ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลการดำเนินงานปตท.และบริษัทย่อยปี 2563 ลดลงกว่า 5.5 หมื่นล้าน มุ่งต่อยอดธุรกิจหลัก ก้าวสู่ธุรกิจใหม่ รุก “Clean Energy” (พลังงานสะอาด) และ “Life Science” (วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต) พร้อมเตรียมงบลงทุน 5 ปี กลุ่ม ปตท. กว่า 8 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่18 กุมภาพันธ์ 2564 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) แถลงผลประกอบการของไตรมาส 4 ปี 2563 (4Q/2563) และปี 2563 โดยใน 4Q/2563 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 71,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,149 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวขึ้นและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญในด้านสุขอนามัย การทำงานที่บ้าน และการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ตามต้นทุนเนื้อก๊าซฯ ที่ปรับลดลง และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีอ้างอิงในตลาดโลก ในส่วนของผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง แม้ปริมาณขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อย ใน 4Q/2563 มีกำไรสุทธิ จำนวน 13,147 ล้านบาท ลดลง 973 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9 จากไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 225,672 ล้านบาท ลดลง 63,300 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.9 ในปี 2562 โดยหลักจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ผลการดำเนินงานปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลงอย่างมาก โดยหลักจากการขาดทุนของค่าการกลั่นรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันในปี 2563 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงอย่างมากจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่ 67.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 51.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ สิ้นปี 2563
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ เนื่องจากราคาขายที่ลดลงตามราคาปิโตรเคมีอ้างอิงในตลาดโลกปรับลดลงและปริมาณขายที่ลดลงจากผลกระทบ COVID-19 และตามการปิดซ่อมบำรุงและปรับลดกำลังการผลิตให้เหมาะสมตามอุปสงค์ของลูกค้าในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของ กลุ่มเทคโนโลยีและวิศวกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการเข้าซื้อ GLOW ของ GPSC ในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 2562 ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อยในปี 2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 37,766 ล้านบาท ลดลง 55,185 ล้านบาท หรือร้อยละ 59.4 จาก ในปี 2562
“ผมเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 นี้ จะกลับมาฟื้นตัวภายใต้ 3 เงื่อนไข คือ ไม่เร็ว ยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาฟื้นตัวเท่ากับปี 2562 ไม่ทั่วถึง เพราะการฟื้นตัวในแต่ละภาคธุรกิจ จะไม่เท่ากัน และยังมีความไม่แน่นอน จากสถานการณ์การควบคุมโรคและวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดย ปตท. พร้อมร่วมขับเคลื่อนด้วยการสร้างความเข้มแข็งด้านพลังงาน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตไปด้วยกัน ตามกรอบแนวคิด ‘Powering Thailand’s Transformation’” นายอรรถพล กล่าว
ในส่วนของแผนวิสาหกิจ 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568) กลุ่ม ปตท. เตรียมแผนลงทุนในวงเงินรวม 850,573 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการลงทุนหรือแสวงหาโอกาสในการลงทุน) เพื่อลงทุนในธุรกิจหลักเช่น โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 การขยายขีดความสามารถของ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (หนองแฟบ) และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 804,202 ล้านบาท เพื่อการขยายการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวครบวงจร (LNG Value Chain) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจก๊าซธรรมชาติสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้า (Gas-to-Power) ห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า (Electricity Value Chain) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการมุ่งสู่ธุรกิจใหม่ในกลุ่ม Life science เพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทย โดยการจัดตั้งบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ตามกลยุทธ์การบริหารจัดการด้านความยั่งยืนใน 3 มิติ คือ สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) เพื่อสร้างความสมดุลในการตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นรูปธรรม
ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ร่วมเคียงข้างคนไทย ให้ก้าวผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เดินหน้าโครงการ Restart Thailand เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างทักษะอาชีพ ผ่านการจ้างแรงงาน พนักงาน และนักศึกษาระดับ ปวช.- ปริญญาตรีในทุกภูมิภาค รวมกว่า 25,000 อัตรา และสนับสนุนงบประมาณ 851 ล้านบาท เพื่อจัดหาและแจกจ่ายเจลแอลกอฮอล์ พัฒนาชุดตรวจคัดกรอง COVID-19 สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. เพื่อเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้มีการทบทวนค่าเป้าหมายระยะยาวของการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท. ในปี 2573 โดยลดการปล่อยจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 27 เทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานตามปกติ รวมถึงมีการนำกลไกราคาคาร์บอนประกอบการพิจารณาการลงทุนในโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ทั้งทางตรงและทางอ้อม (GHG Scope 1 และ 2) อีกด้วย
ผลจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้ ปตท. ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) ประจำปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) โดยได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated รางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (Best Investor Relations Awards) จากงาน “SET Awards 2020” ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน และยังได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2563 รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศทางด้านการบริหารจัดการ ในงาน Thailand Corporate Excellence Awards 2020 และ รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ประจำปี 2563 นอกจากนี้ ล่าสุดกลุ่ม ปตท. ได้มีบริษัทเรือธงใหม่ด้านน้ำมันและการค้าปลีก คือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ซึ่งเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในประเทศ