สัมปทานดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน จากอดีตถึงปัจจุบัน 5 ปี ‘คิง เพาเวอร์’ ขอแก้สัญญาตลอด 2.3 หมื่นล้าน/ปี ข้อเสนอที่ AOT ไม่เคยได้
ต่อกรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้ทำหนังสือถึงบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ “AOT” ขอยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร หรือ “สัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี” ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ AOT ไม่ว่าจะเป็นที่ท่าอากาศยานภูเก็ต , เชียงใหม่ , หาดใหญ่ , ดอนเมือง และสุวรรณภูมิตามที่สื่อหลายสำนักได้นำเสนอ โดยอ้างเหตุสุดวิสัย 7 ข้อ
- การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายภาครัฐ
- การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร
- การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ ทอท.
- การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวส่งผลให้การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน
- สถานการณ์ภายในประเทศไทยอันส่งผลทางลบต่อจำนวนนักท้องเที่ยวและจำนวนผู้โดยสาร
- สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19
- สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
โดยเหตุปัจจัยดังกล่าวที่ไม่ใช่ความผิดของบริษัท คิง เพาเวอร์ ฯ แต่ส่งผลกระทบกับบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯ ประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอดจากการแบกรับอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงผิดปกติ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และสถานการณ์ เป็นเหตุให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯต้องมาขอเลื่อนจ่ายค่าผลตอบแทนขั้นต่ำให้กับ AOT เป็นระยะๆ ทางบริษัท คิง เพาเวอร์ ฯจึงมีความจำเป็นต้องขอเจรจา เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมถึงการยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานของ ทอท.
ความจริงเหตุปัจจัยที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีกับ AOT ลึกๆแล้วน่าจะมาจากการที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ต้องไปแบกรับภาระในการจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงผิดปกติ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปิดประมูลคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรของ AOT เมื่อปี 2562 ที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ระหว่าง บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ผู้รับสัมปทานเจ้าเก่าดั่งเดิม กับ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก แอร์เวย์ส โฮลดิ้ง จำกัด ที่ไปชวนบริษัท โฮเต็ล ล็อตเต้ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจร้านค้าปลอดอากรรายใหญ่ของโลกมาประมูลในนามของกิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี และยังกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED ในเครือ Dufry ทำให้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ต้องยื่นข้อเสนอจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ให้กับ AOT มากกว่าคู่แข่งเกือบ 2 เท่าตัว กลายเป็นภาระที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ต้องแบกรับมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างสัมปทานดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ เสนอจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำให้ AOT ปีละ 15,419 ล้านบาท ขณะที่กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี เสนอจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 8,516 ล้านบาท และกิจการร่วมค้ากลุ่มบริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เสนอจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 7,255 ล้านบาท
ส่วนสัมปทานดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค (ภูเก็ต ,เชียงใหม่ และหาดใหญ่) บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯเสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 2,331 ล้านบาท , กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 2,108 ล้านบาท และกิจการร่วมค้าบริษัท โรงแรมรอยัลออคิดฯ เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 2,012 ล้านบาท
ขณะที่สัมปทานบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 5,798 ล้านบาท และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 3,003 ล้านบาท
โดยนายนิตินัย ศิริสมรรถการ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ได้สรุปผลการประมูลโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “รวม 3 สัญญา ปีงบประมาณ 2564 ทอท.จะได้รายได้ 23,548 ล้านบาท สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ระดับราว 10,000 ล้านบาท อย่างมีนัยยะครับ…. เราเชื่อว่าการประมูลในรูปแบบนี้จะให้ผลประโยชน์กับองค์กรและประเทศสูงสุดครับ”
หลังจาก AOT กับบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ก็ได้ลงนามในสัญญาอนุญาตจำหน่ายสินค้าปลอดอากรเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาค 3 แห่ง มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2574 ซึ่งในสัญญากำหนดให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้กับ AOT เอาไว้ 2 วิธี คือ 1. กำหนดให้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ ทอท.เป็นรายเดือน 20% ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย หรือ 2. กำหนดให้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือน โดยนำค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ เคยยื่นข้อเสนอไว้ตามที่กล่าวข้างต้นนำมาเฉลี่ยเป็นรายเดือน โดยวิธีไหน AOT ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าให้ใช้วิธีนั้น
ปรากฏว่า AOT ยังไม่ทันได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนตามที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯ เคยยื่นข้อเสนอไว้ตอนที่ประมูล ก็มาเกิดเหตุการณ์ไวรัส โควิด – 19 ระบาด กระบวนการในการปรับแก้ไขสัญญาสัมปทานจึงเริ่มต้นขึ้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ก็ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการในสนามบิน 6 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดฯ โดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือน หรือ รายปีตามที่ตกลงไว้ในสัญญา และให้ AOT เรียกเก็บเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือนเป็น “ร้อยละ หรือ เปอร์เซ็นต์” ของรายได้จากยอดขายสินค้าปลอดอากร ก่อนหักค่าใช้จ่าย ค่าภาษี และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แทน โดยให้ผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
และก่อนที่มาตรการเยียวยาโควิดฯชุดแรกจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ก็มีมติกำหนดอัตราการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำใหม่ หลังวันที่ 1 เมษายน 2565 โดยให้นำค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯเคยยื่นเป็นข้อเสนอราคาในการประมูล (ปี 2564) มากำหนดเป็นอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำในปีแรกของรอบสัญญาที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ต้องจ่ายให้ ทอท.
จากนั้นในการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 7/2563 ได้มีมติขยายอายุสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีออกไปอีก 1 ปี จากเดิมสิ้นสุดในปี 2574 ขยายเป็นปี 2575
ต่อมา บริษัท คิง เพาเวอร์ฯมีหนังสือถึง AOT ขอให้ทบทวนแนวทางการเรียกค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ หลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาฯ (31 มี.ค.2565) ตามมติคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 3/2563 นั้น ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ ทางสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาดของ AOT ได้นำเรื่องของบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ไปศึกษา เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.ใช้ประกอบการพิจารณา ได้ข้อสรุป 2 แนวทางดังนี้
แนวทางที่ 1 ยืนยันตามมติคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ให้นำค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ เคยยื่นข้อเสนอในการประมูล มากำหนดเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำในปีแรกของรอบสัญญา (เมื่อปี 2564) หลังสิ้นสุดมาตรการเยียวยา คือ เริ่มจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเต็มตามจำนวนที่บริษัท คิง เพาเวอร์ เคยยื่นข้อเสนอ
ข้อดี คือ
- ทอท.ได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเต็มตามจำนวนที่บริษัทเคยยื่นข้อเสนอ ส่งผลดีต่อรายได้รวมของ AOT
- เป็นแนวทางที่ ทอท.ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯและสาธารณชนรับทราบๆไปก่อนหน้านี้ จึงลดกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับมูลค่าหุ้นของ ทอท.
ข้อเสีย คือ
- หากสิ้นสุดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการแล้วจำนวนผู้โดยสารยังไม่กลับมาเป็นปกติ อาจะส่งผลต่อความสามารถของบริษัทฯในการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ ทอท.จนอาจขอยกเลิกสัญญากับ ทอท.ในที่สุด
- หากมีการยกเลิกสัญญา ทอท.จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเปิดประมูลหาผู้ประกอบการรายใหม่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับความต่อเนื่องในการให้บริการผู้โดยสาร
- การประมูลหาผู้ประกอบการรายใหม่ในสถานการณ์ ซึ่งจำนวนผู้โดยสารลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีความเป็นไปได้ที่ ทอท. จะได้รับข้อเสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนน้อยลง
แนวทางที่ 2 เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ โดยให้พิจารณาค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) นำมาคำนวณกับจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้น
ข้อดี คือ
- เป็นธรรมกับผู้ประกอบการในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเป็นการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง ทำให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนแก่ ทอท.
