ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > KBank แนะเร่งวางแผนภาษี รับมือการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศ ย้ำภาษีทรัพย์สินไทยถึงจุดเปลี่ยน

KBank แนะเร่งวางแผนภาษี รับมือการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศ ย้ำภาษีทรัพย์สินไทยถึงจุดเปลี่ยน

11 สิงหาคม 2022


ข่าวประชาสัมพันธ์

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง แนะลูกค้าเร่งวางแผนภาษี รับมือการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศ – ย้ำภาษีทรัพย์สินไทยถึงจุดเปลี่ยน

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) เดินหน้าตอกย้ำตำแหน่งผู้นำบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวเจ้าแรกในไทย จัดงานสัมมนา 2565-2566 Family Wealth Outlook หัวข้อ รู้ทันภาษีทรัพย์สินที่เปลี่ยนไป จัดการอย่างไรไม่ให้เสียประโยชน์ เพื่อให้ข้อมูลด้านภาษีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็น การเตรียมพร้อมกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศที่สรรพากรไทยจะเริ่มต้นส่งข้อมูลภาษีแบบเต็มรูปแบบตามระบบ Common Reporting Standard (CRS) ในเดือนกันยายนปีหน้า รวมไปถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภาษีทรัพย์สินและกฎหมายในประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคาร พร้อมแนะนำแนวทางการบริหารจัดการสินทรัพย์เพื่อให้การส่งต่อทรัพย์สินของครอบครัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยถือเป็นผู้ให้บริการไพรเวทแบงก์รายแรกในไทยที่ส่งมอบ “บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัว (Family Wealth Planning Service)” ซึ่งบริการนี้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าบุคคลสินทรัพย์ในด้านการเก็บรักษา (Wealth Preservation) และ การส่งต่อ (Wealth Transfer) ซึ่งในอดีตการเก็บรักษาและการส่งต่อทรัพย์สินในครอบครัวไม่ยุ่งยากและไม่ซับซ้อน เนื่องจากทั้งปริมาณของทรัพย์สินและจำนวนของสมาชิกครอบครัวมีไม่มาก แต่ในปัจจุบันยังมีปัจจัยด้านภาษีในระดับโลกที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีจากความร่วมมือของหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงในประเทศไทย ที่มีทั้งภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก ภาษีการขายหุ้น และภาษีลาภลอย ที่ค่อยๆ ทยอยมีผลบังคับใช้ อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้การจัดเก็บและการส่งต่อทรัพย์สินซับซ้อนยิ่งขึ้น

นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อลดช่องโหว่ของการเก็บภาษี รัฐบาลต่างๆ จึงพยายามที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งหลักๆ ก็คือการรับรู้แหล่งเงินได้ของผู้เสียภาษีที่ดูจากทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องที่อยู่กับสถาบันการเงิน ที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ได้ ปัจจุบันมีระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี 2 ระบบ คือ

1) Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่สัญญา เป็นการรายงานข้อมูลแหล่งเงินได้ของผู้ถือสัญชาติอเมริกันไปยังสรรพากรสหรัฐฯ ซึ่งระบบนี้จะกระทบต่อคนไทยที่ถือสัญชาติอเมริกัน ทั้งนี้ ประเทศคู่สัญญาจะเลือกแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสหรัฐฯ หรือไม่ก็ได้

2) Common Reporting Standards (CRS) เป็นระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างสมาชิกในกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ที่มีจำนวนสมาชิกกว่า 140 ประเทศ และไทยก็เป็นหนึ่งในสมาชิก เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลแหล่งเงินได้ของคนที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีของประเทศคู่สัญญาระหว่างกัน

โดยในเดือนกันยายน 2561 ประเทศไทยได้เข้าร่วมกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีของ OECD และในเดือนกันยายนปี 2566 กรมสรรพากรของไทยเริ่มส่งข้อมูลทางภาษีเต็มรูปแบบเมื่อมีการออกกฎหมายลำดับรองเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีผ่านระบบ CRS จะส่งผลกระทบต่อคนไทย / บริษัทไทย ดังนี้

ภาษีเงินได้ สำหรับคนไทยที่มีเงินได้ในต่างประเทศ ไม่มีผลกระทบในเรื่องเสียภาษีแต่อย่างใด ในขณะที่บริษัทไทยที่มีรายได้ในต่างประเทศ ต้องนำมารวมเสียภาษีในไทย หากไม่นำมารวม กรมสรรพากรจะทราบข้อมูลทันที

ภาษีการรับมรดก สำหรับคนไทยที่ได้รับทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ เช่น บัญชีเงินฝาก หุ้น เงินลงทุนต่างๆ เป็นมรดก ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการรับมรดกในไทย กรมสรรพากรจะทราบข้อมูลทันที ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรายงานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ มีเพียงการรายงานข้อมูลทางการเงินเท่านั้น การนำเงินได้ต่างประเทศกลับเข้าประเทศไทย ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนไทยที่มีเงินได้จากการทำธุรกรรมในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ / ครั้ง ต้องนำกลับเข้าประเทศไทยภายใน 360 วัน นับแต่วันทำธุรกรรม เว้นแต่มีการขอผ่อนผัน ถ้ามีการส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐของไทย ธปท. จะทราบทันที หากไม่นำกลับเข้ามาภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการยื่นขอผ่อนผัน

ดังนั้น KBank Private Banking แนะนำให้ขอคำปรึกษา การวางแผนภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของอนุสัญญาภาษีซ้อนที่ประเทศไทยมีกับประเทศคู่สัญญาต่างๆ ได้

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีทรัพย์สินและกฎหมายในประเทศไทยที่ส่งผลต่อความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็น

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง – จากการที่กรมธนารักษ์ประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่สำหรับรอบปี 2566 -2569 โดยราคาประเมินเฉลี่ยทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 8% ซึ่งจะเริ่มต้นในปีหน้า จะกระทบต่อฐานภาษีที่ใช้คำนวณภาระภาษีของเจ้าของที่ดินซึ่งจะอิงตามราคาประเมินใหม่ การยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราจัดเก็บภาษีที่ดิน 90% ที่ภาครัฐประกาศยกเลิกไปในปีนี้ รวมทั้งการยกเลิกการลดหย่อนจำนวนภาษีที่ดินฯ ที่ได้บรรเทา ตาม พ.ร.บ. บทเฉพาะกาลในปี 2566 ทำให้เจ้าของที่ดินต้องรับภาระภาษีที่ดินที่มากขึ้น ทั้งนี้ สำหรับเจ้าของที่ดินในเขตกรุงเทพฯ ทาง กทม. อยู่ในระหว่างการศึกษาเกณฑ์การรับที่ดินจากเอกชน เพื่อจัดทำสวนสาธารณะ สนามกีฬาเพื่อผลประโยชน์ทางด้านภาษีแก่เจ้าของที่ดิน อย่างไรก็ดี ภาครัฐอยู่ระหว่างพิจารณาปรับเพิ่มอัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ทำการเกษตรในเขตกรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน

ภาษีลาภลอย – การจัดเก็บจากมูลค่าที่ดินและห้องชุดที่ปรับเพิ่มขึ้น ตามแนวก่อสร้างโครงการคมนาคมพื้นฐานของรัฐ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่น ๆ ในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร โดย ครม. มีมติอนุมัติร่างพ.ร.บ. ภาษีการได้รับประโยชน์นี้ ตั้งแต่ปี 2561 แต่ยังไม่ได้บังคับใช้ อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มจะนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง

ภาษีมรดก – การจัดเก็บภาษีมรดกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิตไปแล้ว ในกรณีที่มรดกมีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท โดยจะเรียกเก็บจากผู้รับมรดก ยกเว้นในกรณีที่ผู้รับมรดกเป็นคู่สมรส แต่ในกรณีที่เป็นบุพการี หรือ ผู้สืบสันดานจะเสียในอัตรา 5% ในขณะที่บุคคลอื่นเสีย 10% โดยทรัพย์สินที่จะถูกเรียกเก็บภาษีจะต้องเป็นทรัพย์สินที่มีทะเบียน อาทิ อสังหาริมทรัพย์ บัญชีเงินฝากทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น

