ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup VinFast เวียดนามส่งรถ EV ล็อตแรกไปตลาดต่างประเทศ

ASEAN Roundup VinFast เวียดนามส่งรถ EV ล็อตแรกไปตลาดต่างประเทศ

27 พฤศจิกายน 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 20-26 พฤศจิกายน 2565

  • VinFast เวียดนามส่งรถ EV ล็อตแรกไปตลาดต่างประเทศ
  • อุปทานข้าวตึงตัวในเอเชียดันราคาข้าวเวียดนามสูงสุดรอบ 16 เดือน
  • FTA กัมพูชา-เกาหลีใต้มีผลบังคับใช้ 1 ธันวาคมนี้
  • กัมพูชา-ลาวลงนามข้อตกลงการโอนเงิน-ชำระเงินข้ามแดน
  • รัฐบาลทหารเมียนมาระงับโครงการพัฒนาเพราะขาดเงินกู้และเงินช่วยเหลือ
  • ANZ ธนาคารต่างชาติรายแรกถอนตัวจากเมียนมา
  • VinFast เวียดนามส่งรถ EV ล็อตแรกไปตลาดต่างประเทศ

    ที่มาภาพ: https://vinfastauto.us/newsroom/press-release/vinfast-exports-the-first-batch-of-electric-vehicles
    วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 บริษัท VinFast ได้ทำพิธีส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะล็อตแรก รุ่น VF 8 จำนวน 999 คันไปยังตลาดต่างประเทศ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของเวียดนาม จากการที่รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์เวียดนามได้เข้าสู่ตลาดโลกอย่างเป็นทางการ

    รถยนต์รุ่น VF 8 จำนวน 999 คันล็อตแรกได้ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาแล้ว ด้วยการขนส่งโดยเรือ Silver Queen ซึ่งเป็นเรือเช่าเหมาลำสัญชาติปานามา และคาดว่าจะถึงท่าเรือแคลิฟอร์เนีย (สหรัฐอเมริกา) ประมาณ 20 วันหลังจากออกจากท่าเรือ MPC ในเมืองไฮฟอง ประเทศเวียดนาม ลูกค้า VinFast รายแรกในสหรัฐอเมริกาจะได้รับรถภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2565

    การส่งออกระหว่างประเทศครั้งนี้เป็นล็อตแรกจากคำสั่งซื้อทั่วโลกจำนวน 65,000 คันสำหรับรุ่น VF 8 และ VF 9 ของ VinFast และหลังจากส่งออกรถยนต์ล็อตแรกนี้ไปยังตลาดอเมริกา VinFast จะส่งออก VF 8 ไปยังแคนาดาและยุโรป เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าในต้นปี 2566

    ส่วน VF 9 ล็อตแรกจะส่งมอบให้กับลูกค้าในเวียดนามและตลาดต่างประเทศในไตรมาสแรกของปี 2566

    ในพิธี นาย Nguyen Viet Quang รองประธานและซีอีโอของ Vingroup กล่าวว่า “การส่งออก VF 8 รุ่นแรกเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับ VinFast และ Vingroup และเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์เวียดนาม เป็นการยืนยันว่าเวียดนามประสบความสำเร็จ ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาตรฐานคุณภาพสูง ที่พร้อมแข่งขันในตลาดต่างประเทศ เราหวังว่าเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของ Vinfast ออกสู่ท้องถนนทั่วโลก ก็จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของเวียดนามยุคใหม่ที่ไม่หยุดนิ่งและก้าวหน้าต่อผู้คนทั่วโลก”

    ด้วยการออกแบบที่หรูหรา เทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูงแบบบูรณาการ ราคาที่จับต้องได้ และนโยบายหลังการขายที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน ทำให้ VF 8 และ VF 9 เป็นรถ SUV ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของ VinFast ในเซ็กเมนต์ D และ E

    นอกจากลูกค้าบุคคลแล้ว VinFast ยังได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากบริษัทให้บริการรถ(fleet companies)อีกด้วย ที่งาน Los Angeles Auto Show 2022 ช่วงวันที่ 17-28 พฤศจิกายน 2022 VinFast ได้มีคำสั่งซื้อใหม่ที่ลงนามกับ Autonomy ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการรถยนต์แบบสมาชิกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

    นอกจากโมเดล VF 8 และ VF 9 แล้ว กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของ VinFast ยังประกอบด้วย VF 5, VF 6 และ VF 7 ในเซกเมนต์ A, B และ C ตามลำดับ VinFast คาดว่าจะเปิดจอง VF 5, VF 6 และ VF 7 ในเร็วๆ นี้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก

    การส่งออก VF 8 ชุดแรกที่ผลิตในเวียดนามได้เปิดศักราชใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ นอกเหนือจากการตอกย้ำขีดความสามารถของเวียดนามแล้ว การส่งออกรายใหญ่ยังทำให้ความมุ่งมั่นของประเทศที่ต้องการเป็นเจ้าแห่งการผลิตยานยนต์ซึ่งสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนเป็นจริง และมีส่วนช่วยในการยกระดับสถานะของประเทศในเวทีโลก

  • VinFast จากเวียดนาม อีกสีสันหนึ่งในตลาดรถยนต์ลาว
  • อุปทานข้าวตึงตัวในเอเชียดันราคาข้าวเวียดนามสูงสุดรอบ 16 เดือน

    ที่มาภาพ: https://interaksyon.philstar.com/politics-issues/2021/11/24/205243/philippines-temporarily-limits-rice-imports-from-vietnam/
    ราคาข้าวส่งออกจากเวียดนามแตะระดับสูงสุด นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ในสัปดาห์นี้ โดยผู้ค้าคาดว่าอุปทานจะลดลงรวมถึงความต้องการธัญพืชที่เพิ่มขึ้นจะหนุนราคาให้อยู่ระดับสูงจนถึงสิ้นปี

    ข้าวหัก 5% ของเวียดนาม เสนอขายแบบ FOB(Free on Board) ในราคา 438 ดอลลาร์ต่อตัน เทียบกับช่วง 425-430 ดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว

    “ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้เกิดจากอุปทานที่ตึงตัวจากสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง” ผู้ค้าในจังหวัดอานซางของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกล่าว และว่า ในระดับปัจจุบัน “ราคาข้าวเวียดนามตอนนี้สูงกว่าประเทศผู้ส่งออกรายอื่นๆ “.

    ราคาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคมเนื่องจากสต็อกที่ลดลงและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากจีนและประเทศในยุโรป ผู้ค้าบางรายกล่าว

    ด้านข้าวนึ่งหัก 5% ของอินเดียราคาไม่เปลี่ยนแปลงที่ 373-378 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะอุปสงค์จากประเทศผู้นำเข้ายังมีมาก

    “ราคาข้าวกำลังขยับสูงขึ้นในประเทศผู้ส่งออกรายอื่นๆ ข้าวอินเดียมีราคาถูกแม้ว่าจะเสียภาษีส่งออกแล้วก็ตาม” ผู้ส่งออกที่อยู่ในเมืองคากินาดา รัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดีย กล่าว

    ผู้ส่งออกมีปริมาณข้าวจำกัด เนื่องจากรัฐบาลอินเดียได้ซื้อข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่จากชาวนาอย่างจริงจัง ผู้ส่งออกกล่าว

    อินเดียได้ปรับราคารับซื้อข้าวเปลือกนาปีพันธุ์ใหม่จากเกษตรกรในท้องถิ่น 5.2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 ปี

    ราคาภายในประเทศในบังกลาเทศ ยังคงเพิ่มสูงขึ้นแม้ว่าจะมีความพยายามดึงราคาลงหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการอนุญาตการนำเข้าและการลดภาษี ผู้ค้ากล่าว

    กระทรวงเกษตรของสหรัฐคาดการณ์ว่าผลผลิตของบังกลาเทศจะลดลง 1% จากปีที่แล้วเป็น 35.6 ล้านตันในปีการตลาด 2565-2566 เนื่องจากน้ำท่วม บังคลาเทศ ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่อันดับสามของโลก มักจะนำเข้าเพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนที่เกิดจากภัยธรรมชาติ

    ราคาข้าวหัก 5% ของไทยอยู่ที่ 419-425 ดอลลาร์ต่อตัน เทียบกับ 410-425 ดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว

    ผู้ค้ากล่าวว่าความผันผวนของราคาเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่อุปสงค์ในต่างประเทศยังคงที่ และไม่มีข้อตกลงสำคัญเกิดขึ้น

