเสียงบ่นกันทั่วหน้าเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ของหลายต่อหลายคน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ เมื่อมีข่าวออกมาว่า รัฐบาลจะจัดทำโครงการจัดซื้อ ‘iPad และ iPhone’ เพื่อนำมาใช้ในหมู่สมาชิกรัฐสภา หลังจากนโยบายแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้น ป.1 จำนวน 860,000 เครื่อง ราคาเครื่องละ 2,430 บาท ใช้งบประมาณ 1,794 ล้านบาท เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทำให้บรรดาผู้ใหญ่ในรัฐสภา (ส่วนหนึ่ง) อยากได้ไว้ใช้กันบ้าง

เหตุผลความจำเป็นในการจัดซื้อ เพราะต้องการยกเลิกการใช้เอกสารและแฟ้มในห้องประชุม มาใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีแทน ซึ่งเรื่องนี้จะอนุมัติช่วงใดนั้นยังไม่ชัดเจน แต่ถ้า ส.ส. ท่านใดคัดค้านก็เป็นสิทธิที่จะไม่รับเครื่องได้

นโยบายนี้ได้ทุ่มงบประมาณปี 2555 กว่า 56 ล้านบาท ในการจัดซื้อ iPad จำนวน 712 เครื่อง ให้แก่ ส.ส. 500 คน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐสภาอีก 212 คน ซึ่งในจำนวนนี้ไม่รวม ส.ว. โดยสเป็กต้องเป็นรุ่นท็อปราคา 24,000 บาท ประกอบกับค่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตอีก 1,000 บาทต่อเดือน หรือปีละ 12,000 บาท ซึ่งกลายเป็น 2 มาตรฐานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะทั้งสเปกเครื่องหรือราคาสำหรับเด็ก ป.1 และท่าน ส.ส. ก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ภาพล้อเลียนการแจกแทบเล็ต ที่มาภาพ : http www.9tana.comnodeipad-gov-thailand
ภาพล้อเลียนการแจกแทบเล็ต ที่มาภาพ : http www.9tana.comnodeipad-gov-thailand

ก่อนหน้านี้ รัฐสภาก็มีการแจกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปแล้ว อายุการใช้งาน 5 ปี แต่ปัจจุบันใช้ได้เพียง 3 ปีเศษ และการเปลี่ยนมาใช้แท็บเล็ต ถือเป็นการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย อีกทั้งยังมีการวิจารณ์จากประชาชนจำนวนไม่น้อยว่า เป็นการใช้งบประมาณไม่เหมาะสม เพราะ ส.ส. แต่ละท่านมีเงินเดือนกว่าหนึ่งแสนบาท น่าจะซื้อเองได้ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนภาษีของประชาชน จนมีการตั้งเป็นแฟนเพจในเฟซบุ๊คต่อต้านนโยบายดังกล่าวโดยใช้ชื่อเฟซบุ๊คว่า “คัดค้านการแจก iPad + iPhone 4S จากภาษีประชาชนให้ สส. สว.” ซึ่งก็มีผู้เข้ามากดไลค์ และแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

อีกทั้งก่อนหน้านี้ เมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา เพิ่งมีการปรับเงินค่าจ้าง ให้กับ บรรดา ส.ส.เหล่านี้ไปแล้ว ทั้งเงินค่าตอบแทนในตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อยู่ที่ 71,230 บาท ต่อเดือน ไม่รวมเงินประจำตำแหน่งที่มีให้อีกต่างหาก 42,330 บาท แต่ถ้าเป็นระดับ รัฐมนตรี เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท รองนายกรัฐมนตรี เงินเดือน 74,420 บาท เงินประจำตำแหน่ง 45,000 บาท และในหน้าที่ผู้นำของประเทศ อย่าง นายกรัฐมนตรี เงินเดือน 75, 590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท

เมื่อมีกลุ่มบุคคลรวมตัวกันต่อต้านแล้ว ลองมาดูความคิดเห็นของพวกเขากันบ้าง ว่าให้ความเห็นเรื่องนี้อย่างไร