- ทอท.ยังคงมีผู้ประกอบการเพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการของท่าอากาศยาน
- เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ทอท.จะสามารถรักษาระดับรายได้ค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากกิจกรรมจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และบริหารจัดการเชิงพาณิชย์อย่างมั่นคง
ข้อเสีย คือ
- ทอท.จะไม่ได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเต็มตามจำนวนที่ได้รับข้อเสนอจากการประมูล จนกว่าจำนวนผู้โดยสารจะกลับมาเท่ากับประมาณการที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯคำนวณตอนยื่นเสนอราคา
- เมื่อนักลงทุนและสาธารณชนทราบข่าว อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นของ ทอท. ซึ่ง ทอท.จำเป็นต้องชี้แจงต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
จากนั้นฝ่ายบริหารของ AOT ก็นำผลการศึกษาดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 โดยที่ประชุมบอร์ด AOT มีมติอนุมัติให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ , ภูเก็ต , เชียงใหม่ และหาดใหญ่ และสัญญาสัมปทานบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังสิ้นสุดมาตรการเยียว (31 มีนาคม 2565) โดยให้พิจารณาจากค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) และจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริงดังนี้
- ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ไปจนถึงวันที่จำนวนผู้โดยสารมีจำนวนเท่ากับ หรือ มากกว่าจำนวนผู้โดยสาร ตามประมาณของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือ บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ สุวรรณภูมิ จำกัด แล้วแต่กรณีในปี 2564 ที่อ้างอิงจากเอกสารการประมูล ให้นำค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯใช้ยื่นข้อเสนอในปีแรก (ปี 2564) หารด้วยจำนวนผู้โดยสารตามประมาณการของบริษัท คิง เพาเวอร์ในปี 2564 เพื่อคำนวณหาค่า Sharing Per Head จากนั้นให้นำมูลค่าที่ได้มาคูณกับจำนวนผู้โดยสารจริงของ ทอท.ในปีนั้นๆ เพื่อกำหนดเป็นค่าผลประโยชน์ตอนแทนขั้นต่ำในปีนั้นๆ
- สำหรับปีถัดไปจากข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ โดยใช้สูตรการคำนวณ MAG(i) โดยพิจารณาจากอัตราการเจริญเติบโตของผู้โดยสารประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของปีปฏิทินก่อนหน้า
- ให้ฝ่าบบริหาร ทอท.รับข้อสังเกต หรือ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ทอท.ไว้เป็นแนวทางดำเนินการ ซึ่งควรชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจว่า ในการกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดฯนั้น ทอท.มีแนวคิด และเหตุผลในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างไร ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้มีการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปเผยแพร่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ ทอท.
สรุปว่า ที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 8/2563 มติเห็นชอบการเรียกเก็บค่าผลประโยขน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตามแนวทางที่ 2 โดยใช้ Sharing Per Head ที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯเคยยื่นข้อเสนอในการประมูลนำมาคูณกับจำนวนผู้โดยสารจริงของ ทอท.ในปีนั้น ยกตัวอย่าง สัมปทานดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คำนวณหาค่า Sharing Per Head ตามแนวทางดังกล่าวได้ 233.40 บาท/คน หากนำไปคูณกับจำนวนผู้โดยสาร 66.06 ล้านคน ตามที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด เคยยื่นข้อเสนอไว้ก่อหน้านี้ วิธีนี้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำให้ ทอท.หลังสิ้นสุดมาตรการเยียวยาปีละ 15,419 ล้านบาท แต่ถ้านำค่า Sharing Per Head ดังกล่าว มาคูณกับจำนวนผู้โดยสารจริงของ ทอท.ในปีนั้นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ทอท.ได้ยกตัวอย่าง ประมาณการจำนวนผู้โดยสารในปี 2565 อยู่ที่ 37.61 ล้านคน ตามแนวทางที่ 2 คาดว่าบริษัท คิง เพาเวอร์ฯจะต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำให้กับ AOT ประมาณ 8,777.79 ล้านบาท นี้จะส่งผลทำให้ AOT ไม่ได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเต็มตามจำนวนที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ เคยยื่นข้อเสนอเอาไว้ไปจนกว่าจำนวนผู้โดยสารจะกลับมาเท่ากับประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ฯ เคยประมาณการเอาไว้
จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยของนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ต่อจาก นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ที่จะหมดวาระในเดือนเมษายน 2566 ที่ประชุม ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปศึกษาปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต และยกเลิกคลังสินค้าทัณฑ์บน สำหรับนำมาขายในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า
แต่หลังจากกระทรวงการคลังกลับไปศึกษาประเด็นข้อกฎหมายแล้ว พบว่า ประกาศกรมศุลกากร (ศก.) ที่ 44/2561 ข้อ 21 ให้อำนาจกรมศุลกากรยกเลิกคลังสินค้าทัณฑ์บนดังกล่าวได้เฉพาะกรณีที่ไม่ปฏิบัติ หรือ ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายศุลกากรเท่านั้น แต่การสั่งระงับสิทธิในกรณีอื่น กฎหมายไม่ได้บัญญัติเอาไว้
