ThaiPublica > เกาะกระแส > เขื่อนแม่วงก์: ทำไม!!…ต้องค้าน

เขื่อนแม่วงก์: ทำไม!!…ต้องค้าน

9 มกราคม 2013


แนวคิดการสร้างเขื่อนกลับมาอีกครั้งหลังมหาอุทกภัยปี 2554 ตามแผนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล เขื่อนหลายเขื่อนถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อีกรอบ เช่นเดียวกับ “เขื่อนแก่งเสือเต้น” และ “เขื่อนแม่วงก์”

เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม ออกหนังสือเรื่อง “ทำไม!!…ต้องค้านเขื่อนแม่วงก์” เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลของป่าแม่วงก์ “หัวใจ” ของผืนป่าตะวันตก การมาของเขื่อน สู่ปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พร้อมเสนอทางออกการแก้ไขปัญหาและการจัดการน้ำ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจว่าเขื่อนแม่วงก์คืออะไร และทำไมต้องคัดค้าน

ความเป็นมาของเขื่อนแม่วงก์

ปี 2525 กรมชลประทานริเริ่มโครงการเขื่อนแม่วงก์

ปี 2537 มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) มีความเห็นให้กรมชลประทานศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมบริเวณเขาชนกัน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าเขาสบกก

ปี 2540 กรมชลประทานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมตามมติ คชก.

ปี 2541 มติที่ประชุม คชก. วันที่ 23 มกราคม ครั้งที่ 1/2541 “ไม่เห็นชอบกับการดำเนินโครงการเขื่อนแม่วงก์”

ปี 2543 ทำประชาพิจารณ์โครงการเขื่อนแม่วงก์

ปี 2545 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติครั้งที่ 3 ยังไม่เห็นชอบต่อรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้กรมชลประทานหาทางเลือกของที่ตั้งโครงการ และศึกษาเพิ่มเติมการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบในลักษณะบูรณาการ

ปี 2555 มีมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 เมษายน 2555 เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 13,280 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี โดยผูกพันงบประมาณถึงปีงบประมาณ 2562

เหตุผลสำคัญที่ต้องคัดค้านการสร้างเขื่อนมีอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านนิเวศ และด้านเศรษฐกิจและสังคม

ปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้านนิเวศ คือ ระบบนิเวศทั้งหมดจะถูกคุกคาม เกิดการทำลายป่าต้นน้ำ และอาจเกิดการลักลอบตัดไม้ริมอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก เร่งให้สัตว์ป่าสูญพันธ์ เช่น นกยูง เสือโคร่ง และลักลอบล่าสัตว์ป่าได้ง่าย นอกจากนี้ ยังทำให้สัตว์ป่าสูญเสียที่อยู่อาศัย ทำลายโอกาสการฟื้นฟูของอุทยาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อป่ามรดกโลก “ห้วยขาแข้ง”

ด้านเศรษฐกิจและสังคม คือ เนื่องจากเขื่อนแม่วงก์มีขนาดเล็กจุน้ำได้สูงสุด 262 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงไม่คุ้มค่ากับการลงทุน อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมได้ นอกจากนี้ยังทำลายแหล่งศึกษาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และทำลายความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของไทยด้วย รวมถึงเป็นช่องทางให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์อื่นๆ ได้อีกในอนาคต

ความสำคัญของป่าแม่วงก์

ป่าแม่วงก์บริเวณที่จะถูกน้ำท่วมเป็นป่าริมน้ำและป่าที่ราบต่ำ ซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 200 เมตร เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้าง เสือ และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ป่าด้วย แม้ว่าสูญเสียป่าแม่วงก์ไป 18 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 2 ของป่าทั้งหมด แต่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของป่าทั้งระบบมาก เพราะมันคือ “หัวใจ”

เหตุที่ป่าแม่วงก์เปรียบเหมือนหัวใจเพราะเป็นส่วนสำคัญของผืนป่าตะวันตก ที่เกิดจากป่าอนุรักษ์ 17 ผืนต่อกันเป็นป่าผืนใหญ่ขนาด 11.7 ล้านไร่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือโคร่ง ช้าง กระทิง วัวแดง สมเสร็จ ควายป่า ฯลฯ

ป่าแม่วงก์ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มา 25 ปีแล้ว และเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของสัตว์ป่า เนื่องจากเป็นป่าที่สมบูรณ์ จึงเป็นบ้านและแหล่งอาหารของสัตว์ป่าที่หากินนอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบที่ไม่สามารถป้องกันในช่วงเวลาก่อสร้างเขื่อนตลอด 8 ปี ได้แก่ การตัดไม้เกินพื้นที่ที่กำหนด การลักลอบล่าสัตว์ป่า เสียงที่ดังรบกวนสัตว์ป่า การยึดพื้นที่ริมอ่างและการเก็บหาของป่า

ปริมาณน้ำที่กักเก็บในเขื่อนแม่วงก์คิดเป็นร้อยละ 1 ของน้ำทั้งหมดที่ท่วมลุ่มน้ำภาคกลางในปี 2554 ดังนั้น เขื่อนนี้จึงไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคกลาง และไม่เกิดความคุ้มค่าแก่การลงทุนหากสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม

หรือกรณีที่น้ำท่วม อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ มีน้ำเพียงร้อยละ 10-20 เท่านั้นที่มาจากแม่วงก์ที่เขาสบกก ส่วนอีกร้อยละ 80 ที่เหลือคือน้ำที่มาจากลำน้ำสาขาอีก 16 สายใต้เขื่อนแม่วงก์ ซึ่งปัญหาที่น้ำท่วมก็เพราะถนนขวางทางระบายน้ำ รวมถึงการปลูกพืชเชิงเดี่ยวบนเขา ซึ่งทำให้น้ำหลากมาถึงบ้านที่อยู่ในที่ราบอย่างรวดเร็ว และถึงแม้จะสร้างเขื่อนได้แล้ว ปริมาณน้ำนองที่ อ.ลาดยาวก็ลดลงไม่ถึงร้อยละ 30

พื้นที่ชลประทานของเขื่อนแม่วงก์กินอาณาบริเวณรวม 5 อำเภอ 3 จังหวัด คือ นครสวรรค์ อุทัยธานี และกำแพงเพชร ได้แก่ อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ เป็นอำเภอที่ได้น้ำใช้มากที่สุด รวมกว่า 2 แสนไร่ คิดเป็นร้อยละ 70.5 ของพื้นที่ชลประทานทั้งหมด, อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ประมาณ 4.3 หมื่นไร่, อำเภอเมืองนครสวรรค์ ประมาณ 2.6 หมื่นไร่ อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ประมาณ 1 หมื่นไร่ และอำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร กว่า 5 พันไร่

ข้อมูลการส่งน้ำชลประทานในฤดูแล้งจากร่าง EIA โดยบริษัทครีเอทีฟ เทคโนโลยี จำกัด เมื่อเดือนเมษายน 2555 ระบุว่า มีพื้นที่ชลประทานทั้งหมด 291,900 ไร่ ซึ่งจริงๆ แล้วมีพื้นที่ได้รับน้ำจากเขื่อนเพียง 70,000 ไร่ เท่านั้น

ตัวอย่างเช่น เขื่อนทับเสลา จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบรรเทาการขาดแคลนน้ำ ขนาดความจุปกติ 160 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบันมีน้ำเพียง 40 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งใช้ได้จริงเพียง 25 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น โดยปริมาณน้ำที่ใช้ได้จริงสามารถไปถึงพื้นที่ชลประทานได้เพียง 12,000 ไร่ จากทั้งหมดกว่า 140,000 ไร่

ปัญหาของเขื่อนแม่วงก์ที่หลายคนอาจไม่รู้คือ เรื่อง “เวนคืนที่ดิน” เพื่อทำคลองยาว 500 กิโลเมตร และคลองระบายน้ำ ซึ่งต้องเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านกว่าพันราย รวมที่ดิน 10,892 ไร่

นอกจากนี้ต้องเวนคืนที่ดินอื่นๆ เพิ่มอีกในการสร้างเขื่อน คือ
– ที่ดิน 850 ไร่ ที่บ้านคลองไทร ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ เพื่อใช้เป็นบ่อยืมดิน
– ที่ดิน 55 ไร่ ที่บ้านท่าตาอยู่ ต.ปางมะค่า เพื่อใช้ปรับปรุงฝายท่าตาอยู่
– ที่ดิน 173 ไร่ ติดเขาสบกก เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่หัวงาน