“ครั้งก่อน แจกโน๊ตบุ๊ค ให้ สส. แล้ว สส. ไม่คืน ให้รัฐสภาตามจัดการเรื่องนี้ ช่วยบอกทีว่า การแจกครั้งนี้จะมีมาตรการป้องกันอย่างไร ไม่ให้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เพราะนี้เป็นงบประมาณประเทศชาติ ไม่ใช่ของส่วนตัว และเมื่อมี iPad แล้ว ควรลดจำนวนผู้ช่วย สส. ที่แต่เดิม มี 5 คน ให้เหลือแค่ 1 คนก็พอนะครับ”

“ทำไม ไม่เลือกใช้แทบเล็ตแบบที่จะแจกให้เด็กๆ คะ คัดสรรของดีมาให้เด็กแล้วไม่ใช่หรอ งบประมาณจะได้ใช้น้อยลงด้วย เอาไปทำอย่างอื่นได้เยอะ ถ้าปีนี้น้ำท่วมอีก ก็คงต้องใช้เงินอีกมหาศาล”

“ต่อต้านการเอาเงินภาษีของประชาชน ไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ของรัฐบาล ดูแล้วรัฐบาลชุดนี้ ใช้เงินภาษีเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องทั้งนั้น”

“หากคุณเป็นพวกฉัน หากคุณตายเพื่อฉัน ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด ฉันก็จะปูนบำเหน็ดให้คุณอย่างงดงาม ดีใจมั๊ย ที่อยู่ข้างเดียวกับนายก ทั้งเงินเดือนขึ้น ทั้งไอแพด ไอโฟน จัดเต็ม”

“สงสัยว่าพวกท่าน ส.ส. อยากเอาไว้เล่นเกมส์ตอนประชุมสภาแก้ง่วงมั้ง แต่ผมว่านะ เงินเดือนท่านเยอะแยะ ไอแพดแค่ 2 หมื่นกว่าบาท ท่านน่าจะซื้อเองได้ ประชาชนตาดำๆอย่างกระผม อดยากจะแย่อยู่แล้วนะครับ”

“มีบางท่านข้อความในเฟซบุ๊ค ให้ข้อมูลว่าเรื่องการแจก iPad ไม่ได้เป็นเรื่องของ “รัฐบาล” แต่เป็นเรื่องของ “รัฐสภา” ซึ่งก็ถูกต้องค่ะ เราไม่ได้ท้วงติง “ฝ่ายรัฐบาล” หรือ “ฝ่ายค้าน” แต่เรากำลังท้วงติง “รัฐสภา” ทั้ง สส. และ สว. ทั้งหมด ไม่เกี่ยวว่าเป็นพรรคไหนๆ เพราะประเด็นคือ “ไม่เห็นด้วยกับการแจก iPad และ iPhone ให้ สส.หรือ สว.” ไม่ว่าใครจะเป็นคนโหวตให้ผ่านก็ควรตำหนิทั้งนั้น อย่าทำให้ประเด็นเบี่ยงเบนไปนะคะ”

เรื่องที่สอง เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกเสียงฮือฮา เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรายงานภาพอันน่าอัศจรรย์ ที่ช่างภาพชาวไทยสามารถบันทึกไว้ได้ เป็นกลุ่มก้อนเมฆเหนือวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว ที่มีรูปลักษณะคล้ายเทพอันศักดิ์สิทธิ์ มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมาเบื้องล่าง ซึ่งปรากฎเพียง10 วินาทีก็หายไป โดยเป็นภาพที่ถ่ายได้ในช่วงเวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝน เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังให้พร ขณะที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็เห็นปรากฏการณ์นี้เช่นกัน

ภาพถ่ายอัศจรรย์ เหนือวัดพระแก้ว ที่มาภาพ : http www.facebook.comphoto.phpfbid=399399166741977&set=a.125298450818718.21689.100000156922776&type=1&theater
ภาพถ่ายอัศจรรย์ เหนือวัดพระแก้ว ที่มาภาพ : http www.facebook.comphoto.phpfbid

ภาพสวยๆ เช่นนี้ ชาวเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ก้ไม่พลาดที่จะเก็บและแชร์ต่อๆ กัน ให้เพื่อนในสังคมมีเดียได้ดูกันอย่างแน่นอน

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังปกป้องแผ่นดินไทยให้พ้นจากภัยของความชั่วร้ายที่กำลังครอบครองประเทศชาติอยู่ อย่างตอนที่มีคนยิงเอ็ม 69 ไปยังวัดพระแก้ว ยังไปโดนสายไฟฟ้า เลยน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ขอให้หมู่คนชั่วจงวินาศไป”