ต่อมาปรากฏว่า มีผู้ประกอบการดิวตี้ฟรี 3 ราย ได้ทำหนังสือแจ้งอธิบดีกรมศุลกากรว่า “ยินดีที่จะหยุดดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านดิวตี้ฟรีขาเข้าตามนโยบายของรัฐบาล ไปจนกว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกนโยบายดังกล่าว” ทางกระทรวงการคลังจึงนำเรื่องนี้เสนอที่ประชุม ครม. วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 ที่ประชุม ครม. ก็มีมติรับทราบแนวทางการหยุดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีขาเข้า ตามที่กระทรวงการคลังนำเสนอ โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย
‘คิง เพาเวอร์’ เลิกขายดิวตี้ฟรีขาเข้า เริ่ม 1 ส.ค.2567
หลังจากที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวได้ประมาณ 2 สัปดาห์ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ก็ทำหนังสือมาถึง ทอท. 3 ฉบับ ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ตอบรับมาว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยินดีให้ความร่วมมือกับกรมศุลกากร เพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 โดย บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี หยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ , ภูเก็ต , เชียงใหม่ , หาดใหญ่ และดอนเมือง นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
จี้ AOT รื้อสูตร – ปรับลดค่าตอบแทนขั้นต่ำ หลังคืนพื้นที่ดิวตี้ฟรี
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ทางบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ขอให้ ทอท.พิจารณาดังนี้
- การประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ขอให้ ทอท. พิจารณาเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตรา 20% ของรายได้จากการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร หรือ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (sharing per head) ในอัตราประมาณ 215 บาท/ผู้โดยสาร 1 คน (วิธีไหน ทอท.ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่า ให้ใช้วิธีนั้น) โดยคำนวณเฉพาะในส่วนของผู้โดยสารขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำเท่านั้น
- การประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ขอให้ ทอท. พิจารณาเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตรา 20% หรือ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร ในอัตราประมาณ 103 บาท/ผู้โดยสาร 1 คน (วิธีไหน ทอท.ได้รับผลประโยชน์ฯมากกว่าให้ใช้วิธีนั้น) โดยคำนวณเฉพาะในส่วนของผู้โดยสารขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำเท่านั้น
คิดค่าตอบแทนขั้นต่ำเฉพาะผู้โดยสาร ‘ขาออก–ผ่านลำ’
- การประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ขอให้ ทอท. พิจารณาจัดเก็บค่าผลประโยชน์ตอนแทนให้สอดคล้องตามข้อเท็จจริง โดยขอให้ยกเลิกการจัดเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ในส่วนของร้านค้าปลอดอากรขาเข้า และให้ ทอท.เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ เฉพาะในส่วนของร้านค้าปลอดอากรขาออก และผู้โดยสารผ่านลำเท่านั้น
4 .ขอให้ ทอท. พิจารณาระงับการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำล่วงหน้า (เดือนสิงหาคม 2567) ที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ต้องชำระภายในเดือนกรกฎาคม 2567 ไปพลางก่อน จนกว่าจะได้ความชัดเจนในเรื่องของการกำหนดอัตราค่าผลประโยน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร เฉพาะในส่วนของพื้นที่ร้านค้า และผู้โดยสารที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยังสามารถประกอบกิจการต่อไปได้ (พื้นที่ผู้โดยสารขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำ)
ชงบอร์ด ทอท. รื้อสูตรคำนวณใหม่ หลังคืนพื้นที่ ‘ดิวตี้ฟรีขาเข้า’
หลังจาก ทอท.ได้รับหนังสือจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ก็นำเรื่องดังกล่าวนี้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณารายได้ของ ทอท. เพื่อพิจารณาค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่เรียกเก็บจากบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ หลังจากที่บริษัทฯได้ส่งคืนพื้นที่ประกอบกิจการดิวตี้ฟรีขาเข้า โดย ทอท.ได้นำเรื่องผลการพิจารณาเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 มีมติอนุมัติให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, หาดใหญ่ และดอนเมือง โดยมีรายละเอียดดังนี้
- สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ตามสัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร และสัญญาเช่าพื้นที่ในท่าอากาศยาน พร้อมทั้งบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาอนุญาตฯ และสัญญาเช่าฯ ที่เกี่ยวข้อง จากการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรับคืนพื้นที่ประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า โดยพิจารณาจากค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร และจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำที่เกิดขึ้นจริง ดังนี้
