ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > “NER” รุกธุรกิจปลายน้ำ เตรียมงบ 240 ลบ. ลงทุนโซลาร์-วิจัยผลิตภัณฑ์

“NER” รุกธุรกิจปลายน้ำ เตรียมงบ 240 ลบ. ลงทุนโซลาร์-วิจัยผลิตภัณฑ์

4 ธันวาคม 2021


ข่าวประชาสัมพันธ์

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชี-การเงิน นางสาวเกศนรี จองโชติศิริกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด และนายมาณพ ฐาปน ผู้ช่วยรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายงานขายผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน Opportunity Day ประจำไตรมาส 3 /2564 เปิดเผยถึงธุรกิจปลายน้ำ (แผ่นปูนอนรองวัว) ว่า โดยบริษัทได้เข้ามาเน้นเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ cattleFlex จำนวน 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น Pro พรีเมียมระดับมาตรฐานยุโรป รุ่น Tuf ทนทานในราคาที่จับต้องได้ รุ่น Calf พิเศษสำหรับลูกวัว และรุ่น Move สำหรับทางเดินในฟาร์มปศุสัตว์

ด้านแผนงานผลิตภัณฑ์แผ่นปูนอนรองวัวยังเป็นไปตามแผนงาน โดยคาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรได้แล้วเสร็จในเดือน ก.พ. 65 มีปริมาณการขาย 280,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างทำการเจราจากับกลุ่มประเทศต่างๆ ให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า (Distributer) ซึ่งในเฟสแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ

นอกจากนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 240 ล้านบาท โดย100 ล้านบาทแรก จะใช้ลงทุนด้านพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์ (โซลาร์) นำมาทดแทนพลังงานที่บริษัทต้องซื้อ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนบริษัท และ 40 ล้านบาท ลงทุนด้านหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต เพื่อหนุนยอดขายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามนโยบายบริษัท เพื่อที่จะรุกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะกลุ่มดังกล่าวสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้มากกว่าธุรกิจต้นน้ำ

สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท จากปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน จากกำลังการผลิต 4.65 แสนตัน โดย 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.94 แสนตัน หรือคิดเป็น 87% เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และรองรับกลุ่มลูกค้าภายในและต่างประเทศที่มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์ล่วงหน้าไปถึงปี 2565 แล้ว โดย 9 เดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,245.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 808.52 ล้านบาท คิดเป็น 184.97% โดยมีรายได้จากการขายรวม 18,405.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,422.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84.36%