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์นิมิตให้เห็น เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเคยเห็น เคยเจอมากับตัวแล้ว”

“ขนลุกมาก และคิดว่าพญาครุฑมากำหราบพวกกบฏแน่ๆ”

“ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ สิ่งมหัศจรรย์มักจะเกิดขึ้นได้เสมอ”

“บ่งบอกว่าบ้านเมืองเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่นะ พวกคนไม่ดีระวังเอาไว้”

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องการปฏิบัติภารกิจของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อนการเดินทางนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยและประชาคมโลกทราบถึงความสามารถในการฟื้นฟู ประเทศของญี่ปุ่น ที่สามารถฟื้นฟูประเทศได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความพร้อมของญี่ปุ่นในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย

โดยหนังสือพิมพ์เดอะวอลสตรีทเจอร์นัล ได้เสนอรายงานข่าวกรณีนายก ไปแสดงปาฐกถาแก่สภาหอการค้าญี่ปุ่นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ในงานดังกล่าวมีผู้เข้าฟังราว 100 คน มีการแจกเอกสารสุนทรพจน์ของผู้นำของไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นล่วงหน้าไว้แล้ว

และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ใช้เวลากล่าวสุนทรพจน์ด้วยภาษาไทยเป็นเวลา 7 นาที โดยไม่มีล่ามคอยแปลสด ทำให้ผู้ฟังไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงตอนไหนในสุนทรพจน์ภาษาญี่ปุ่นที่แจกล่วงหน้านั้น และเมื่อกล่าวจบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ยิ้มและโค้งคำนับก่อนเดินออกจากห้องทันที

ทั้งนี้ ตามข่าวระบุไว้ด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จบการศึกษาระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเคนทักกี ในสหรัฐอเมริกา อาจเลือกพูดภาษาอังกฤษก็ได้ ซึ่งผู้ฟังบางส่วนจะเข้าใจ แต่เป็นไปได้ว่าเธอไม่มั่นใจเต็มที่ที่จะพูดอังกฤษ ทั้งนี้ฝ่ายที่ต่อต้านตระกูลชินวัตร มักนำการพูดภาษาอังกฤษของเธอไปเปรียบเทียบกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเรียนจากโรงเรียนอีตันและมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีและฉะฉานกว่าเสมอ

นายกรัฐมนตรี ขณะกล่าวสุนทรพจน์ ที่ประเทศญี่ปุ่น  ที่มาภาพ : http www.talkystory.comp=29621
นายกรัฐมนตรี ขณะกล่าวสุนทรพจน์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่มาภาพ : http www.talkystory.comp=29621

ทั้งนี้ น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร ยังได้รับ การได้จัดอันดับให้ติดใน 150 หญิงแกร่งผู้ทรงอิทธิพลของโลก หรือ “150 Fearless Women Who shake the World” ของนิตยสาร “นิวส์วีค” นิตยสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เนื่องในวันสตรีสากล โดยมีสุภาพสตรีจากประเทศไทย 2 คนติดอันดับ ได้แก่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทด้วย

เหตุผลในติดอันดับดังเพราะ น.ส. ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน พร้อมทั้งชื่นชมว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นความหวังในการสมานฉันท์ของประเทศ หลังจากชาวไทยต้องเผชิญกับการประท้วงและความวุ่นวายทางการเมืองมาตลอด 2 ปี นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังสามารถนำพาประเทศผ่านอุทกภัยครั้งร้ายแรงมาได้ หลังจากเพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น

“เอาอีกแล้วนะนายกหญิง ทำเอาต่างชาติงง กันเป็นแถบๆ อยากให้เขาสัมผัสของจริงมากกว่าที่จะให้เขาได้ยินแค่คำเล่าลือหรือครับ”

“อยู่บนเวทีระดับโลก แต่ไม่มีความสง่างามเลย ทำงานมีแต่ข้อผิดพลาดซ้ำๆ”

“เป็น ถึงผู้นำ ภาษาสากล อย่าง อังกฤษ ไม่น่าพลาด ยิ่งเป็นผู้นำประเทศด้วย น่าจะได้นะครับ พยายามและเป็นตัวอย่างให้เยาวชนด้วยครับ ใกล้จะเข้าสู่เขตการค้าเสรีแล้ว ภาษาอังกฤษควรแม่นยำ”

“ดูจากข่าวแล้ว นายกยังนั่งอ่านสคลิปคุยกับผู้นำญี่ปุ่นอยู่เลย แถมยังเอามือบังด้วย นึกว่าจะไม่มีใครเห็น นั่งก้มมองสคริปซะขนาดนั้น”

“โลกเห็นความสำคัญของสตรีไทย แต่ทำไมคนไทยมองไม่เห็น น่าแปลกสิ้นดี หรือว่าคนไทยไม่ต้องการยกย่องชมเชยคนดี สตรีทั้งโลกเป็นหลายล้านคน แต่มีสตรีไทยติดอันดับด้วย 2 คน ใน 150 คนหนึ่งในนั้นคือ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสุภาพสตรีคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย น่าชื่นชมจริงๆ”

“ทำไม ทีมงานของนายก ชอบทำให้ เธอ “หน้าแตก” บ่อยจัง”

“นักธุรกิจงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้พูดประเด็นอะไร จะถามอะไรดี เธอพยายามหลีกเลี่ยงการพูดอังกฤษ มาพูดภาษาไทยแต่ก็ไม่วาย พลาดอีกแล้ว”

เรื่องที่สี่ ความไร้พรมแดนของโลกอินเตอร์เน็ตทำให้เราได้รับข่าวสารที่รวดเร็วฉับไวจริงๆ เพราะทันทีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้กลางดึก วันที่ 8 มีนาคม 2555 ใจกลางกรุงเทพมหานคร ย่านสุขุมวิท 22 เหล่าบรรดาสิงห์อินเตอร์เน็ต อย่างเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ ก็ต่างพากันขึ้นข้อความรายงานข่าวไฟไหม้โรงแรมแกรนด์ ปาร์ค อเวนิว นำหน้าสำนักข่าวในโทรทัศน์และวิทยุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้เหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นจากห้องจัดเลี้ยง ชั้น 4 ของโรงแรม ขณะเกิดเหตุไม่มีงานเลี้ยง โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในการควบคุมเพลิง ส่วนสาเหตุก็คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ล่าสุดพบว่ามีผู้บาดเจ็บ 22 ราย สาหัส 1 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา และเสียชีวิตแล้ว 1 ราย

โดยขณะที่กรุงเทพมหานครกันพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ห้ามใช้งานจนกว่าเจ้าหน้าที่สำนักโยธาจะเข้าตรวจสอบความปลอดภัยอีกครั้ง เบื้องต้นพบว่าชั้น 4 ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด รวมทั้งเตรียมเข้าตรวจสอบระบบสปริงเกอร์ ว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่

หลังจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ ทางกรุงเทพมหานคร มีแนวความคิด ที่จะจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ในการเข้าดับเพลิงพื้นที่ในตึกสูง โดยมอบหมายให้สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ไปศึกษารายละเอียดทำโครงการมานำเสนอ เพื่อให้มีการพิจารณากันอีกครั้งด้วย

งานนี้ชาวอินเตอร์เน็ตก็ได้แต่ภาวนาขอพร ให้ผู้บาดเจ็บ พ้นขีดอันตรายโดยไว และขออย่าให้เหตุร้ายใด เกิดขึ้นกับประเทศไทย จนต้องมีผู้หนีตาย บาดเจ็บเป็นจำนวนมากเช่นนี้อีกเลย

“ขอให้ผู้บาดเจ็บหายไวๆ นะคะ ช่วงนี้มีเหตุร้ายบ่อย ยังไงก็ระวังตัว ตรวจดูตราบ้านช่องดูฟืนดูไฟก่อนนอนหรือออกจากบ้านด้วยนะคะ”

“น่าสงสารจังขอให้ปลอดภัยกันทุกคนนะคะ”

“ใกล้สงกรานต์แล้วด้วย ระวังนะครับเดี๋ยวนักท่องเที่ยวหายหมด”

“คิดเหตุผลอะไรไม่ออก ก็โทษไฟฟ้าลัดวงจรไว้ก่อนทุกที”

“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น กับคนดีๆ อีกเลย”