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 จนถึงปีที่จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำที่เกิดขึ้นจริงของ ทอท. มีจำนวนเท่ากับหรือมากกว่าจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำ ตามประมาณการของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรีในปี 2564 ที่อ้างอิงจากเอกสารการประมูล โดยให้นำอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ใช้ยื่นข้อเสนอในปีแรก (ปี 2564) ลบด้วยค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ลดลง จากการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิปรับลดพื้นที่ประกอบกิจการ เพื่อนำมาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก 899.99 ตารางเมตร และลบด้วยค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ลดลงจากการที่ ทสภ. รับคืนพื้นที่ประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าตามนโยบายรัฐบาล 1,457.70 ตารางเมตร หารด้วยจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำ ตามประมาณการของ KPD ในปี 2564 เพื่อคำนวณหาค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) ประมาณ 371 บาทต่อหัว (เดิม 233.40 บาท/หัว) จากนั้นให้นำมูลค่าที่ได้มาคูณกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออกและผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำที่เกิดขึ้นจริงของ ทอท. ในปีนั้นๆ เพื่อกำหนดเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำในปีนั้นๆ
- สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค เชียงใหม่, ภูเก็ต และหาดใหญ่ ให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ตามสัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร และสัญญาเช่าพื้นที่ในท่าอากาศยาน พร้อมทั้งบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาอนุญาตฯ และสัญญาเช่าฯ ที่เกี่ยวข้อง จากการที่ท่าอากาศยานภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ รับคืนพื้นที่ประกอบกิจการคลังสินค้าทัณฑ์บนขาเข้า โดยพิจารณาจากค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร และจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องผ่านลำที่เกิดขึ้นจริง ดังนี้
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 จนถึงปีที่จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำที่เกิดขึ้นจริงของ ทอท. มีจำนวนเท่ากับหรือมากกว่าจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศชขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำ ตามประมาณการของ KPD ในปี 2564 ที่อ้างอิงจากเอกสารการประมูล โดยให้นำอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ใช้ยื่นข้อเสนอในปีแรก (ปี 2564) ลบด้วยค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ลดลงจากการที่ท่าอากาศยานภูเก็ตปรับลดพื้นที่ประกอบกิจการ เพื่อนำมาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวน 491.22 ตารางเมตร และลบด้วยค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ลดลง จากการที่ท่าอากาศยานภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ รับคืนพื้นที่ประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจำนวน 217.452 ตารางเมตร หารด้วยจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำ ตามประมาณการของบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ในปี 2564 เพื่อคำนวณหาค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) ประมาณ 184.83 บาทต่อหัว (เดิม 127.30 บาท/หัว) จากนั้นให้นำมูลค่าที่ได้มาคูณกับจำนวนผู้โดยสารรระหว่างประเทศขาออก และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง/ผ่านลำที่เกิดขึ้นของ ทอท. ในปีนั้นๆ เพื่อกำหนดเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนชั้นต่ำในปีนั้น ๆ
- สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตามสัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร และสัญญาเช่าพื้นที่ในท่าอากาศยานดอนเมือง พร้อมทั้งบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาฯ และสัญญาเช่าฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือนเฉลี่ยในปีแรกตามสัญญาฯ มาคูณกับพื้นที่ประกอบกิจการที่เหลืออยู่จำนวน 1,721.45 ตร.ม. ภายหลังจากการที่ ทดม. รับคืนพื้นพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรขาเข้า โดยคิดเป็นต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ยังมีมติอนุมัติแนวทางการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของเดือนสิงหาคม 2567 ที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ต้องชำระภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ดังนี้
- สัญญาประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสัญญาประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค เชียงใหม่, ภูเก็ต และหาดใหญ่ ให้ปรับวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ สำหรับปีสัญญาที่ 3 ของบริษัทคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ในกรณีที่ ทอท. ยังไม่ทราบจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2567 – 31 มีนาคม 2568 (8 เดือน) ให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ภายหลังปรับลดพื้นที่จากการหยุดประกอบกิจการคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า ตามผลการพิจารณาของ ทอท. โดยให้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือน ตั้งแต่งวดเดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไปเดือนละ 677.19 ล้านบาท รวม 8 เดือน บริษัท คิง เพาเวอร์ฯต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ ทอท. 5,417.56 ล้านบาท (ดูตารางประกอบ)
- สัญญาประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ให้ปรับวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ โดยให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ภายหลังปรับลดพื้นที่จากการหยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า ตามผลการพิจารณาของ ทอท.โดยให้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือน ตั้งแต่งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป เดือนละ 84.99 ล้านบาท รวม 8 เดือน 679.98 ล้านบาท (ดูตารางประกอบ)