นอกจากนี้อาจมีปัญหาว่า ชาวบ้านต้องสูบน้ำเข้าที่นาเอง เนื่องจากเขื่อนมีขนาดเล็ก และน้ำอาจไม่มากพอส่งมาท้ายเขื่อนของพื้นที่ชลประทาน และปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้มีอำนาจที่อาจได้รับประโยชน์การใช้น้ำชลประทานก่อน เพราะรัฐยังไม่ระบุว่าพื้นที่ระบบชลประทานหน้าแล้งตรงไหนที่ได้รับประโยชน์

ในขณะที่ชาวบ้านสามารถจัดการปัญหาเรื่องน้ำด้วยตนเองได้ เช่น “ชาวนาที่ศาลเจ้าไก่ต่อ” ทำนาโดยใช้ระบบสูบน้ำและส่งน้ำบาดาล โดยการขุดคลองรอบคันนาเพื่อส่งน้ำไปใช้ ด้านหนึ่งของคันนาจะขุดเป็นบ่อพักน้ำหมุนเวียนในนาซึ่งเลี้ยงปลาไว้เป็นรายได้เสริมด้วย หรือทางออกเรื่องน้ำระดับชุมชนของ “บ้านธารมะยม” ที่มีเขาแม่กระทู้เป็นต้นน้ำ และใช้ต้นน้ำนี้ทำประปาภูเขา นอกจากนี้ตามลำห้วยก็สร้างฝายกั้นน้ำ สร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อไปใช้ในที่นา รวมถึงขุดบ่อน้ำไว้เลี้ยงปลาด้วย เมื่อน้ำอุดมสมบูรณ์ ชุมชนก็ทำเกษตรได้ มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และเงินค่าน้ำประปาภูเขาก็กลายมาเป็นกองทุนและสวัสดิการต่างๆ ของชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างการแก้ปัญหาเรื่องน้ำในระดับตำบลโดยภาครัฐที่ ต.หนองหลวง อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กในตำบล เช่น สร้างฝาย อ่างเก็บน้ำ โครงการสูบน้ำ ซึ่งก็เพียงพอต่อการอุปโภค-บริโภคของคนในตำบล หรือทางออกการจัดการน้ำที่ยั่งยืนอย่าง “ปิดทองหลังพระ model” ของโครงการปิดทองหลังพระจังหวัดน่าน ที่สร้างถังเก็บน้ำไว้ในหมู่บ้าน สร้างฝายต้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ และสร้างอ่างพวงเพื่อส่งน้ำไปใช้เพื่อการเกษตร รวมถึงปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย

หากไม่มีเขื่อน ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้และอยู่ดี เพราะ

1. มีป่าเขาชนกันที่มีสายน้ำไหลตลอดปีกว่า 10 สาย ซึ่งสามารถจัดการได้ตามแบบบ้านธารมะยม และ ต.หนองหลวง

2. มีน้ำใต้ดินที่ลึกเพียง 3 เมตร หรือลึกกว่า ที่สามารถพัฒนาเป็นสระน้ำในไร่นาได้แบบที่ “ศาลเจ้าไก่ต่อ”

3. หลายพื้นที่อาจพัฒนาระบบอ่างเก็บน้ำหลักและอ่างพวงตามแบบ “ปิดทองหลังพระโมเดล”

4. ลำน้ำนอกเขตอุทยานก็สามารถพัฒนาเป็นแหล่งเก็บน้ำได้อีกมาก โดยปรับปรุงฝายเดิมหรือสร้างใหม่ให้เหมาะสม

5. ให้งบประมาณแก่คนทั้ง 23 ตำบล ตำบลละ 200 ล้านบาท รวมเป็น 4,600 ล้านบาท แล้วหาทางพัฒนาแหล่งน้ำโดยชาวบ้านแล้วให้ข้าราชการเป็นที่ปรึกษา ดีกว่าสร้างเขื่อนทับป่าสมบูรณ์ พร้อมคลองชลประทานดาดคอนกรีต 500 กิโลเมตร ด้วยงบ 13,000 ล้านบาท

6. ให้แม่วงก์เป็นต้นแบบโครงการที่ราษฎรและข้าราชการร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำโดยไม่ทำลายป่าเพื่อสร้างเขื่อน

7. ขยายพื้นที่มรดกโลกทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง โดยรวมอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติคลองลาน และทั้งผืนป่าตะวันตกเข้าด้วยกัน

“เขื่อนคือที่เก็บน้ำชั่วคราว แต่ป่าคือที่เก็บน้ำชั่วชีวิต”

อ่านเพิ่มเติม หนังสือ “ทำไม!!…ต้องค้านเขื่อนแม่วงก์” โดยเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม กรกฎาคม 2555