เรื่องที่ห้า กับการเปิดตัว “The New iPad” ที่ไม่มีการเพิ่มเลขรุ่นเป็น iPad3 อย่างที่หลายคนรอคอย หลังจากที่มีคลิปหลอกมาให้เราฮือฮาไปก่อน ทำให้เมื่อเห็นเจ้าตัว The New iPad เข้าจริงๆ สาวกแอปเปิ้ลก็แอบผิดหวังไปเหมือนกัน เพราะการคาดหวังถึงรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป และคุณสมบัติขั้นเทพอย่างที่เห็นในคลิปน่าจะเป็นจริง แต่แล้วหน้าตาที่เห็นแว๊ปแรก ก็ไม่ต่างจาก iPad2 นัก แต่อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติและแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจมากขึ้น

The new iPad  ที่มาภาพ :  http hitech.sanook.com
The new iPad ที่มาภาพ : http hitech.sanook.com
เริ่มตั้งแต่หน้าจอ Retina Display กับขนาด 9.7 นิ้ว หนา 9.4 มม. ความละเอียด 2048 ×1536 พิกเซล ( 264 PP) ถือเป็นการก้าวผ่านความละเอียดจอ ที่ต้องบอกว่าในที่สุดก็หลุดเข้าสู่ Retina Display เสียที หรือจะมองแบบเนกาทีฟนิดๆ ก็คือใส่ Retina Display ได้ตั้งนานแล้ว และ The New iPad คือ ช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด

ต่อกันที่ส่วนประมวลผล แอปเปิ้ลไม่เพิ่มเลขเช่นกัน แต่เติม X เข้าไป เข้าใจว่าเพื่อแยกความต่างของกราฟฟิคจาก Apple A5 พร้อมทั้งพรีเซ้นส์ความแรงเกทัพคู่แข่งตามฟอร์มว่า “แรงกว่า Tegra 3 กว่า 4 เท่า” สำหรับเจ้า
” Apple A5X” นอกจากนี้ The New iPad ยังพกความละเอียดกล้องมาที่ 5 ล้านพิกเซล กับ 1080p สำหรับงานวิดีโอ

ทั้งนี้แอปเปิ้ลเอง ก็ไม่ค้านกระแสของ 4G เช่นกัน ดังนั้น The New iPad จึงมาพร้อมกับ 4G LTE ความเร็วสูงที่ 73 Mbps ชั่วโมงบินของแบตเตอรี่ยังคงที่ 10 ชั่วโมง และ 9 ชั่วโมง สำหรับการใช้งานบน 4G และ รันมากับ iOS เวอร์ชั่น 5.1 ลงตลาดพร้อมกัน 10 ประเทศ ในวันที่ 16 มีนาคมนี้ ที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา สวิซเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง สิงค์โปร์ และ ออสเตรเลีย (ไม่มีประเทศไทย!!)

แต่ทั้งนี้ข่าววงในแว่วมาว่า The New iPad น่าจะมาถึงประเทศไทยประมาณต้นเดือนเมษายน ซึ่งแน่นอนการเปิดตัวเจ้า New iPad นี้ ทำให้ทางแอปเปิ้ล ลดราคา iPad2 ลงอย่างน่าสนใจ เมื่อถึงเวลานั่น สาวกแอปเปิ้ล คงเดินตัวเบาหวิวกันอีกรอบแน่นอน

“ตั้งแต่สตีฟจ๊อบตาย ก็ไม่มีไอเดียอะไรเพิ่มเลย แค่เพิ่มสเปกให้แรงขึ้นอย่างเดียว”

“อ้าว อย่างนี้ก็ต้องขายของเก่า ถอยของใหม่อีกแล้วสิ เมื่อไหร่จะได้ลืมตาอ้าปากซะที แต่ไม่เป็นไร เพื่อหน้าตา ฉันยอม ต้องตุนมาม่าอีกไว้แล้ว”

“ภาพสวย อย่างกับปกนิตยสาร มองไม่เห็นจุดพิกเซลเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ความพอเพียง ตามพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีใครจำได้แล้วหรือ”

“ฟุ่มเฟือยเกินไป จะตามเทคโนโลยีอะไรกันนักหนา เงินประทังชีวิต ใช้จ่ายแต่ละวันยังไม่พอเลย นี้รัฐบาลคงถอย The New iPad อีกแน่เลย เด็ก ป.1 ก็ใช้เครื่องคุณภาพแย่ๆไปก่อนนะ รัฐบาลคงงพิจารณาแล้ว ว่าเดี๋ยวเด็กทำพัง”