ภาษีการให้ / รับให้ – กฎหมายได้ระบุการให้โดยไม่ต้องเสียภาษีไว้ โดยแบ่งทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) อสังหาริมทรัพย์ พ่อแม่ให้ลูก มูลค่าไม่เกิน 20 ล้านต่อปี โดยลูกสามารถรับโอนอสังหาฯ จากพ่อและแม่ รวมกัน 40 ล้านบาทต่อปี 2) สังหาริมทรัพย์ ในกรณีที่พ่อแม่ให้ลูก มูลค่าไม่เกิน 20 ล้านต่อปี และรับโอนสังหาริมทรัพย์ จากบุคคลอื่น ตามโอกาสพิเศษ มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีที่อัตรา 5%

ทั้งนี้ เพื่อให้การส่งต่อทรัพย์สินในครอบครัว ไม่สร้างภาระให้กับผู้รับมอบ KBank Private Banking แนะนำให้เจ้าของทรัพย์สินวางแผนการส่งต่อ เช่น ทยอยส่งมอบทรัพย์สินให้มูลค่าไม่เกินที่กฎหมายกำหนด การทำพินัยกรรมโดยระบุการส่งมอบให้ไปถึงรุ่นหลาน การคงทรัพย์สินไว้ในกองมรดก เนื่องจากหากไม่มีการแบ่งออกจากกองมรดก ภาษีก็ยังไม่เกิด แต่ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาในเรื่องดอกผลของทรัพย์มรดก ว่าถือเป็นมรดกหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา รวมไปถึงการใช้เครื่องมืออย่างทรัสต์ต่างประเทศ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต เป็นต้น

ภาษีการขายหุ้น – เป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ เก็บจากธุรกรรมจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เสียภาษีในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ขาย หรือ 0.11 % รวมภาษีท้องถิ่น โดยโบรกเกอร์หักจากรายได้จากการขายและนำส่งกรมสรรพากรทุกเดือน แทนผู้ขาย ซึ่งภาษีการขายหุ้นนี้ได้รับการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 2534 ทั้งนี้ KBank Private Banking คาดว่าช่วงเวลานี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่ภาษีนี้จะกลับมามีผลบังคับใช้

นายพีระพัฒน์ กล่าวปิดท้ายว่า การพัฒนาของระบบการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งระบบไอทีแพลตฟอร์มที่ทันสมัยที่ได้รับการพัฒนาและนำมาใช้แทนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานจัดเก็บภาษีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ช่องโหว่ในการเลี่ยงหรือหลบภาษีน้อยลง อย่างไรก็ตาม KBank Private Banking มองว่าการกระจายทรัพย์สินหรือการลงทุนไปในต่างประเทศยังเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีทรัพย์สินและกฎหมายในประเทศไทย ที่อาจจะกระทบต่อความมั่งคั่ง หากไม่มีการวางแผนให้ดีทรัพย์สินที่มีมากมาย อาจสร้างภาระทางด้านภาษีที่หนักอึ้งให้แก่ลูกหลาน ดังนั้น KBank Private Banking จึงแนะนำให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงที่มีภาระทางภาษีมากกว่าคนทั่วไปเลือกการบริหารและวางแผนภาษีแทนการหลบภาษีหรือปิดบังข้อมูลแหล่งเงินได้ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อวางแผนการบริหารภาษีและสินทรัพย์ของครอบครัวโดยคำนึงถึงต้นทุนทางภาษีที่ต้องแบกรับ และวางแผนป้องกันพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือควรรีบลงมือทำ

สำหรับผู้ที่สนใจรับชมงานสัมมนา รู้ทันภาษีทรัพย์สินที่เปลี่ยนไป จัดการอย่างไรไม่ให้เสียประโยชน์ ย้อนหลัง สามารถคลิกรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Oj4fTx95cU8&t=2s