ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > สงครามราคาบุหรี่ หลัง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตใหม่ ยกแรกโรงงานยาสูบยอดหาย-กำไรหด

สงครามราคาบุหรี่ หลัง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตใหม่ ยกแรกโรงงานยาสูบยอดหาย-กำไรหด

27 พฤศจิกายน 2017


นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต แถลงข่าวปรับโครงสร้างภาษี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม กรมสรรพสามิต

หลังจากกรมสรรพสามิตปรับโครงสร้างภาษี โดยใช้ “ราคาปลีกแนะนำ” มาเป็นฐานในการคำนวณภาษีแบบผสม แทนราคา ณ หน้าโรงงาน และราคา CIF กรณีสินค้านำเข้า ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นมา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการแจ้ง “ราคาขายปลีกแนะนำ” กับกรมสรรพสามิต เพื่อใช้เป็นฐานการคำนวณหาค่าภาษีที่ต้องชำระ ทั้งด้านปริมาณและมูลค่ารวมกัน หรือที่เรียกว่าการคำนวณภาษีแบบผสม โดยเฉพาะสินค้าในหมวดบุหรี่นั้นจะมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างจากสินค้าหมวดอื่น เพราะเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหว

ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 จึงกำหนดวิธีจัดเก็บภาษีไว้ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ผู้ประกอบการแจ้งราคาขายปลีกแนะนำต่อกรมสรรพสามิตเกิน 60 บาท กรณีนี้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษี ตามมูลค่าในอัตรา 40% ของราคาขายปลีกแนะนำ รวมกับค่าภาษีคิดตามปริมาณอีกมวนละ 1.20 บาท หรือซองละ 24 บาท กรณีที่ 2 ผู้ประกอบการแจ้งราคาขายปลีกแนะนำต่อกรมสรรพสามิตต่ำกว่า 60 บาท กรณีนี้เสียภาษีตามมูลค่าในอัตรา 20% ของราคาขายปลีกแนะนำ รวมกับค่าภาษีคิดตามปริมาณอีกซองละ 24 บาท โดยกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่นี้กำหนดให้จัดเก็บภาษีบุหรี่ในอัตรา 20% เป็นระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่กฎหมายมีผลบังคับ หลังจากนั้นให้เก็บในอัตรา 40% ของราคาขายปลีกแนะนำ สาเหตุที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีบุหรี่ราคาต่ำกว่าซองละ 60 บาท ในอัตรา 20% เป็นเวลา 2 ปี ก็เพื่อเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมยาสูบไทยได้มีเวลาปรับตัว

กรมสรรพสามิตปรับโครงสร้างภาษีมาได้ 2 เดือน ปรากฏว่าโรงงานยาสูบได้ผลกระทบอย่างรุนแรง ยอดขายบุหรี่ลดลง 41% ฝ่ายบัญชีและการเงินของโรงงานยาสูบคาดการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2561 ยอดขายน่าจะลดลงจากปีก่อน 11,777.88 ล้านมวน ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายลดลง 18,396.20 ล้านบาท รายได้ส่วนที่เหลือ เมื่อนำมาหักกับเงินบำรุงกองทุน ที่โรงงานยาสูบโอนให้กับหน่วยงานภายนอก เพื่อใช้ทำกิจกรรมทางสังคม หรือ “Earmarked Tax” แล้ว คาดว่าผลประกอบการปีนี้น่าจะขาดทุน 1,575 ล้านบาท ไม่เหลือเงินรายได้นำส่งกระทรวงการคลัง ขณะที่ปีก่อนเคยมีกำไรสุทธิ 9,344.37 ล้านบาท และนำส่งเงินรายได้ให้กระทรวงการคลัง 4,963 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2560 นายคณุตม์ ฤทธิสอน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ พร้อมพนักงานโรงงานยาสูบและเกษตร ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของความเป็นธรรมจากการใช้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560

