ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > ตอกย้ำความยั่งยืน ซีพี กรุ๊ป เผยแพร่รายงานความยั่งยืน 2566 มุ่งพัฒนาคน สร้างความร่วมมือ พร้อมรับมือโลกอนาคต

ตอกย้ำความยั่งยืน ซีพี กรุ๊ป เผยแพร่รายงานความยั่งยืน 2566 มุ่งพัฒนาคน สร้างความร่วมมือ พร้อมรับมือโลกอนาคต

21 สิงหาคม 2024


ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีพี เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2566 ตอกย้ำวิสัยทัศน์สร้างความยั่งยืน มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน และปรับโมเดลธุรกิจรับความท้าทายโลก 5.0

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้จัดทำและเผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2566 อย่างเป็นทางการแล้ว ภายใต้แนวคิด “For a Better Tomorrow” รายงานฉบับนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเครือซีพีในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ความยั่งยืนในปี 2573 โดยมีการกำหนด 15 เป้าหมายสำคัญตามกรอบการดำเนินงาน 3 Hs คือ Heart, Health, และ Home ครอบคลุมทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) พร้อมนำเสนอกรณีศึกษาภายใต้ธีม  “Inclusive Supply Chain Actions for Sustainable Tomorrow” เพื่่อเป็นการแสดงให้ผู้มีส่วนได้เสียให้เห็นถึงการส่งต่อเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของเครือฯ สู่คู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

ในรายงานความยั่งยืนฉบับล่าสุดนี้ ได้แสดงถึงเจตนารมย์และความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนของผู้นำองค์กร โดยผู้นำคนแรก นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวถึงการเตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงและการพัฒนาบุคลากรในรายงานฉบับนี้ว่า “สถานการณ์โลกในปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในหลากหลายมิติ เครือฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จึงได้บัญญัติค่านิยมองค์กรเพื่อให้บุคลากรใช้ยึดมั่นเป็นหลักในการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ โดยบุคลากรเครือฯ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำเอาแก่นแท้ของค่านิยมมาบูรณาการ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถก้าวทันโลกอนาคตได้อย่างมั่นคงยั่งยืน” นายธนินท์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เอไอไม่สามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ และเครือซีพีให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพัฒนาบุคลากร ตลอดจนการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนแรงงานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ผ่านการฝึกทักษะฝีมือแรงงานและการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้และคุณธรรมแก่บุคลากรในทุกระดับ

ด้าน นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวอีกว่า “ความยั่งยืนเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้องค์กรเติบโตและก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง เครือฯ ได้กำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์การเติบโตสู่ยุคอุตสาหกรรมที่ล้ำหน้า ด้วยการพัฒนาและใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักค่านิยมองค์กร 6 ประการ ที่มุ่งเน้นการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนในทุกประเทศที่เครือฯ เข้าไปลงทุน” นายสุภกิตยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมทั้งการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่เพื่อสืบทอดความยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น

สำหรับ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ปี 2566 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสในหลายด้าน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digitalization) การลดภาวะโลกร้อน (Decarbonization) และการสร้างความสมดุลในภาวะโลกแบ่งขั้ว (Deglobalization) ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ไม่เพียงแค่องค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น” นายศุภชัยยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องความยั่งยืน การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ขององค์กร และการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างสังคมแห่งภูมิปัญหาที่ยั่งยืน (Sustainable Intelligence)

ในรายงานความยั่งยืน ปี 2566 ระบุว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์มีรายได้รวม 3,320,897 ล้านบาท และมีพนักงาน รวม 452,794 คนกระจายอยู่ในกว่า 21 ประเทศทั่วโลกที่เครือซีพีเข้าไปลงทุน ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งมีการดำเนินงานในโรงงานผลิต,ฟาร์มเลี้ยงสัตว์, ร้านค้าปลีก ศูนย์จำหน่ายสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต มินิซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า กว่า  18,869 แห่ง

ทั้งนี้ในปี 2566 เครือซีพีได้มุ่งเน้นสร้างสรรค์มูลค่าเพื่อสังคม โดยเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การส่งเสริมการศึกษา และการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งในรายงานฉบับนี้ได้ระบุถึงความคืบหน้าที่สำคัญหลายประการ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยรายงานว่าเครือซีพีได้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ (Scope 1 & 2) ได้ร้อยละ 9.45 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2564 และตั้งเป้าหมายในการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593  สำหรับการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว  รายงานว่าในปี 2566 เครือฯ ได้ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวลง 24.78 พันตัน และมีเป้าหมายในการนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ทั้งหมดมาใช้ใหม่ ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ นอกจากนี้ในด้านการพัฒนาคนรุ่นใหม่ เครือฯ ได้ลงทุนในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่กว่า 597  ล้านบาท ในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ พร้อมกับการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนกว่า 190,000 คนทั่วโลก

รายงานความยั่งยืนนี้ยังได้นำเสนอผลการสำรวจความผูกพันของผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงรับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก เนื่องจากเห็นว่ามีความสำคัญและส่งเสริมให้เครือฯ มีความเข้าใจต่อแนวโน้มและสถานการณ์ที่ปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น นายหวัง เผิง พนักงาน บริษัท C.P.Food (Hengshui) จำกัด ระบุว่า ในฐานะพนักงาน ผมให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยเน้นไปที่การสร้างความรู้ ความสามารถใหม่ ๆ และการเปิดโอกาสให้มีมุมมองที่ออกนอกกรอบ โดยเครือฯ มีโครงการสร้างผู้นำและพัฒนาทักษะแห่งอนาคต ซึ่งเป็นการร่วมมือ ข้ามแผนกหรือข้ามบริษัท และเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้กับการทํางานจริง และช่วยให้พนักงานได้เรียนรู้และเติบโตในทางปฏิบัติและปรับปรุงความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง

นาย Mohit Purbey บริษัท Bunge Asia Ptd.Ltd. คู่ค้าทางธุรกิจ ให้ความเห็นว่า วันนี้ เครือฯ เข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นำด้วยนโยบายที่ชัดเจนในการไม่ทนต่อการตัดไม้ทำลายป่าและความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้ร้อยละ 100 ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ Bunge ที่จะปราศจากการตัดไม้ทําลายป่าร้อยละ 100 ภายในปี 2568 ซึ่งการทํางานร่วมกันจะสามารถสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นตัวอย่างในอุตสาหกรรม และช่วยพัฒนาระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อการจัดหาอย่างมีความรับผิดชอบ เรามุ่งมั่นที่จะมีอิทธิพลต่อทิศทางของอุตสาหกรรม เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการเชิงบวก ของเราจะช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้อื่น

ทั้งนี้ยังมีความเห็นจากเกษตรกร คือ นายสมชัย เพียงขวัญหทัย สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรมูลค่าสูง บ้านทุ่งจำเริง  ต.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ระบุถึงโครงการอมก๋อยโมเดล ของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้เข้ามาช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนผ่านการสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ที่มั่นคง โดยโครงการฯ ดำเนินงานภายใต้แผนงานเกษตรมูลค่าสูง ใช้การส่งเสริมเกษตรแบบตลาดนำการผลิต โดยมีการวางแผนการผลิตร่วมกับกลุ่มเกษตรกรฯ ทำให้การผลิตพืชเกษตรมูลค่าสูงใช้พื้นที่ในการผลิตน้อย แต่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า มีการบริหารจัดการแปลงปลูกที่ถูกวิธีตามหลักวิชาการ ส่งผลให้เกษตรกรมีพื้นที่เหลือใช้ประโยชน์เพิ่มเติมจากการปลูกพืชรายได้

นอกจากนี้ในรายงานฉบับดังกล่าวยังมีการรับฟังความเห็นทั้งจากลูกค้า รวมไปถึงกลุ่มภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม ประเทศไทย ภาคชุมชน สังคม คือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบุโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ และกลุ่ม NGOs องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน

อย่างไรก็ตาม รายงานความยั่งยืนปี 2566 เครือซีพี ได้แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน เช่น ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 (Carbon Neutral) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero) การลดการเกิดขยะสู่หลุมฝังกลบ (Zero Waste) และการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ที่เครือฯ มุ่งหวังที่จะบรรลุให้ได้ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ในรายงานยังมีการวิเคราะห์เชิงลึกและการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนแบบ Double และ Dynamic Materiality ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการความเสี่ยงเพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาว เครือซีพี ยังได้จัดทำรายงานเฉพาะเรื่องเพิ่มเติมอีก 6 ฉบับ เพื่ออธิบายแนวทางและผลการดำเนินงานในแต่ละด้านอย่างละเอียด

รายงานฉบับนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนความสำเร็จในปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นเครื่องมือในการกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีสู่อนาคต และสื่อสารผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ผู้มีส่วนได้เสีย   มุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในทุกมิติ

ท่านสามารถศึกษาเนื้อหารายงานฉบับเต็ม ในฉบับภาษาไทย: https://www.cpgroupglobal.com/u/th/pdf/2023/sustainability-report

และฉบับภาษาอังกฤษ : https://www.cpgroupglobal.com/u/en/pdf/2023/sustainability-report