ThaiPublica > คอลัมน์ > เปิดตำนาน MET Gala กับดราม่าล่าสุดของลิซ่า

เปิดตำนาน MET Gala กับดราม่าล่าสุดของลิซ่า

15 มิถุนายน 2025


1721955

ข่าวนี้ไม่ใหม่แล้ว เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อต้นพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เราเพิ่งจะมีเวลามาเขียนถึง ต้องขอโทษด้วยที่อาจจะล่าช้า ครั้นจะข้ามไปเลยก็เสียดาย เลยขออนุญาตเก็บตกความเป็นตำนานของงาน MET Gala และพ่วงประเด็นดราม่าของ ลิซ่า
หลายสำนักข่าวอธิบายว่า MET Gala เป็นงานแฟชั่นใหญ่ประจำปีที่จัดโดยเจ้าแม่สายแฟ แอนนา วินทัวร์ บรรณาธิการนิตยสาร Vogue ซึ่งจะว่างั้นก็อาจจะใช่ แต่ก็ไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด เพราะอันที่จริง MET Gala เป็นงานระดมทุนเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ปี 1948 หรือเมื่อ 77 ปีก่อน…ก่อนที่แอนนา วินทัวร์จะเกิดเสียอีก

MET Gala มีชื่อทางการว่า “Costume Institute Benefit” มหกรรมระดมทุนประจำปีของเหล่าแฟชั่นกูตูร์ชั้นสูง ที่จัดขึ้นเป็นการกุศลเพื่อ สถาบันเครื่องแต่งกาย (Costume Institute) ของพิพิธภัณฑ์แห่งศิลปะเมทโทรโพลิทัน (Metropolitan Museum of Art ซึ่ง MET ในที่นี้ก็มาจากอักษรสามตัวแรกนั่นเอง) ในแมนฮัตตัน งานนี้เคยเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า “ค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกแฟชั่น” ส่วนในปัจจุบันผู้คนรู้กันว่ามันคือ “งานกาล่าที่เอ็กซ์คลูสีฟที่สุดในโลก”

เพราะบรรดาแฟชั่นกูตูร์จะตบเท้ากันมาผูกผสานกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในนามของ “ศิลปะ” ด้วยชุดสุดหรู (ที่บ่อยครั้งก็ถูกมองว่าหลุดโลก แหวกขนบเสียเหลือเกิน) แล้วไม่ใช่ใครไก่กาที่ไหนจะมาโผล่เจ๋อในงานก็ได้นะ เพราะมีแต่เฉพาะแขกเชิญสำคัญเท่านั้น แล้วที่มันถูกจับตามองอย่างมากเพราะบรรดาแขกเชิญและดีไซเนอร์รับเชิญเหล่านี้จะเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมสังคมร่วมสมัยอย่างมีนัยยะ แขกเหล่านี้มาจากหลากหลายวงการทั่วโลก อาทิ แฟชั่น ภาพยนตร์ ทีวี ดนตรี กีฬา เทคโนโลยี ไปจนถึงแวดวงการเมือง ฯลฯ ซึ่งจัดเป็นประจำปีโดยนิตยสารสายแฟชั้นนำ Vogue

กำหนดการคือทุกวันจันทร์แรกของเดือนพฤษภาคม อันเป็นช่วงเปิดนิทรรศการแฟชั่นประจำปีของสถาบันเครื่องแต่งกาย โดยในยุคปัจจุบัน ประธาน หรือประธานร่วมของงาน MET Gala ก็คือ แอนนา วินทัวร์ ที่เธอเป็นมาตั้งแต่ปี 1995 นอกจากแขกเชิญที่ วินทัวร์จะเป็นคนคัดกรองเองแล้ว ใครที่อยากเข้าร่วมงานต้องจ่ายค่าตั๋วซึ่งราคาในปีล่าสุดนี้สูงลิ่วถึง 75,000 เหรียญ หรือราวเกือบสองล้านห้าแสนบาท แปลว่างานการกุศลนี้คือมีแต่ตัวแพงตัวหรูตัวแม่ตัวกระเป๋าหนักเท่านั้นถึงจะมีปัญญาดอดเข้ามาเฉิดฉายในพื้นที่แห่งนี้ได้ และหนึ่งในนั้นที่ได้รับคำเชิญโดยตรงจากนายแม่วินทัวร์ในปีล่าสุดนี้ก็คือ ลิซ่า