    “ได้มีการทำข้อตกลงบ้าง ในขณะที่ผู้นำเข้าหลายรายกำลังกักตุนไว้สำหรับคำสั่งซื้อในอนาคต” ผู้ค้ารายหนึ่งในกรุงเทพฯ กล่าว

    FTA กัมพูชา-เกาหลีใต้มีผลบังคับใช้ 1 ธันวาคมนี้

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/501162478/cambodia-korea-fta-to-come-into-force-from-december-1/
    กระทรวงพาณิชย์แถลงว่า ข้อตกลงเขตการค้าเสรีกัมพูชา-เกาหลี (CKFTA) จะมีผลบังคับใช้ในต้นเดือนธันวาคม ข้อตกลง FTA มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าและขยายการลงทุนระหว่างกัมพูชาและเกาหลี

    นายพาน สอระสัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับผลกระทบของ CKFTA ต่อการส่งออก ว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการส่งออก เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถกระตุ้นการส่งออกและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ CKFTA โดยเฉพาะการใช้ การรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าตาม CKFTA

    นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ข้อตกลง CKFTA จะเป็นส่วนเสริมกับข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีที่มีอยู่และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ภายใต้ข้อตกลง CKFTA กัมพูชายังได้เปิดตลาดโดยลดภาษีศุลกากร 89.09% ขณะที่ฝ่ายเกาหลีเปิดตลาดโดยลดภาษีศุลกากร 95.03% และกัมพูชาจะสามารถส่งออกสินค้าในอัตราภาษีเป็นศูนย์ทันทีหลังจากการยกเลิกอัตราภาษีศุลกากร 92.37% มีผลใช้บังคับ

    รัฐมนตรีมองว่าเมื่อ CKFTA มีผลบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ จะช่วยเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างสองประเทศและสร้างโอกาสในการส่งออกมากขึ้น

    รายงานกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ปริมาณการค้าระหว่างกัมพูชาและเกาหลีใต้มีมูลค่ามากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564

    รายงานระบุว่า กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่า 175 ล้านดอลลาร์ไปยังเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 21% และนำเข้าสินค้ามูลค่า 426 ล้านดอลลาร์จากเกาหลีใต้ ลดลง 3%

    ในการประชุมทวิภาคีนอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียนในกัมพูชา ประธานาธิบดี ยุน ซุก ยอล ของเกาหลีใต้ กล่าวชื่นชมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศ และกล่าวว่า CKFTA จะช่วยส่งเสริมปริมาณการค้า โดยเฉพาะการลงทุนของเกาหลีใต้ในกัมพูชา

    ในการประชุม นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอันดับสองในกลุ่มหุ้นส่วนการลงทุนรายใหญ่ของกัมพูชา

    สมเด็จฮุน เซน ขอให้ประธานาธิบดียุนสนับสนุนให้นักลงทุนเกาหลีลงทุนในกัมพูชามากขึ้น หลังจากที่ CKFTA มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์
    ฮุน เซน ริเริ่มแนวคิดที่จะจัดทำ CKFTA ระหว่างการเยือนเกาหลีใต้ในสมัยอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มูน แจ-อิน ในเดือนมีนาคม 2562

    CKFTA ได้มีการลงนามอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2564 และข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565

    ภายใต้ข้อตกลงนี้ รัฐบาลกัมพูชาคาดว่าการส่งออกและนำเข้าระหว่างสองประเทศจะเพิ่มขึ้นและจะช่วยในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และช่วยบรรเทาผลจากเงินเฟ้อและปัญหาทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เกิดจากสงครามรัสเซียกับยูเครน

    กัมพูชา-ลาวลงนามข้อตกลงการโอนเงิน-ชำระเงินข้ามแดน

    นายเจีย จันโท ผู้ว่าการ ธนาคารกลางกัมพูชา ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/501190181/cambodia-laos-ink-deal-for-cross-border-payment-transfers/

    ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และธนาคารแห่ง สปป.ลาว ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการเงินระดับทวิภาคีและระบบการชำระเงิน เพื่อเชื่อมโยงด้านการธนาคารระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อตอบสนองต่อการชำระเงิน การโอนเงินข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

    นายเจีย จันโท ผู้ว่าการธนาคารกลางกัมพูชา และนายบุนเหลือ สินไซยวอละวง ผู้ว่าการธนาคารแห่งสปป.ลาว ได้ลงนามใน MoU เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับธนาคารกลาง ทั้งนี้กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมทวิภาคีประจำปี ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสองแห่งเข้าร่วม

    “การเชื่อมโยงนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจ นักลงทุน นักท่องเที่ยว และคนงาน โดยเฉพาะในการให้บริการทางการเงินในระบบที่ง่าย รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ” แถลงการณ์ระบุ

    นายอิน จันนี ประธานและกรรมการผู้จัดการกลุ่มของ Acleda Bank Plc ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของกัมพูชากล่าวว่า ธนาคารได้รับมอบหมายจากธนาคารกลางกัมพูชาและธนาคารแห่งสปป.ลาว ให้พัฒนาระบบการชำระเงินและโอนเงินข้ามพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจ

    ธนาคารกลางทั้งสองประเทศได้เลือก Acleda Bank Plc เป็นธนาคารเพื่อการชำระบัญชี(settlement bank) เนื่องจากธนาคารได้พัฒนาระบบดังกล่าวแล้วสำหรับการชำระเงินข้ามประเทศระหว่างกัมพูชาและไทย โดยการเชื่อมต่อระบบบากอง(Bakong)ของกัมพูชากับระบบพร้อมเพย์ของไทย

    ธนาคารและเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางลาวได้ร่วมกันหารือมาแล้วสองครั้ง

    “แม้ปริมาณการค้าหรือปริมาณการชำระเงินระหว่างสองประเทศจะยังไม่มาก แต่ก็ต้องมีระบบรองรับ… ผ่านการให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนและโอนเงินกับธนาคารในลาว ขณะที่ Acleda Bank Lao Ltd (ABL) เป็น settlement bank ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ”

    ธนาคารกลางกัมพูชาได้แจ้ง Acleda Bank Plc ในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นตัวแทนของระบบธนาคารทั้งหมดในกัมพูชาผ่านระบบบากอง (Bakong) ถึงการเลือกธนาคารในเดือนกันยายนปีนี้ ก่อนที่ธนาคารแห่งสปป.ลาวจะแจ้งให้ Acleda Bank Lao Ltd (ABL) ธนาคารในเครือ Acleda Bank Plc ให้เป็นตัวแทนของระบบธนาคารทั้งหมดของลาว ผ่านระบบแห่งชาติของลาวที่เรียกว่า Lap Net ในปลายเดือนตุลาคมปีนี้

    นายจันนีอธิบายว่า ระบบทวิภาคีจะได้รับการพัฒนาโดยเชื่อมต่อ Bakong ของกัมพูชาที่ปัจจุบันมีธนาคารและสถาบันการเงินประมาณ 40 แห่งเป็นสมาชิกในประเทศเข้ากับ Lap Net ของลาว ซึ่งมีธนาคารและสถาบันการเงินประมาณ 30 แห่งเป็นสมาชิกในลาว

    Acleda Bank Plc ซึ่งได้รับมอบหมายจากธนาคารกลางของกัมพูชา จะพัฒนา QR Code สำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดนลาวและเวียดนาม ในขณะที่ QR Code ของธนาคารได้นำมาใช้ในการโอนเงิน การชำระเงินข้ามแดนกับประเทศไทยแล้วตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2563

    นายจันนีกล่าวว่า การชำระเงินและการโอนเงินข้ามพรมแดนจะได้รับการพัฒนาผ่าน สมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) Acleda Bank Plc จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาในเดือนพฤษภาคม 2563

    ปัจจุบัน Acleda Bank Plc ไม่เพียงแต่พัฒนาเทคโนโลยีการธนาคารและการเงินของตนเองเพื่อให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังทำงานร่วมกับธนาคารกลางกัมพูชาและหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งระบบและความเชี่ยวชาญ

    “เรามีทีมวิศวกรภายในองค์กรที่ทำงานร่วมกับทีมของธนาคารกลาง นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราสามารถเปิดตัว QR ของประเทศได้ และเราจะทำงานร่วมกันต่อไปเพื่อทำงานแรกให้สำเร็จ สำหรับภารกิจที่สอง เราจะพัฒนาการชำระเงินข้ามพรมแดนในแต่ละประเทศจาก 10 ประเทศในอาเซียน” นายจันนีกล่าวโดยอ้างถึง QR Code ที่พัฒนาขึ้นเพื่อ KHQR และเปิดตัวโดยธนาคารกลางกัมพูชา

    รัฐบาลทหารเมียนมาระงับโครงการพัฒนาเพราะขาดเงินกู้และเงินช่วยเหลือ

    โฆษกกองทัพเมียนมา นายพลจัตวา ซอว์ มิน ตุน ในการแถลงข่าวที่พิพิธภัณฑ์การทหารใน เนปิดอว์ เมียนมา 26 มกราคม 2021 ที่มาภาพ:https://www.mizzima.com/article/myanmar-junta-suspends-development-projects-due-lack-loans-and-grants
    พล.จัตวา ซอว์ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารพม่า เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องระงับโครงการพัฒนาต่างๆ เนื่องจากไม่ได้รับเงินกู้จากต่างประเทศก้อนใหม่ นับตั้งแต่เข้ายึดอำนาจในการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564

    “ตามกฎของรัฐบาลของเรา เราไม่รับเงินกู้ใหม่” เขากล่าว

    นอกจากนี้ยังกล่าวว่า รัฐบาลทหารดำเนินงานด้านการพัฒนาในประเทศโดยไม่ได้รับเงินกู้และเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อน ๆ ได้รับเงินกู้ระหว่างประเทศ และความช่วยเหลือด้านการพัฒนาซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ

    แต่แม้ว่ารัฐบาลทหารจะไม่ได้กู้เงินก้อนใหม่ แต่ได้ชำระคืนเงินกู้เพื่อการพัฒนาที่กู้โดยรัฐบาลชุดก่อนๆ

    ซอว์ มิน ตุน กล่าวว่า “รัฐบาลของเรามีหน้าที่รับผิดชอบในการชำระคืนเงินกู้เหล่านี้และดอกเบี้ยจากเงินกู้เหล่านี้” โดยอ้างว่ารัฐบาลทหารได้ชำระคืนเงินกู้ไปแล้ว 1.495 พันล้านเหรียญสหรัฐ

    ANZ ธนาคารต่างชาติรายแรกถอนตัวจากเมียนมา

    ที่มาภาพ: https://www.mizzima.com/article/anz-will-become-first-international-bank-withdraw-myanmar

    Australia and New Zealand Banking Group Limited (ANZ) ประกาศว่า จะถอนตัวออกจากเมียนมาภายในต้นปี 2566 ซึ่งจะเป็นธนาคารข้ามชาติแห่งแรกที่ถอนตัวออกจากพม่า

    การถอนตัวเกิดขึ้นหลังเมียนมาถูกขึ้นบัญชีดำของพม่าในเดือนตุลาคม 2565 โดย Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวังการฟอกเงินและการเงินของผู้ก่อการร้ายระดับโลก

    ในแถลงการณ์ ANZ กล่าวว่า “เนื่องจากความซับซ้อนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ทำงานร่วมกับลูกค้าสถาบันเพื่อเปลี่ยนไปใช้การจัดการธนาคารทางเลือก “

    ไซมอน ไอร์แลนด์ ผู้บริหาร ANZ กล่าวว่า “การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานในท้องถิ่น เราขอขอบคุณทีมงานที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อสนับสนุนลูกค้าของเราในช่วงเวลานี้

    “เครือข่ายระหว่างประเทศของเราและการสนับสนุนการค้าและกระแสเงินทุนของลูกค้าทั่วภูมิภาคเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ของเรา และจะดำเนินต่อไปในระยะยาว” นายไอร์แลนด์กล่าว

    ANZ บริษัทได้ดำเนินการในเมียนมาตั้งแต่ปี 2558 และมีทีมงานท้องถิ่นขนาดเล็กที่มุ่งเน้นการสนับสนุนความต้องการทั้งในประเทศและข้ามแดนของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงบริการต่าง ๆ เช่น การอำนวยความสะดวกในการจัดทำบัญชีเงินเดือน

    กลุ่ม Justice for Myanmar ระบุว่า ANZ ของออสเตรเลียเป็นหนึ่งในธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกๆ ที่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารกลางแห่งเมียนมา และได้รับการอนุมัติในปี 2557 ภายใต้รัฐบาลตัวแทนของกองทัพ

    ตั้งแต่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และแคนาดาคว่ำบาตรธนาคาร Innwa ในเดือนมีนาคม 2564 บริษัทประกัน AIA ในฮ่องกงจึงใช้ ANZ เพื่อโอนเงินไปยังบัญชีธนาคาร Innwa โดยธุรกรรมเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2564

    Edotco บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของมาเลเซียยังใช้ ANZ ในการทำธุรกรรมกับบัญชี Innwa Bank ในเดือนเมษายนและมิถุนายน 2564 Edotco ได้ให้ Mytel ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เมียนมา อีโคโนมิก คอร์ปอเรชั่น (MEC) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งเป็นเจ้าของธุรกิจและทำรายได้ให้กองทัพ เช่าเสาสัญญาณ รวมถึงธนาคาร Innwa MEC ยังถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และแคนาดาหลังการรัฐประหาร

    รายงานของ Justice for Myanmar ระบุว่า การทำธุรกรรมของ ANZ กับธนาคาร Innwa เกิดขึ้นท่ามกลางการคว่ำบาตรที่ถือเป็นโมฆะในออสเตรเลีย โดยรัฐบาลไม่สามารถกำหนดมาตรการคว่ำบาตรใด ๆ เพื่อตอบโต้การรัฐประหารของกองทัพ

    กลุ่มบริษัททหาร MEC และ Myanma Economic Holdings Limited (MEHL) ยังคงไม่ถูกคว่ำบาตรในออสเตรเลีย แม้ว่าถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และแคนาดา

    ก่อนหน้านี้ Justice For Myanmar ได้เขียนจดหมายถึง ANZ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมกับธนาคาร Innwa โฆษก ANZ ตอบว่า “เรากำลังติดตามสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และสิ่งสำคัญอันดับแรกของเราคือการดูแลความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงานของเรา ANZ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้ทั้งหมดในเขตอำนาจรัฐทั้งหมดที่เข้าไปดำเนินการ รวมถึงข้อกำหนดขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและสหภาพยุโรป”

    Justice For Myanmar ยังถาม ANZ ว่า ได้ทำธุรกรรมกับ MWD ซึ่งเป็นธนาคารของ MEHL หรือไม่ ANZ ไม่ได้ให้คำตอบ

    ยานาดาร์ หม่อง โฆษก Justice For Myanmar กล่าวถึงการถอนตัวของ ANZ ว่า “เรายินดีอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของ ANZ ที่จะถอนตัวออกจากเมียนมา และเรียกร้องให้พวกเขาออกจากประเทศด้วยความรับผิดชอบ

    “โดยต้องมีการบรรเทาและเยียวยาผลกระทบต่อพนักงาน และรับรองว่าส่งเงินทั้งหมดกลับประเทศ เพื่อที่พวกเขาจึงไม่ทิ้งผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทหารผู้ก่อการร้าย”

    นับตั้งแต่กองทัพพยายามทำรัฐประหารอย่างผิดกฎหมาย ANZ ได้ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป เพื่อคว่ำบาตรธนาคาร Innwa และอำนวยความสะดวกในการจ่ายเงินให้ลูกค้าแก่รัฐบาลทหาร ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลออสเตรเลียปฏิเสธที่จะคว่ำบาตรรัฐบาลทหารและธุรกิจต่างๆ

    “การเพิกเฉยอย่างน่าตกใจของรัฐบาลออสเตรเลียในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ในเมียนมานั้นบ่อนทำลายคุณค่าทางประชาธิปไตยและพันธกรณีระหว่างประเทศ เราเรียกร้องให้รัฐบาลออสเตรเลียสนับสนุนประชาชนชาวเมียนมาและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนโดยการลงโทษรัฐบาลทหารที่ผิดกฎหมายและธุรกิจของรัฐบาล”

    “ANZ เป็นธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกที่ถอนตัวออกจากเมียนมา และทางออกตามแผนของพวกเขาเป็นอีกสัญญาณของความเสียหายที่รัฐบาลทหารก่อให้เกิดต่อเศรษฐกิจของเมียนมา ผ่านการก่อรัฐประหารของกองทัพ สงครามแห่งความหวาดกลัว และการขยายตัวของกิจกรรมทางธุรกิจที่ผิดกฎหมายภายใต้การควบคุมหรือแสวงหาผลประโยชน์จากกองทัพและพรรคพวก”