ส่วนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของเดือนสิงหาคม 2567 ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 นั้น ให้บริษัทคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามกำหนดการเดิม และในกรณีที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี มีข้อโต้แย้งในการปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตามผลการพิจารณาของ ทอท. ให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือน ตามอัตราเดิมก่อนการรับคืนพื้นที่ประกอบกิจการคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า สำหรับรายละเอียดเงื่อนไขการประกอบกิจการอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ตามที่กล่าวข้างต้น ให้เป็นไปตามสัญญาอนุญาตฯ และสัญญาเช่าฯ พร้อมทั้งบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาอนุญาตฯ และสัญญาเช่าฯ ที่เกี่ยวข้องของแต่ละท่าอากาศยาน ตลอดจนตามที่ ทอท. กำหนดทุกประการ
‘คิง เพาเวอร์’ ขาดสภาพคล่อง ขอยืดจ่ายค่าสัมปทาน 18 เดือน
ปรากฎว่าบริษัท คิง เพาเวอร์ ฯ ประสบปัญหาสภาพคล่อง ทำหนังสือลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 ถึง ทอท. ขอเลื่อนจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ , ภูเก็ต , เชียงใหม่ , หาดใหญ่ , และดอนเมือง โดยอ้างผลกระทบ โควิดฯ ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงอย่างมาก แม้สถานการณ์ของ โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ก็ยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และไม่สามารถฟื้นคืนธุรกิจได้อย่างเต็มที่ตามที่เคยประเมินไว้ รวมถึงความจำเป็นที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อการปรับปรุง ก่อสร้าง ติดตั้งระบบต่าง ๆ ภายในอาคารผู้โดยสารในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ,ภูเก็ต และดอนเมือง ส่งผลทำให้บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ประสบปัญหาสภาพคล่อง รวมทั้งค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ต้องชำระให้แก่ ทอท.นั้น คิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ในปัจจุบัน ขณะที่ยอดขายสินค้าปลอดอากรไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้โดยสารระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าปลอดอากร ก็เติบโตน้อยลงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ ทำให้ผลประกอบการของบริษัท คิง เพาเวอร์ฯในปี 2566 ขาดทุน 615.51 ล้านบาท
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ จึงขอเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ซึ่งครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2568 (รวม 12 งวด) ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน
AOT จัดโครงการเลื่อนจ่ายค่าสัมปทานสูงสุด 24 เดือน
ต่อมา ทอท.ได้นำโครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญสภาพคล่องตกต่ำ เสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 มีมติให้ความเห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่ขาดสภาพคล่อง โดยมีหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการและเงื่อนไขของโครงการ ดังนี้
1 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการล่วงหน้า ก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่อง ให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568
2. ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ ต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญา ต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี
3. ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570)
4. ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ และสายการบิน ต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระฯทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง (ธนาคารกรุงเทพ , ธนาคารกรุงไทย , ธนาคารกสิกรไทย , ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา) และบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ และสายการบินแต่ละรายได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง
5. ในกรณีที่ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯงวดใดงวดหนึ่ง หรือ มีหนี้เกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไขของสัญญาต่อไป
6. ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้ และให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด
หลังจากนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ยื่นหนังสือลาออกตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT มีผลตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2568 เป็นต้นไป ล่าสุด บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ทำหนังสือลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ถึง ทอท. ขอยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. โดยอ้างถึงผลกระทบจาก 7 สถานการณ์รุมเร้า ตามที่ไทยพับลิก้านำเสนอ ก่อนที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. 2 สมัย จะเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ “CEO” บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
จากนั้นที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. โดยว่าจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ มาทำการนศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทั้งประเด็นข้อกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน การบริหารธุรกิจ และวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน และให้เสนอคณะกรรมการ ทอท.พิจารณาต่อไป