เอเลนอร์ แลมเบิร์ต สมัยแรกย้ายมานิวยอร์ก

ต้นกำเนิด MET Gala

การจะทำความเข้าใจ MET Gala ในปัจจุบัน ในโลกที่ตอนนี้นิวยอร์กกลายเป็นศูนย์กลางแฟชั่นแห่งหนึ่งไปแล้ว คุณต้องเข้าใจก่อนว่า นิวยอร์ก เมื่อเกือบศตรวรรษที่แล้ว มันไม่ได้โดดเด่นในด้านแฟชั่นเลย

แต่ผู้ที่ถางทางให้มันกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ ผู้มาก่อนกาล มาก่อนแอนนา วินทัวร์จะจุติบนโลก และผู้ที่ทำให้โลกมีวัฒนธรรม “แฟชั่นวีค” เธอผู้นั้นถูกขนามนามว่า“จักรพรรดินีแห่งนิวยอร์ก…เอเลนอร์ แลมเบิร์ต (1903-2003 ใช่แล้วเธอมีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี)” หนึ่งในหญิงแกร่งทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุค 20s

ข้อมูลจากบล็อกของหอสมุดสภาคองเกรส กับเว็บบล็อกส่วนตัวของ เอียน ดรัมมอนด์ เทพนักสะสมแฟชั่นวินเทจชาวโตรอนโต ได้ขยายความเกี่ยวกับตัวตนของแลมเบิร์ตให้ฟังว่า ‘แลมเบิร์ตย้ายจากอินเดียนามานิวยอร์กตอนเธออายุ 22 เมื่อปี 1925 หลังจากแต่งงานกับสามีคนแรก งานของเธอคือเขียนให้กับวารสารแฟชั่น Breath of the Avenue ควบตำแหน่งออกแบบปก และประชาสัมพันธ์ที่เธอต้องคอยติดต่อโทรหาบรรดาเซเล็บคนดัง ก่อนที่จะถูกดึงมาทำธุรกิจด้านประชาสัมพันธ์ ซึ่งจ๊อบแรก ๆ คือการโปรโมทแกเลอรีศิลปะกว่า 10 แห่งในนิวยอร์ก

เอเลนอร์ แลมเบิร์ต

จากจุดนี้เองทำให้เธอก่อตั้ง สมาคมผู้ค้าผลงานศิลปะแห่งอเมริกา ควบไปกับเปิดบริษัทประมูลงานศิลปะ (ภายหลังบริษัทประมูลนี้ถูกซื้อไปโดย Sotheby’s โบรคเกอร์งานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลก) และเธอคือหนึ่งในผู้ช่วยก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย MoMA ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงยุค30s

เรียกว่าจับอะไรก็มือขึ้นไปหมด ขณะที่ในฟากของวงการแฟชั่น เวลานั้นทั่วโลกรู้จักแค่แบรนด์หรูจากยุโรป แต่ดีไซเนอร์อเมริกันไม่ได้มีผลงานโดดเด่นหรือแบรนด์ดังอะไรเลย ทำให้แลมเบิร์ตผุดไอเดียในการผลักดันชาวอเมริกันให้กลายเป็นไอคอนของแวดวงแฟชั่น เธอเริ่มด้วยการต่อสายหา ไดอานา วรีแลนด์ บรรณาธิการบริหารนิตยสารแฟชั่น Harper’s Bazaar และ Vogue ในขณะนั้น แต่ไอเดียสุดบรรเจิดนี้ถูกวรีแลนด์เยาะเย้ยไม่เอาด้วย

กระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลกระทบต่อแบรนด์หรูในปารีสจนไม่สามารถผลิตเสื้อผ้าได้ และชาวอเมริกันเองก็มีกำลังซื้อของหรูแพงพวกนี้น้อยลง สหภาพแรงงานในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มจึงจ้างแลมเบิร์ตมาช่วยรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันกลับมาจับจ่ายซื้อของอีกครั้ง เธอจึงร่วมมือกับผู้ผลิตแบรนด์ต่าง ๆ ก่อตั้ง New York Dress Institute ในปี 1941 โดยความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ แลมเบิร์ตผลักดันให้ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันเป็นที่รู้จัก โดยเริ่มจากจัดนิทรรศการเสื้อผ้าอเมริกัน และจัดลำดับลิสต์บรรดาเซเล็บที่มีรสนิยมเริ่ดหรู ด้วยการจัดโหวตแบรนด์ นักออกแบบ ไปจนถึงเซเล็บที่โดดเด่นในแง่แฟชั่น ภายใต้ชื่อ Couture Group ซึ่งต่อมาในปี 1943 สถาบันและกลุ่มเหล่านี้ที่เธอดูแลอยู่ก็ริเริ่มจัด American Press Week ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งปัจจุบันงานแบบนี้รู้จักกันในชื่อ New York Fashion Week ที่ระดมบรรดาแบรนด์ดังต่าง ๆ มาเปิดแฟชั่นโชว์

American Press Week 1943

เมื่อสิ้นสงครามโลกในปี 1945 ลูกค้าอเมริกันก็เริ่มหันมาซื้อสินค้าอเมริกัน ขณะที่หลายแบรนด์ยุโรปแทบทรุด Dior แบรนด์หรูจากฝรั่งเศสจึงจ้างแลมเบิร์ต ในปี 1947 เพื่อมาประชาสัมพันธ์คอลเลกชันใหม่ ‘New Look’ อันต่อมากลายเป็นการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ แบรนด์ดังต่าง ๆ จึงตบเท้าเข้าแถวว่าจ้างแลมเบิร์ตกันทั่วยุโรป ไม่ว่าจะ Yves Saint Laurent ไปจนถึง Pierre Cardin แล้วแฟชั่นวีคก็เริ่มระบาดในลอนดอน ปารีส และมิลาน

MET Gala ในยุค60

กระทั่งในปี 1948 หลังจากแลมเบิร์ตเข้าช่วยก่อตั้ง Costume Institute โดยยกระดับแฟชั่นให้เทียบเท่าผลงานศิลปะ เธอจึงจัดงานระดมทุนครั้งแรก ซึ่งเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำที่มีค่าใช้จ่ายหัวละ 50 ดอลลาร์ (ซึ่งนับว่าสูงมากในเวลานั้น เทียบค่าเงินไทยปัจจุบันราวสองหมื่นบาท) โดยในยุคแรกจะจัดขึ้นในเวลาเที่ยงคืน และแลมเบิร์ตเป็นแม่งานตลอดช่วงสองทศวรรษแรก โดยผู้ร่วมงานต้องสวมชุดที่ดีที่สุดมาอวดประชันกัน ภายใต้ชื่องานในปีแรกว่า “Gala of the Year” ซึ่งแลมเบิร์ตเป็นแม่งานนี้ยาวไปอีกสองทศวรรษ’

แล้วนับตั้งแต่ยุค 1970 เป็นต้นมา ไดอานา วรีแลนด์ ผู้ที่เคยปัดตกไอเดียของ แลมเบิร์ต ก็เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กับงานนี้ หลังจากวรีแลนด์พ้นจากตำแหน่งบรรณาธิการของ Vogue ร่วมกับสาวสังคมชาวแคนนาเดียน แพทริเซีย บัคลีย์ ทั้งคู่มีการพัฒนาธีมใหม่ ๆ และท้าท้ายทุกปี อาทิ ดีไซน์แบบฮอลลิวูดสุดแกลมแสนโรแมนติก, มังกรแมนจูสไตล์ราชวงศ์ชิง, ยุคแห่งนโปเลียน ฯลฯ บรรดาแขกเหรื่อก็กล้าที่จะแต่งชุดแหวก ๆ ล้ำ ๆ เว่อร์วังขึ้นเรื่อย ๆ วรีแลนด์รับช่วงต่อมาอีก 14 ปีก่อนจะเสียชีวิตลงในปี 1989 หลังจากนั้น แอนนา วินทัวร์ก็เข้ามารับไม้ต่อนับตั้งแต่ปี 1995

ดราม่าก่อน ๆ ในงาน MET Gala

งานหรูยิ่งใหญ่ที่ผู้คนไขว่คว้าจะเข้าร่วมให้ได้ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีดราม่า อาทิ ในปี 2009 นางแบบแถวหน้านาโอมิ แคมป์เบลล์ และสเตฟานี ซีมอร์ ถอนตัวนาทีสุดท้ายเพื่อยืนอยู่ข้างดีไซเนอร์ชาวอาหรับ อาซเซดีน อาไลอา หลังจากพวกเธอพบว่าไม่มีผลงานของอาไลอาถูกจัดแสดงในนิทรรศการปีนั้น อาไลอา จึงขอให้นางแบบทั้งสองอย่าใส่ชุดของเขาเข้าร่วมงาน ทว่านางแบบทั้งคู่เลือกจะประท้วงด้วยการไม่เข้าร่วมงานเลย และสาเหตุทั้งปวงก็เกิดจากการที่อาไลอาวิจารณ์วินทัวร์ว่า “เธอมีอำนาจเหนือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากเกินไป”

ในปี 2015 ธีมปีนั้นคือ “China: Through the Looking Glass” ซึ่งนักวิจารณ์ชื่นชมว่า “เป็นการเตือนใจถึงลัทธิเหยียดเชื้อชาติที่ฝังรากลึกในสถาบันชาติที่ปลูกฝังการโดดเดี่ยวชาวเอเชียมาหลายศตวรรษ และภาพจำแบบฝรั่งตะวันตกเกี่ยวกับชาวเอเชียนที่ยังคงอยู่ยั้งยาวนาน และนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรง และหนึ่งในนักแสดงที่ถูกจวกหนักมากคือ ซาราห์ เจสสิก้า พาร์คเกอร์ ที่มาพร้อมกับเครื่องหัวใหญ่ ๆ อันเป็นภาพจำของอเมริกันชนเกี่ยวกับหญิงจีนในหนัง Dragon Lady (1930) ที่แสดงนำโดย แอนนา เมย์ หว่อง ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนคนแรกในหนังฮอลลีวูด (ก่อนหน้ายุคของเธอ ชาวจีนมักถูกสวมบทบาทโดยนักแสดงฝรั่ง) ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากภาพจำของซูสีไทเฮา ทั้งที่ความจริงแล้วหญิงจีนทั่วไปไม่ได้ใส่เครื่องหัวใหญ่แบบนั้นเลย

ในปี 2017 แอนนา วินทัวร์ ประกาศกร้าวกลางรายการทอล์คโชว์ James Corden ‘s Late Late Show ว่าปีนี้ผู้ที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วม MET Gala คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะร่วมงานนี้มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2004-2012 ก็ตาม แต่กลายเป็นว่าเขาคือคนดังคนแรกที่ถูกหมายหัวไม่ให้ร่วมงานนี้

ในปี 2018 ด้วยธีม “โรมันคาธอลิก” นักร้องคนดัง รีฮันนา จึงมาในชุดคลุมประดับมุกและอัญมณีพร้อมหมวกทรงมงกุฎและสร้อยคอแบบพระสันตปาปา ซึ่งออกแบบโดย เมซง มาร์จิเอลา ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ถูกจวกยับว่า “เหมือนคอสเพลย์หมิ่นศาสนา” แม้ว่าชุดพระสันตปาปาจากวาติกันของจริงจะถูกจัดแสดงในนิทรรศการปีนั้น และพระคาร์ดินัล ทิโมธี เอ็ม. โดแลนก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานนี้ด้วย อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์ชาวอเมริกัน ไคล์ สมิธ ได้โต้แย้งว่า อันที่จริงแล้วศาสนจักร “สนับสนุนการล้อเลียนตนเองมาตลอด”

ในบทความของสมิธยังกล่าวอีกว่า “ลักษณะเฉพาะของคาธอลิกที่ไม่เหมือนใครมีแต่จะทำให้คริสตจักรพังทลายลง การเปิดโอกาสให้ฆราวาสวิพากษ์วิจารณ์ต่างหากที่จะทำให้คนทั่วไปเข้าใกล้และทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่พระสันตปาปาฟรานซิสในเวลานั้น มีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการเปิดรับวัฒนธรรมร่วมสมัยใหม่ ๆ อย่างไม่ตัดสิน สิ่งนี้คือการปฏิรูปศาสนจักรอย่างแท้จริงและยั่งยืน”

แล้วในระหว่างสงครามที่สหรัฐถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของผู้สนับสนุนอิสราเอล MET Gala 2024 ได้กลายเป็นชนวนให้เกิดแคมเปญ #Blockout 2024 บนโลกโซเชียล เพื่อบล็อคบัญชีโซเชียลของบรรดาคนดังที่เข้าร่วมงานนี้ อันสืบเนื่องจากความขัดแย้งในฉนวนกาซากับอิสราเอล และการที่อิสราเอลรุกคืบเข้าโจมตีเมืองราฟาห์อย่างหนักในเวลานั้น เกิดมีมต่าง ๆ มากมายว่าคนดังในงานนี้ก็ไม่ต่างจากตัวละครใน The Hunger Games ขณะที่เขตต่าง ๆ ในพาเน็มต่อสู้กับการถูกเข่นฆ่าในสงคราม ความยากจน ความอดอยาก เงินเฟ้อ เหยียดเชื้อชาติ และไร้บ้าน แต่ MET Gala กลับเพลิดเพลินกับการแสดงความหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ มาอวดประชันกัน…และคนดังเหล่านี้ต่างก็เงียบงันต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสงคราม

MET Gala 2025

ธีม MET Gala ประจำปี 2025 คือ Superfine: Tailoring Black Style (เฟี้ยวเหลือเกิน: งานตัดเย็บสไตล์คนดำ) ซึ่งนักเขียนคนดำหญิง ไทฮวน มัวร์แมน ได้อธิบายธีมงานปีนี้ในนิตยสาร USA Today ว่า ‘MET Gala ปีนี้จะเชิดชูองค์ประกอบที่น้อยคนจะรู้จักในประวัติศาสตร์แฟชั่น โดยเน้นเครื่องแต่งกายแบบ “ดำสำอาง (Black Dandyism)” ซึ่งธีมนี้จะตรงกับนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมทโทรโพลิทัน ที่จะจัดแสดงในวันที่ 10 พฤษภาคมยาวไปจนถึง 26 ตุลาคม โดยได้แรงบันดาลใจจากหนังสือปี 2009 ของ โมนิกา แอล. มิลเลอร์ ศาตราจารย์หญิงผิวดำแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เรื่อง “Slaves to Fashion: Black Dandyism and the Styling of Black Diasporic Identity (ทาสสู่แฟชั่น: คนดำเจ้าสำอางกับการจัดแต่งสไตล์ให้กลายเป็นอัตลักษณ์ชาวผิวดำในต่างแดน)”

Black Dandyism

คำว่า Dandy อาจจะแปลได้ว่า “สุดเฟี้ยว สุดเก๋า เจ้าสำอาง สำรวย” อะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าในที่นี้เราจะแปลไทยว่า “คนดำเจ้าสำอาง” โดย มัวร์แมน ขยายความว่า ‘นิทรรศการนี้จะสำรวจความสำคัญของสไตล์ต่อการก่อตัวของอัตลักษณ์คนดำในชุมชนคนดำแถบมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรป และตีความ “บุรุษเจ้าสำอาง” (dandyism)” ว่าเป็นทั้งสุนทรียศาสตร์ และกลยุทธ์ทางสังคม ไปจนถึงเครื่องมือสื่อผ่านทางการเมือง เป็นงานศิลปะ และอะไรอื่น ๆ อีกมากมาย นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มาจนปัจจุบัน

ดำสำอางมีลักษณะเฉพาะในด้านสุนทรียศาสตร์อย่างเข้มข้น ความสำอางของคนดำเริ่มปรากฎชัดในช่วงศตวรรษที่ 1700 ในอังกฤษ เมื่อเจ้าของทาสต้องการอวดความมั่งมีของตน จึงเริ่มให้ทาสของตนสวมชุดหรูหราราคาแพง ทำให้เกิดกระแส บ่าวรับใช้คนดำที่แต่งตัวหรูหรา (dandified black servant) หรือทาสหรูหรา (luxury slave) ตามที่มิลเลอร์อธิบายไว้ในหนังสือ และเธอยังเป็นภัณฑารักษ์รับเชิญสำหรับนิทรรศการ MET ในปีนี้ด้วย

คนดำกลุ่มนี้ต่อมาเริ่มรับรู้ถึงพลังอำนาจจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่และสื่อออกมา พวกเขาเริ่มทำให้เครื่องแบบที่ตนเองไม่ได้สมัครใจให้กลายเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ดำสำอางจึงกลายเป็นขนบเฉพาะของคนดำที่ใช้เสื้อผ้า สไตล์ส่วนตัว และแม้แต่ความตลกขบขัน หรือไหวพริบให้กลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้าน อันเป็นวิธีที่พวกเขาจะแข็งข้อขืนต่อข้อจำกัดทางสังคม และการรับรู้เชิงลบ(โดยเฉพาะจากพวกคนขาว) ไม่เพียงในแง่เชื้อชาติ แต่ยังหมายรวมถึงชนชั้น เพศ และรสนิยมทางเพศด้วย และบ่อยครั้งมันถูกใช้เพื่อท้าทาย หรือก้าวข้ามลำดับชั้นทางสังคมและวัฒนธรรม”

(จากซ้าย) แอนนา ซาวาอิ (Shogun, Pachinko, Ninja Assassin) ในแบรนด์ Dior
ฟรีน สโรชา จันทร์กิมฮะ (ปิ่นภักดิ์ และหนัง ยูเรนัส 2324) ในแบรนด์ Valentino
โรเซ่ สมาชิกวงแบล็คพิงค์ ในแบรนด์ Saint Laurent
เอส คูปส์ (ชเวซึงชอล) สมาชิกวง Seventeen ในแบรนด์ Boss
เฮนรี โกลดิง (หนัง Crazy Rich Asians, Monsoon) ในแบรนด์ Ozwald Boateng
ชารุค ข่าน ดาราดังบอลลีวูดผู้มีผลงานไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่อง ในแบรนด์ Sabyasachi

ดราม่าล่าสุดใน MET แรกของลิซ่า

หากสังเกตจะพบว่าแขกเชิญต่างก็สวมใส่แบรนด์หลากหลายกันไป ทว่า ลิซ่า มาในแบรนด์ Louis Vuitton ทั้งชุด เพราะเธออยู่ในฐานะ House Ambassador ของแบรนด์นี้ ซึ่งปีนี้ Louis Vuitton เป็นสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการของงาน MET Gala ความพิเศษของชุดเธอจึงแตกต่างจากแขกเชิญคนอื่น ๆ เพราะมันถูกออกแบบโดย ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ หนึ่งในเจ้าภาพร่วมของงานนี้ ที่นอกจากเขาจะเป็นแร็ปเปอร์ นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ชื่อดังแล้ว ยังคร่ำหวอดในแวดวงแฟชั่นมากว่าสองทศวรรษ

นับตั้งแต่ปี 2005 วิลเลียมส์ ร่วมกับ นิโงะ ไอคอนสตรีทแฟชั่นชาวญี่ปุ่น ร่วมกันสร้างแบรนด์สตรีทแวร์ Billionaire Boys Club และรองเท้า Ice Cream ก่อนที่ในปี 2008 Louis Vuitton จะเชิญเขามาร่วมออกแบบเครื่องประดับและแว่นตา, ปี 2013 ออกแบบแว่นกันแดดให้แบรนด์ Moncler แล้วในปี 2014 ก็ได้เป็นหุ้นส่วนกับ adidas ในคอลเล็คชั่น NMD ที่สร้างกระแสอย่างมาก ปีนั้นเขามีคอลเล็กชั่นร่วมกับนิโงะให้กับ Uniqlo ต่อมาในปี 2017 ก็ออกแบบรองเท้าผ้าใบให้ Chanel คอลแล็บกับ adidas กระทั่งในปี 2023 Louis Vuitton ได้แต่งตั้งให้วิลเลียมส์เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สำหรับแฟชั่นผู้ชาย หลังการเสียชีวิตของ เวอร์จิล เอโบล์ห (ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Off-White) เมื่อปี 2021

ดังนั้นแม้นี่จะเป็น MET แรกของลิซ่า ทว่าทั้งหมดนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ลิซ่า ไม่ใช่แค่แขกเชิญของงาน แต่เธอคือส่วนหนึ่งของสปอนเซอร์หลักและเจ้าภาพร่วมประจำปีนี้ของ MET Gala จึงไม่แปลกใจที่นิตยสาร Vogue จะเผยแพร่คลิปการฟิตติ้งชุดสุดเฟี้ยวของลิซ่านี้แทบจะในทันทีที่ลิซ่าเดินพรมแดง

แต่ความพิเศษของลุคนี้ที่ลิซ่าสวมไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะนอกจากมันจะถูกออกแบบโดยดีไซเนอร์แฟชั่นสำหรับผู้ชายแล้ว งานลวดลายผ้าปักรายละเอียดต่าง ๆ ยังออกแบบโดยศิลปินอเมริกันคนดำคนดัง เฮนรี่ เทย์เลอร์ เจ้าของรางวัลโรเบิร์ต เดอ นีโร ซีเนียร์ไพรซ์ ผลงานของเขาเป็นภาพเหมือนผู้คนหลากหลายชนชั้น ตั้งแต่คนไร้บ้านข้างถนน ไปจนถึงครอบครัวอดีตประธานาธิบดีโอบามา งานของเขาถูกจัดแสดงเป็นคอลเลกชันถาวรของสถาบันที่มีชื่อเสียงมากมายในสหรัฐ อาทิ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเปเรซ เมืองไมอามี, พิพิธภัณฑ์ศิลปะคาร์เนกี, พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ เมืองนิวยอร์ก, พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่เมืองซานฟรานซิสโก, พิพิธภัณฑ์เจ. พอลเก็ตตี้, คอลเลกชันปิโนลต์, สถาบันศิลปะร่วมสมัยบอสตัน และพิพิธภัณฑ์แฮมเมอร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ฯลฯ

แต่ความเกี่ยวพันระหว่างเทย์เลอร์กับ LV มีมาตั้งแต่ปี 2020 เมื่อเขาถูกเลือกให้เป็นหนึ่งใน 6 ศิลปินที่ผลงานจะถูกประกอบในกระเป๋าคอลเล็กชั่นพิเศษ ArtyCapucines กระทั่งกลางปี 2023 คอลเล็กชั่นผู้ชายเดบิวต์แรกของ วิลเลียมส์ ที่ทำให้กับ LV ก็ถูกเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในปารีส ที่หนึ่งในรายละเอียดของหลายชุดในคอลเล็กชั่นนี้ คือภาพปักที่มาจากผลงานภาพวาดของ เทย์เลอร์

ดังนั้น MET Gala ปีนี้จึงเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่าง วิลเลียมส์ กับเทย์เลอร์ และ LV อันปรากฏเป็นรายละเอียดสุดประณีตบนชุดของ ลิซ่า ที่กลายเป็นดราม่าเมื่อมีหลายคนมองว่ามันมีใบหน้าอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สมควร

นอกจากนี้หลายสื่อยังพบว่าบนใบหน้าบรรดาผู้หญิงต่าง ๆ ในชุดของลิซ่า หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นใบหน้าของ โรซ่า พาร์คส หญิงคนดำสุดแกร่งที่ทั่วโลกรู้จักวีรกรรมของเธอในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสมัยนั้นอเมริกามีกฎหมายสุดบ้าบอที่กีดกันคนดำออกจากคนขาว ไม่ว่าจะห้ามใช้ห้องน้ำ ร้านอาหาร หรือแม้แต่รถเมล์ ก็ต้องแยกจากกัน โดยอ้างว่าเป็นการแบ่งแยกเพื่อความเท่าเทียม ทว่า พาร์คส ผู้มีอายุ 42 ในปี 1955 กลับแข็งข้อต่อกฎหมายงี่เง่านี้ด้วยการทู่ซี้ในที่นั่งของคนขาว ทำให้เธอถูกตำรวจจับแล้วต้องขึ้นศาลเสียค่าปรับ การณ์นี้ทำให้คนดำประท้วงด้วยการไม่ขึ้นรถเมล์ แล้วร่วมกันเดินไปทำงานเป็นเวลา 381 วัน ในที่สุดศาลสูงอเมริกาก็ตีความว่ากฎหมายนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ การประท้วงจึงสิ้นสนลง ทว่าพาร์คสกลับถูกไล่ออกจากงาน โดนขู่ฆ่าจนต้องหนีไปอยู่ที่อื่นแต่เธอก็ไม่เคยลดละต่อการเรียกร้องความเท่าเทียม

พาร์คส คว้ารางวัลมากมายด้านการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง เรื่องราวของเธอถูกเล่าขานกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก ภายหลังการเสียชีวิตของเธอ รูปปั้นของเธอถูกประดับในอาคารรัฐสภาสหรัฐ นิตยสารไทม์ในปี 2000 ยกย่องให้พาร์คสเป็นหนึ่งใน 20 บุคคลจากทั่วโลกที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุค 20s

ในที่สุดต่อมา เทย์เลอร์ก็ออกมาสงบข่าวลือทั้งหมดลงด้วยการโต้สื่อว่า “ลายปักบนชุดของลิซ่านั้น ไม่ใช่ โรซ่า พาร์คส อย่างที่หลายคนคิด แต่คือเพื่อนบ้านรอบ ๆ ตัวของผมเอง” เหตุการณ์นี้กลายเป็นความคลั่งบนความคลั่งอันซับซ้อน ทำเราย้อนนึกไปถึงคำสัมภาษณ์ของเทย์เลอร์ที่เคยให้สัมภาษณ์ในช่วงที่ชุดนี้ปรากฎแก่สาธารชนว่า

“สิ่งที่เราต่างต้องการในทุกวันนี้…คือมีความเป็นมนุษย์ให้มากขึ้น…แล้วลดความบ้าคลั่งให้น้อยลง”