ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > สกพอ.จับมือ 4 สถาบันการเงิน ช่วยผู้ประกอบการ-SMEs ในพื้นที่ EEC เข้าถึงแหล่งทุน

สกพอ.จับมือ 4 สถาบันการเงิน ช่วยผู้ประกอบการ-SMEs ในพื้นที่ EEC เข้าถึงแหล่งทุน

23 ธันวาคม 2021


ข่าวประชาสัมพันธ์

(จากซ้ายไปขวา) นายเจษฎา ช.เจริญยิ่ง รองกรรมการผู้จัดการทำการแทนกรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์, นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ., นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย

สกพอ.จับมือ 4 สถาบันการเงินของรัฐ เปิดบริการทางการเงิน-ประกันวินาศภัย-ให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ-SMEs ในพื้นที่อีอีซี เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า พื้นที่อีอีซีมีแนวคิดที่จะผลักดันผู้ประกอบการและเอสเอ็มอีรายย่อย ทั้งภาคการผลิต บริการและการเกษตร อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงบริการทางการเงินหรือแหล่งเงินทุน

แนวคิดดังกล่าวนำมาสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘การส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงินเพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาควันออก’ ระหว่างสกพอ. และ 4 สถาบันทางการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยพิธีลงนามในครั้งนี้มี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานและเป็นสักขีพยาน

ดร.คณิศ กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินทั้ง 4 แห่งจะเป็นกลไกสำคัญเพื่อเร่งบรรเทาผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการธุรกรรมทางการเงินประเภทต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนานวัตกรรมด้านการเงินที่พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการยกระดับในพื้นที่อีอีซี ทั้งสินเชื่อรูปแบบพิเศษในแต่ละกลุ่มสินเชื่อ และเข้าถึงบริการประกันภัยในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยกระดับรายได้ เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำหรับการนำไปใช้พัฒนาพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศในอนาคต

ดร.คณิศ กล่าวต่อว่า สถาบันการเงินที่ร่วมลงนามครั้งนี้จะร่วมมือการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนแทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงของธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจรในพื้นที่อีอีซี ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน

“ที่เราเป็นห่วงที่สุดคือพ่อค้าแม่ค้า คนกลุ่มนี้เป็นหนี้นอกระบบเยอะ ดังนั้น สินเชื่อเหล่านี้ที่ลงไปจะเป็นส่วนข่วยให้ดำเนินธุรกิจได้ และจะเชื่อมโยงกับภาคบริการ การท่องเที่ยวและภาคการผลิต”

ทั้งนี้ความร่วมมือของ 4 สถาบันการเงินดังกล่าวได้ผลักดันให้เกิดธุรกรรมทางการเงิน ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินต่างๆ ดังนี้

ธนาคารกรุงไทย เน้นสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ อาทิ

  1. สินเชื่อ SME EEC 4.0 ให้วงเงินกู้สูงสุด 3 เท่าของหลักประกัน หรือสำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท สามารถกู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำ
  2. สินเชื่อ SME Robotics and Automation เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ วงเงินสูงสุด 80% ของเงินลงทุน ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี

นอกจากนี้ธนาคารกรุงไทยยังให้บริการทางการเงินด้านการนำเข้า-ส่งออกและช่วยการบริหารจัดการทางการเงินให้สะดวกด้วยบริการต่างๆ อาทิ e-Tax Invoice / E-Receipt นำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รวมทั้งการลงทุนโดยใช้เทคโนโลยีการให้บริการทาง การเงินที่เหมาะสมรองรับความต้องการของผู้ประกอบการได้ทุกกลุ่ม รวมถึงลูกค้าทั่วไปในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพร้อมการให้คำปรึกษาแนะนำพิจารณาร่วมลงทุนหรือเข้าบริหารกองทุนรวม

ธ.ก.ส. มาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเปลี่ยนไปทำการเกษตรแบบ Smart Farmer อาทิ

  1. สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินตามความจำเป็นในการดำเนินงาน อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปี และปีที่ 4 เป็นต้นไปอัตราดอกเบี้ยปกติ ระยะเวลาชำระคืน 15 – 20 ปี เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ
  2. สินเชื่อเสริมแกร่ง SME เกษตร กรณีใช้หลักทรัพย์ไม่เกิน 100 ล้านบาท กรณีใช้บุคคลค้ำประกันไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลา 10 ปี เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทางการเกษตรนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ 
  3. สินเชื่อนวัตกรรมดีมีทุน วงเงินไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืน 10 ปี เพื่อส่งเสริมเกษตรกรและประชาชนทั่วไปให้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีและภูมิปัญญามาใช้ในกระบวนการการผลิตในรูปแบบ Smart Farmer

นอกจากนี้ ธนาคารธ.ก.ส.ได้ให้คำปรึกษาแนะนำแก่นักลงทุนผู้ประกอบการและเกษตรกรให้การสนับสนุนและความร่วมมือในด้านการรวบรวมและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เชื่อมโยงช่องทางการตลาด รวมทั้งส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชน

เอสเอ็มอีแบงก์ ให้บริการออกสินเชื่อพิเศษแก่ผู้ประกอบการ SME และธุรกิจรายย่อยอื่นๆ ทั้งภาคการผลิตและบริการ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อาทิ

  1. สินเชื่อฟื้นฟู เพื่อฟื้นฟูกิจการหลังโควิด-19 วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปีใน 2 ปีแรกโดย 6เดือนแรกรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยแทน มีระยะเวลาชำระคืน 10 ปี
  2. สินเชื่อ SME เพื่อรีไฟแนนซ์ ลงทุน ปรับปรุง ขยายธุรกิจและเสริมสภาพคล่อง วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.5-6 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืน 10 ปี ปลอดชำระเงินต้น 18 เดือน

ทิพยประกันภัย สนับสนุนให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการและนักลงทุนในพื้นที่อีอีซีในด้านการประกันวินาศภัย และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับแต่ละภาคธุรกิจ ในแนวคิด TIP EEC 4.0 อาทิ

  1. การประกันสำหรับพ่อค้าแม่ค้าร้านค้า ธุรกิจเอสเอ็มอี สำหรับความเสียหายอุบัติภัยสำหรับรถเข็นขายสินค้า ร้านค้า และทรัพย์สินต่างๆ ตัวอย่างเช่น การประกันภัยสำหรับพ่อค้าแม่ค้า คุ้มครองสินทรัพย์วงเงิน 10,000-30,000 บาท และได้ขยายความคุ้มครองชดเชยการสูญเสียรายได้ไม่เกิน 4,500 บาท รวมทั้งการถูกโจรกรรมเงินทางไซเบอร์ วงเงินไม่เกิน 3,000 บาทในราคาเริ่มต้น 365 บาท
  2. Insurance Protection for Smart Factory 4.0 คุ้มครองโรงงานที่มีการปรับฐานการผลิตจากแบบเก่าเป็นระบบ Automation และ IoT เพื่อใช้ประโยชน์จาก 5G ซึ่งทำงานร่วมกับระบบคลาวน์ โดยคุ้มครองการสูญเสียรายได้จากการถูกแฮกข้อมูลจนทำให้ดำเนินการผลิตไม่ได้ วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท