ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > กบอ.รับทราบความคืบหน้าโครงการ PPP ใน EEC เดินหน้า“เงินคนไทย-บริษัทไทย” ร่วมกันพัฒนาพื้นที่

กบอ.รับทราบความคืบหน้าโครงการ PPP ใน EEC เดินหน้า“เงินคนไทย-บริษัทไทย” ร่วมกันพัฒนาพื้นที่

23 ธันวาคม 2021


ข่าวประชาสัมพันธ์

กบอ.รับทราบความคืบหน้าโครงการร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระหว่างรัฐ-เอกชนในเขตพื้นที่ EEC เดินหน้าใช้ “เงินไทย-คนไทย-บริษัทไทย” ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ ช่วยรัฐประหยัดงบฯ-สร้างรายได้นำส่งคลังกว่า 2 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 7/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ภายหลังการประชุม ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม กบอ.รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้

1.ความสำเร็จในการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการ

วันนี้ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 4 โครงการ โดยใช้รูปแบบของโครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน หรือ “PPP” ที่สกพอ.ได้ผลักดันให้มีการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนจนครบทั้ง 4 โครงการ (รถไฟความเร็วสูงฯ สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบัง) มูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 654,921 ล้้านบาท ลงทุุนภาคเอกชน 416,080 ล้านบาท (ร้้อยละ 64) ลงทุุนภาครัฐ 238,841 ล้านบาท (ร้อยละ 36) โดยภาคเอกชนจะให้ผลตอบแทนภาครัฐ 440,193 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสุุทธิ 210,352 ล้้านบาท ถือเป็นประวัติศาสตร์ความสำเร็จครังสำคัญของประเทศและอีอีซีที่ได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนคนไทย ทั้งในปัจจุุบันและอนาคต

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

โดยความสำเร็จนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานเชิงประจักษ์ ถึงการสร้างนวัตกรรม เพื่อการลงทุุนของประเทศภายใต้หลักคิด ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การพึ่งพาตนเองพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งพิงเงินกู้ต่างประเทศเช่นในอดีต รัฐได้ประหยัดงบประมาณโดยร่วมมือกับเอกชนไทย ใช้เงินไทยและบริษัทไทยที่แข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรต่างชาติมาร่วมลงทุน สร้างงานให้คนไทย สร้างผลตอบแทนภาครัฐ รวมทั้งเผชิญความเสี่ยงกับรัฐบาล ทำให้ประเทศไทยกำลัง ก้าวสู่การสร้างอนาคตใหม่ร่วมกันทั้งประเทศ รัฐ-เอกชน และประชาชน ให้แก่คนไทยทุกคนอย่างยั่งยืน

2.EECi ก้าวหน้าครบมิติ เตรียมเปิดทางการรับประชุมผู้นำเอเปก ประกาศความพร้อมดึงนักลงทุนทั่วโลก

ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ความก้าวหน้าการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่การดำเนินงานเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ได้ประสบผลสำเร็จต่อเนื่อง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 พัฒนาเกษตรสมัยใหม่ กลุ่ม SMEs และความพร้อมพัฒนาบุคลากรด้านงานวิจัย เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อาทิ เมืองนวัตกรรมชีวภาพ เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ อิเลคทรอนิกส์อัจฉริยะ เมืองนวัตกรรมการบินและอวกาศ เมืองนวัตกรรมอาหาร รวมทั้งการก่อสร้างกลุ่มอาคาร โรงงานต้นแบบนวัตกรรมขั้นสูงต่างๆ ซึ่งเป็นฐานสำคัญของ EECi ใกล้เสร็จสมบูรณ์ และคาดว่าจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2565 เพื่อสนับสนุนการจัดประชุมผู้นำเอเปกที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะเป็นการประกาศความพร้อมสนับสนุนการดึงดูดการลงทุนฐานนวัตกรรมขั้นสูง และจูงใจนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่พื้นที่อีอีซี

3.ศูนย์จีโนมิกส์ เสริมแกร่งยกระดับสาธารณสุข คนไทยเข้าถึงรักษาโรคแม่นยำ หายป่วยง่าย สุขภาพดีทั่วหน้า

ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ความก้าวหน้าโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ในพื้นที่ อีอีซี ยกระดับให้ชุมชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข และแผนการขับเคลื่อนการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ โดยเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี และบริการที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบัน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสกพอ.ได้ลงนามในสัญญาจ้าง และสัญญาเช่าที่บริการถอดรหัสพันธุกรรม กับกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมประชาชน 50,000 ราย ในระยะเวลา 5 ปี และจัดเก็บเป็นข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยและเลือกการรักษาโรคที่ถูกต้อง เป็นต้นแบบในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ รักษาได้ตรงอาการไม่ป่วยหนัก และมีสุขภาพดีทั่วหน้าต่อไปในอนาคต