เป็นเหตุให้นายคณุตม์ ฤทธิสอน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ นำพนักงานยาสูบและเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบประมาณ 200-300 คน เดินทางมากระทรวงการคลัง เพื่อยื่นหนังสือถึงนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 โดยขอให้ทบทวนการบังคับใช้กฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ เนื่องจากระเบียบข้อบังคับของกฎหมายดังกล่าวเปิดช่องให้บริษัทบุหรี่ต่างประเทศปรับลดราคาบุหรี่ลงมาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของบุหรี่ไทย จนทำให้ยอดขายบุหรี่ของโรงงานยาสูบลดลงเกือบ 50% หากกระทรวงการคลังไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทางสหภาพฯ จะไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยโรงงานยาสูบแถลงข่าวผลกระทบจากการประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่อีกครั้งวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 3 โรงงานยาสูบ

แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดขายของโรงงานยาสูบลดลง ปัญหาน่าจะมาจากเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดมากกว่าประเด็นโครงสร้างภาษี เพราะหลังจาก พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560 นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ออกประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกบุหรี่ของโรงงานยาสูบทุกยี่ห้อ ดังต่อไปนี้ บุหรี่ยี่ห้อกรองทิพย์ 90, กรุงทอง 90, สามิต 90, สายฝน 90 เดิมขายซองละ 86 บาท ปรับราคาขายขึ้นเป็น 95 บาท กรองทิพย์ 7.1 ซองสีแดงและสีเขียว เดิมซองละ 68 บาท ราคาใหม่ 90 บาท

บุหรี่ยี่ห้อวันเดอร์ ทั้งรสอเมริกันและเมนทอล ปรับลดราคา จากซองละ 63 บาท เหลือ 60 บาท บุหรี่ยี่ห้อ SMS เดิมราคาซองละ 51 บาท เพิ่มเป็น 60 บาท ยี่ห้อ Goal เดิมซองละ 45 บาท ปรับราคาเป็น 60 บาท ยี่ห้อ Line ตัวใหญ่ จากซองละ 43 บาทเป็น 60 บาท และยี่ห้อ Line 7.1 เดิมราคา 40 บาท เพิ่มเป็น 60 บาท

ข้อสังเกต การปรับขึ้นราคาบุหรี่ครั้งนี้ โรงงานยาสูบ เปิดเกมรุก โดยการปรับลดราคาบุหรี่ยี่ห้อวันเดอร์ ซึ่งเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนของโรงงานยาสูบเหลือซองละ 60 บาท เพื่อลงไปแข่งกับบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศในตลาดล่าง ทำให้ค่ายบุหรี่ต่างประเทศ 2 บริษัท ต้องปรับราคาลงมาสู้กับ “วันเดอร์” โดยบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ปรับลดราคาขาย L&M 7.1 จากซองละ 72 บาท เหลือซองละ 60 บาท ขณะที่บริษัท เจแปน โทแบ็คโค อิงก์ ลดราคาบุหรี่ 2 ยี่ห้อ ได้แก่ บุหรี่ยี่ห้อคาเมลเดิมซองละ 98 บาท ลดเหลือซองละ 60 บาท และยี่ห้อวินสตัน คอมแพกต์ เดิมซองละ 70 บาท ลดเหลือ 60 บาท

สงครามราคาบุหรี่ดำเนินการไปได้แค่ 17 วัน โรงงานยาสูบออกประกาศราคาขายปลีกบุหรี่ ครั้งที่ 2เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ปรากฏว่า การปรับราคาบุหรี่ครั้งนี้ โรงงานยาสูบขึ้นราคาบุหรี่ เฉพาะยี่ห้อวันเดอร์ จากซองละ 60 บาท เพิ่มเป็น 90 บาท ส่วนยี่ห้ออื่นยังคงไว้ในราคาเดิม ขณะที่บุหรี่ต่างประเทศ เช่น L&M, คาเมล และวินสตัน คอมแพกต์ ยังคงยื่นอยู่ที่ราคาเดิม 60 บาทต่อซอง ขณะนี้กรมสรรพสามิตก็ยังไม่ทราบสาเหตุผลว่าทำให้โรงงานยาสูบตัดสินใจปรับราคา “วันเดอร์” ขึ้นไปขายแข่งกับบุหรี่ต่างประเทศในตลาดบน

สำหรับราคาขายปลีกบุหรี่ที่ผู้ประกอบการแจ้งต่อกรมสรรพสามิต กรณีกำหนดราคาขายปลีกแนะนำเกิน 60 บาท หรือ “กลุ่มบุหรี่ที่ขายในตลาดบน” (Premium) ของโรงงานยาสูบประกอบด้วยกรองทิพย์, สามิต, กรุงทอง และสายฝน กำหนดราคาขายปลีกซองละ 95 บาท วันเดอร์ซองละ 90 บาท ขณะที่บุหรี่ต่างประเทศก็จะมี L&M ทั้งสีแดง, เขียว, ฟ้า และแบล็คสตอร์มของค่ายฟิลลิป มอร์ริส วางขายซองละ 99 บาท ส่วนค่ายเจแปน โทแบ็คโค อิงก์ ส่งวินสตันมวนใหญ่ลงมาขายที่ซองละ 87 บาท และค่ายลีดอน ดิวทริบิวชั่น ส่งไอสกอร์ แม็กซ์ ซองละ 99 บาท และไฮสกอร์ 5.0 ซองละ 100 บาท เข้ามาขายแข่งในตลาดนี้

ตลาดบนจริงๆ นั้น ประกอบไปด้วยบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร อาร์กติก แบล็ค (แคปซูล), มาร์ลโบโร เพอร์เพิล ซองละ 165 บาท มาร์โบโร สีแดง,โกลด์ออริจินัล, กรีน, ซิลเวอร์, ดีพซี และแบล็คไนท์ ขายซองละ 145 บาท มาร์ลโบโร เซเว่น สีแดง, โกลด์, กรีน และสตอร์ม ขายซองละ 115 บาท เมเวียส (แคปซูล) ซองละ 165 บาท เมเวียส ธรรมดา ซองละ 150 บาท คาเมล (แคปซูล) ซองละ 138 บาท วินสตัน (แคปซูล) ซองละ 125 บาท ไอสกอร์ ทูซี ซองละ 120 บาท

ส่วนตลาดล่างของโรงงานยาสูบกำหนดราคาขายปลีกไว้ที่ราคา 60 บาท/ซอง ได้แก่ บุหรี่ยี่ห้อ SMS, Goal, Line มวนใหญ่ และ Line 7.1 สำหรับบุหรี่ต่างประเทศที่ตั้งราคาขายปลีกซองละ 60 บาท ได้แก่ L&M 7.1, คาเมล, วินสตัน คอมแพ็กต์, ไอสกอร์ บลู และไอสกอร์ บลู คิงไซส์ ส่วนบุหรี่ต่างประเทศที่ตั้งราคาขายปลีกซองละ 58 บาท ได้แก่ ไอสกอร์ คิงไซส์ และเพลย์ออฟ

แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพสามิตกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางกรมสรรพสามิตเคยเจรจากับบุหรี่ต่างประเทศ โดยขอให้ปรับราคาขายปลีกบุหรี่ขึ้นตามคำร้องขอของโรงงานยาสูบ แต่บริษัทบุหรี่ต่างประเทศไม่ยอมปรับราคาขึ้น โดยให้เหตุผลว่าการกำหนดราคาขายปลีกเป็นกลยุทธ์ของบริษัทภายใต้ระบบการค้าเสรี ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ก็เปิดโอกาสผู้ประกอบการแจ้งราคาขายปลีกต่อกรมสรรพสามิต ซึ่งทางกลุ่มผู้นำเข้าบุหรี่ต่างประเทศปรับลดราคาขายปลีกบุหรี่ตามโรงงานยาสูบ แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาว่าการตั้งราคาขายปลีกของบุหรี่ต่างประเทศเข้าข่ายองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนหรือไม่