ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ทยอยออก “มาตรการเก็บตก” เยียวยา ปชช. – มติ ครม. จัดงบกลาง จ่ายค่าวัคซีนโควิดฯ 2,741 ล้าน

นายกฯ ทยอยออก “มาตรการเก็บตก” เยียวยา ปชช. – มติ ครม. จัดงบกลาง จ่ายค่าวัคซีนโควิดฯ 2,741 ล้าน

2 กุมภาพันธ์ 2021


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

นายกฯ ทยอยออก “มาตรการเก็บตก” เยียวยา ปชช.-สั่ง ศธ.ตรวจ ร.ร.เอกชน-เก็บค่าเทอมเกินให้จ่ายคืน– มติ ครม.จัดงบกลาง จ่ายค่าจัดหาวัคซีนโควิด ฯ 2,741 ล้าน – แก้ กม.ลดโทษอาญาไม่ร้ายแรงปเ็นจ่าย “ค่าปรับพินัย” แทน

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งการประชุม ครม. ในวันนี้ยังคงประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์

ทยอยออก “มาตรการเก็บตก” เยียวยา ปชช.

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้มีหลายเรื่องหลายวาระเพื่อทราบ เพื่อพิจารณาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแลประชาชนอยู่แล้วในเรื่องของการช่วยเหลือเยียวยา ในเรื่องของวัคซีน ในเรื่องของงบประมาณแผนงานต่อไป ในเรื่องของการแก้ปัญหา ในเรื่องของกฎหมายกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ ในทุกมิติไปด้วยกันและใช้กระบวนการขั้นตอนที่ต้องแก้ไขกฎหมายอยู่หลายฉบับเช่นเดียวกัน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่ในการประชุมวันนี้ได้มีข้อสรุปแนวทางการเยียวยาผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 หรือไม่ ว่า ได้ให้ในส่วนของกระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ สำนักงบประมาณ พิจารณาตรงนี้อยู่แล้ว

“จะเห็นได้ว่ามีมาตรการต่างๆทยอยออกมาเรื่อยๆ ตามลำดับ ก็เก็บตกในส่วนที่ยังมีปัญหาอยู่ เราก็จะทยอยดำเนินการไปเป็นระยะๆ”

ทั้งนี้ ตนขอให้ทุกคนช่วยกันอดทนช่วยกันเข้มแข็ง ช่วยกันเสียสละช่วยกันรับผิดชอบในการที่จะป้องกันการแพร่ระบาดและจำกัดการแพร่ระบาด ในเรื่องของการตรวจสอบคัดกรองในพื้นที่ที่มีความเข้มงวดสูงสุด ซึ่งขณะนี้จำเป็นต้องผ่อนคลายๆมาตรการออกม าแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าทุกคนที่อยู่ในห่วงโซ่ระมัดระวังป้องกันตนเองจะช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ แล้ววันหน้าทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติโดยเร็วๆ

พล.อ. ประยุทธ์  กล่าวต่อไปถึงเรื่องของวัคซีนโควิดฯ ว่า กำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่าได้กังวลตรงนี้

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้มาเท่าไหร่อย่างไรและมีแผนในการจัดการฉีดอะไรอย่างไร ถ้าคำนวณจากกำลังการผลิตทั่วโลกในขณะนี้ในทุกวัคซีนที่ยังมีอยู่ 2 ประเภท คือ ที่ได้รับการรับรองและไม่ได้รับการรับรอง สามารถผลิตออกมาได้ทั้งปีให้กับคนทั้งโลกได้เพียง 60% ซึ่งไม่เพียงพออยู่แล้ว ต้องมีการทยอยดำเนินการต่อไปโดยจัดลำดับความเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมตรงนี้ไว้แล้ว”

สั่ง ศธ.ตรวจ ร.ร.เอกชน-เก็บค่าเทอมเกินให้จ่ายคืน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ปกครองในปัญหาการเรียกเก็บค่าเทอมค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับการเปิดให้มีการเรียนการสอนออนไลน์โดยมีการเก็บค่าเทอมค่าใช้จ่ายเต็ม ว่า วันนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ไปตรวจสอบโรงเรียนเอกชนดังกล่าวแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีสิ่งใดที่มีการเรียกเก็บเกินความจำเป็น ก็จะแจ้งให้มีการลด คืนเงินผู้ปกครองต่อไป

“เวลาเรียนออนไลน์นั้น อะไรที่ไม่ต้องใช้ ก็ไม่ควรเก็บ เช่น ค่าอาหาร ค่ารถ ค่าทัศนศึกษา ค่าเรียนคอมพิวเตรอร์ ค่าอินเทอร์เน็ต ก็ขอความร่วมมือไปด้วยแล้วกัน”

ปัดตอบปมโหร คมช.-โยนสื่อกลับไปถามเจ้าตัวเอง

พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามต่อกระแสข่าวหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านจากโหร คมช.และ ส.ว.บางคน โดยระบุเพียงสั้นๆ ว่า “ขอให้ไปถามท่านเองแล้วกัน ผมไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้”

สั่ง มท.ระงับเรียกเบี้ยคนชราคืน-ยันทุกอย่างต้องเรียบร้อย

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องการเก็บเบี้ยผู้สูงอายุคืนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ว่า ขออย่าเพิ่งตื่นตระหนก วันนี้ทางกระทรวงมหาดไทยได้ระงับการเรียกเงินคืนนี้เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ดังนั้นขออย่าตื่นตระหนกกัน ตนเห็นใจในส่วนนี้เหมือนกัน

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้มีการโพสต์ถึงกรณีดังกล่าวผ่าน เฟสบุ๊กส่วนตัว ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า“เรื่องเบี้ยผู้สูงอายุนั้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดเจนก่อน และให้ชะลอการเรียกคืนหรือฟ้องร้องเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบและแก้ไขความคลาดเคลื่อนของข้อมูลต่างๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพัฒนาสังคมที่ดูแลเรื่องผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นคนจ่ายเงิน และกรมบัญชีกลางที่ดูเรื่องการเบิกจ่ายให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกฝ่ายกำลังคุยกันว่าจะมีทางออกอย่างไร”

“ขอให้คุณตาคุณยายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมรับปากจะดูแลให้ ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ทางเจ้าหน้าที่ก็ทำตามระเบียบ อย่างไรก็ดี ทางออกมีอยู่แล้วโดยไม่มีใครต้องเดือดร้อน รอสักหน่อยนะครับ และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปหาเงินมาใช้คืนหลวงหรือจะต้องขึ้นศาล ผมจะจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยครับ #ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพราะฉะนั้นขอให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ได้กลายความกังวลว่ารัฐบาลจะเร่งหาทางออกให้ดีที่สุดโดยไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนจะเป็นลักษณะแบบไหนคงต้องรอให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะเป็นเรื่องของกฎระเบียบของแต่ละหน่วยงาน ถ้าออกมาแล้วมีผลกระทบกับหน่วยงานอื่นก็คงจะต้องไปดูว่าทำอย่างไรออกมาแล้วจึงจะสามารถไม่ส่งผลกระทบเป็นปัญหาต่อหน่วยงานอื่นๆ ด้วย

เตือนสื่อเสนอข่าว รปห.เมียนมา หวั่นกระทบผลประโยชน์ ปท.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีการรัฐประหารรัฐบาลนางอองซาน ซูจี ในประเทศเมียนมา ว่า ในเรื่องดังกล่าวนั้นตนขอให้ทุกฝ่ายนำเสนอข่าวอย่างระมัดระวังที่สุด ไม่อยากให้เกิดเป็นผลเสียในเรื่องของผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและประชาชนของเรา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องของอาเซียนด้วย ตนไม่ต้องการให้เกิดการขยายความขัดแย้งโดยอย่างยิ่งในประเทศไทย

ต่อคำถามถึงเหตุรัฐประหารจะกระทบการลงทุนต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ หรือต้องมีการปรับแผนอย่างไร หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนได้เคยชี้แจงไปแนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไปแล้ว ก็ได้ให้แต่งตั้งคณะกรรมการโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเจรจาพูดคุยกันต่อไปในการแก้ปัญหาเหล่านี้และเพื่อเป็นการช่วยเหลือนักลงทุนของไทยด้วย

พิษโควิด ฯกระทบยอดขาย “ดอกป๊อปปี้” วอน ปชช.ช่วยบริจาค

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้เป็นวันทหารผ่านศึกก็ขอให้ช่วยสนับสนุนในกิจกรรมของมูลนิธิทหารผ่านศึกด้วย เพราะจำเป็นต้องดูแลทหาร และครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทางรัฐบาลก็มีช่องทางของรัฐบาลในส่วนของกระทรวงกลาโหมโดยองค์การทหารผ่านศึก ในส่วนของภายนอกก็เป็นเรื่องของมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกในพระราชูปถัมภ์

“ปีนี้การขายดอกป๊อปปี้ก็ลำบากเพราะติดสถานการณ์โควิดฯ ก็ฝากช่วยกันบริจาค ช่วยกันดูแลด้วยแล้วกัน เราก็คงไม่ลืมคำว่าประเทศเป็นบ้านทหารเป็นรั้ว วันนี้เป็นทั้งรั้วนอกรั้วในและในหลายมิติด้วยกัน ทั้งการพัฒนา การดูแลประชาชน ภัยพิบัติ น้ำท่วมและอื่นๆอีกมาก ก็ขอให้นึกถึงคุณความดีเขาบ้าง”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นั้นตนขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นกลไกของรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน. เช่นเดียวกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เพียงแต่วันนนี้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่เคยเป็นทหารเท่านั้น โดยยืนยันว่า กอ.รมน.เป็นเครื่องมือของรัฐบาล ไม่ใช่ของทหารหรือของตน

“ผมดำรงตำแหน่งผอ. กอ.รมน. ก็เหมือนของรัฐบาลชุดที่แล้วที่ทำหน้าที่ในกรอบของ กอ.รมน.ให้กับรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน”

มติ ครม. มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ www.thaigov.go.th

แก้ กม.เอื้อ “วินมอเตอร์ไซด์-หาบเร่แผงลอย” ใช้ที่สาธารณะทำกิน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในที่ หรือ ทางสาธารณะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมอบให้กรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานหลัก รับความเห็นและข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนจะประกอบด้วย พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 , พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 , พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522

ทั้งนี้ ความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง การปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในที่ หรือ ทางสาธารณะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยข้อเสนอแนะระยะสั้นและข้อเสนอระยะยาว ดังนี้

    1)ในระยะสั้น ให้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล กระทรวงสาธารณสุข และกรมการขนส่งทางบก เกี่ยวกับนโยบายการบริหารจัดการ และแผนการจัดการในที่ หรือ ทางสาธารณะที่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยและผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ
    2) ในระยะยาว จะกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดจุดผ่อนผันที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงสภาพพื้นที่มีความเหมาะสม ความต้องการของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือพื้นที่สร้างเศรษฐกิจในการทำมาหากินของผู้ประกอบอาชีพรายย่อย คำนึงถึงมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของวิถีชุมชน และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว กำหนดให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยและผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะจ่ายค่าตอบแทนหรือค่าธรรมเนียมการใช้ที่หรือทางสาธารณะให้แก่รัฐ โดยให้มีคณะกรรมการเพื่อทำผังการใช้ที่ หรือ ทางสาธารณะและบริหารจัดการพื้นที่ทั้งในระดับกรุงเทพมหานครและในระดับเขต เพื่อพิจารณาจัดทำข้อเสนอแนะด้านนโยบาย การใช้พื้นที่ การกำกับดูแลผู้ประกอบอาชีพในที่หรือทางสาธารณะ และพิจารณาเรื่องร้องเรียน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการจะสร้างความสมดุลระหว่างการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยให้สามารถประกอบอาชีพในที่ หรือ ทางสาธารณะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยยังคงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของวิถีชุมชน พร้อมๆ ไปกับการสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ที่ หรือ ทางสาธารณะ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

ดึง “ร้านธงฟ้า-สามล้อถีบ” ร่วมโครงการเราชนะ

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ปรับปรุงเงื่อนไขโครงการเราชนะ ขยายขอบเขตผู้ประกอบการ/ร้านค้า / บริการที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ต้องมีคุณสมบัติข้อหนึ่งในข้อใดดังนี้
1) เป็นผู้ประกอบการร้านธงฟ้าฯ หรือ
2) เป็นผู้ประกอบการประเภทร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง
3) เป็นผู้ประกอบการประเภทบริการสัญชาติไทย ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้

    3.1) เป็นผู้ประกอบการประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือ (2) เป็นผู้ประกอบการของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 หรือ (3) เป็นผู้ประกอบการของวิสาหกิจชุมชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
    3.2) มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งและตรวจสอบได้ หรือเป็นผู้ให้บริการประเภทรถที่ตรวจสอบได้ เช่น สามล้อถีบ เป็นต้น
    3.3) ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม – 31 มีนาคม 2564
    3.4) ไม่เป็นผู้ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการต่างๆ ของรัฐ
    3.5) ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการต่างๆ ของรัฐ หรือฝ่าฝืนมาตรการใดๆ ของรัฐเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ

4) เป็นผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะสัญชาติไทยที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

    4.1) เป็นผู้ประกอบการที่ไม่ใช่นิติบุคคล
    4.2) เป็นผู้ประกอบการประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน (TAXI METER) รถตู้โดยสารประจำทางที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถสองแถวรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่รถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    4.3) ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม – 31 มีนาคม 2564
    4.4) ไม่เป็นผู้ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการต่างๆ ของรัฐ
    4.5) ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการต่างๆ ของรัฐ หรือฝ่าฝืนมาตรการใดๆ ของรัฐเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ

5) เป็นผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟ รถโดยสารประจำทางสาธารณะ และเรือโดยสารสาธารณะ ที่ลงทะเบียนและผ่านกระบวนการเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” โดยตรงกับธนาคารกรุงไทยฯ

ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ช่วยเหลือภาระค่าของชีพ จึงเห็นควรกำหนดไม่ให้มีการใช้สิทธิ์ตามโครงการเราชนะในการซื้อสินค้า อันมิใช่สินค้าจำเป็น เพื่อการดำรงชีพเพิ่มเติม ได้แก่ สินค้าประเภททองคำ รวมถึงร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนการขายทอดตลาดและค้าของเก่าประเภทเพชร พลอย ทอง นาก เงิน หรือ อัญมณี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข คุณสมบัติร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ ฯ เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการที่ให้บริการประเภทรถที่ตรวจสอบได้ เช่น รถสามล้อถีบ หรือ ร้านธงฟ้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สามารถเข้าร่วมโครงการได้

ทั้งนี้ สภาพัฒน์ ฯได้รายงานต่อที่ประชุม ครม. ถึงการจัดทำข้อเสนอโครงการขององค์กรภาคเอกชน ที่ทำผ่านหน่วยงานของรัฐ ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 นี้ได้มีข้อเสนอโครงการของภาคเอกชนที่ได้ผ่านการพิจารณาจากรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ แล้ว 18 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 245 ล้านบาท ซึ่งแต่ละกระทรวงต้องจัดทำรายละเอียดของโครงการเสนอให้สภาพัฒน์ ฯพิจารณาก่อนเสนอให้ที่ประชุม ครม. เห็นชอบอีกครั้ง

เดินหน้าสกัดขยะอิเล็กทรอนิกส์

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศและมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนี้

  • การแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (อปท.) กรมการปกครองและกรมโรงงานอุตสาหกรรม จัดสถานที่รับคืนขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชนและนำไปจัดการอย่างถูกต้องภายใน 1 เดือน โดยกรมควบคุมโรคและกรมอนามัยจะเฝ้าระวังสุขภาพอนามัยของประชาชนที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้อง ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เฝ้าระวังการปนเปื้อนมลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ให้ใช้กฎกระทรวงการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน พ.ศ. 2563 และให้กรมอนามัยออกกฎกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้กิจการถอดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน พร้อมผลักดันให้ท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นตามกฎกระทรวงสาธารณสุข ภายใน 6 เดือนด้วย ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมอนามัย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ทำโครงการนำร่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมให้สำนักงานวิจัยแห่งชาติ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พัฒนาเทคโนโลยี/นวัตกรรมด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดการใช้สารอันตรายในขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งหมดนี้ภายใน 12 เดือนด้วย
  • การแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากต่างประเทศนั้น กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2563 และประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ยกเลิกการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 428 รายการ พร้อมให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดเงื่อนไขการนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว เพื่อควบคุมชนิดและปริมาณเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริงของประเทศ ภายใน 6 เดือน ขณะที่กรมศุลกากรและกรมโรงงานอุตสาหกรรม จัดระบบการตรวจสอบตู้บรรทุกสินค้าอย่างเข้มงวด ภายใน 6 เดือน เพื่อป้องกันการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างผิดกฎหมายหรือการสำแดงเท็จ พร้อมให้กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เฝ้าระวังการปนเปื้อนมลพิษที่เกิดจากการประกอบกิจกรรม ถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้อง โดยมีกรมควบคุมโรค และกรมอนามัย จะเฝ้าระวังสุขภาพอนามัยของประชาชนที่เกิดจากการประกอบกิจกรรม ถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้อง เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นไปตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2563 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ และที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมด้วย

อนุมัติงบกลาง จ่ายค่าจัดหาวัคซีนโควิด ฯ 2,741 ล้าน

นายอนุชา กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด-19 ว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบกลางวงเงิน 2,741 ล้านบาท เพื่อชำระค่าจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดฯ ด้วยการจองซื้อล่วงหน้ากับบริษัท แอสตรา เซนเนกา จำกัด ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขซ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงิน 6,216 ล้านบาท ตามที่ ครม. เคยมีมติไปแล้ว โดยการอนุมัติงบกลางในครั้งนี้ เพื่อนำไปชำระค่าจัดหาวัคซีน ซึ่งรวมไปถึงค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าบริหารจัดการวัคซีนด้วย

กมธ.ข้อสังเกต “กฎหมายทำแท้ง”

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. ได้รับทราบข้อสังเกตและเห็นชอบให้ดำเนินการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. …. เกี่ยวกับความผิดฐานทำให้แท้งลูก หรือ “กฎหมายทำแท้ง” หลังจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ผ่านร่างดังกล่าว และคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตเพิ่มเติม จึงเสนอ ครม. เพื่อพิจารณา สาระสำคัญดังนี้

  1. เพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
  2. ให้แพทยสภาปรับปรุงข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามาตรา 301 และมาตรา 305 โดยเร่งด่วน
  3. ให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดมาตรการการบริการให้กับผู้หญิงที่มารับบริการ โดยให้ศูนย์บริการภาครัฐทุกแห่งจัดให้มีบริการปรึกษาทางเลือกและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ การยุติการตั้งครรภ์ รวมทั้งจัดให้มีศูนย์บริการในโรงพยาบาลของรัฐอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง
  4. จัดสรรงบประมาณสนับสนุนช่วยเหลือดูแลผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมและกำหนดให้มีการติดตามประเมินผลการทำงานทุกปี โดยเสนอต่อกรรมการที่กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งขึ้น และกำหนดมาตรการควบคุมการจำหน่ายยาที่ผิดกฎหมายที่จะนำมาใช้ในการทำแท้งเองหรือการทำแท้งเถื่อน และดำเนินการกับหมอเถื่อนหรือคลินิกถึงอย่างจริงจัง

แก้ กม.ลดโทษอาญาไม่ร้ายแรงเป็นจ่าย “ค่าปรับพินัย” แทน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. …. โดยเรียกมาตรการใหม่นี้ว่า “การปรับเป็นพินัย” เพื่อกำหนดมาตรการสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงและเป็นความผิดอาญาเล็กน้อย เช่น ไม่แสดงใบขับขี่ (ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท) สูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ (ปรับไม่เกินสองพันบาท) หรือจอดรถขายผลไม้ริมถนนสาธารณะ (ปรับไม่เกินสองพันบาท)

“ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเมื่อกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้คือคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยใช้ความผิดอาญาเฉพาะการกระทำความผิดที่ร้ายแรงเท่านั้น โดยเปลี่ยนความผิดร้ายแรงเป็นโทษปรับทางพินัย ซึ่งจะมีกฎหมายอย่างน้อย 183 ฉบับ ที่ถูกเปลี่ยนเป็นโทษทางพินัย”

สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ. ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดให้มี “โทษปรับเป็นพินัย” เป็นโทษอีกประเภทหนึ่ง แยกจากโทษอาญาและโทษปกครอง, เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้มีอำนาจสั่งปรับ, ถ้าผู้ถูกปรับเป็นพินัยชำระค่าปรับเป็นพินัยเข้าหลวงแล้ว เป็นอันยุติจบเรื่อง ไม่มีการจำคุกหรือกักขังแทน ตลอดจนถ้าผู้ถูกปรับคัดค้าน หรือไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด เจ้าหน้าที่ต้องส่งเรื่องและสำนวนให้อัยการดำเนินการฟ้องศาลจังหวัด

ทั้งนี้ ร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวสอดคล้องกับมาตรา 77 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง และตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย รัฐบาลต้องจัดทำกฎหมายเปลี่ยนแปลงโทษอาญาที่สามารถเปรียบเทียบเพื่อให้คดียุติได้ให้เป็นโทษปรับทางปกครอง

แจงผลงานปราบยาเสพติดปี 63

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2563 ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้

  1. มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเปิดปฏิบัติการร่วมสามเหลี่ยมทองคำ 1511 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา ลาวเมียนมา เวียดนาม และจีน สามารถยึดยาเสพติดได้ เช่น ยาบ้า 486 ล้านเม็ด ไอซ์ 3.75 หมื่นกิโลกรัม เฮโรอีน 3.52 พันกิโลกรัม และสารตั้งต้น 1.5 หมื่นกิโลกรัม
  2. มาตรการปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมาย จับกุมคดียาเสพติดในภาพรวมได้ 324,552 คดี สามารถยึดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดรวม 1,853 ราย มูลค่ากว่า 2,107.75 ล้านบาท โดยมีคำสั่งยึดทรัพย์สินแล้ว 790.57 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการ 1,317.18 ล้านบาท
  3. มาตรการป้องกันยาเสพติด จัดตั้งชุดปฏิบัติการดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งในหมู่บ้านตามแนวชายแดนทั้งหมด 1,140 หมู่บ้าน มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกลุ่มเด็กและเยาวชนไม่ให้เป็นเป้าหมายของขบวนการค้ายาเสพติด นำเทคโนโลยีมาใช้ตรวจสอบสารเสพติดจากเส้นผมในกลุ่มเยาวชน พบว่ามีการใช้ยาเสพติดลดลง และการเสพติดซ้ำก็ลดลง สร้างพื้นที่ปลอดภัยจำนวน 5,406 ตำบล
  4. มาตรการบำบัดรักษายาเสพติด เช่น การจัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในระบบศาล จำนวน 25 แห่ง การพัฒนาศักยภาพศูนย์บริการลดอันตรายจากยาเสพติดภาคประชาสังคม ซึ่งสามารถนำผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด 190,394 ราย รับบริการเพื่อลดอันตรายจากยาเสพติด 35,083 ราย ติดตามดูแลผู้ผ่านการบำบัด 193,003 ราย และให้ความช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัด 3,030 ราย
  5. มาตรการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ เช่น พัฒนาพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยเสนอร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ส่วนผลการดำเนินงานอื่นๆ ได้แก่ ปี 2563 มีพื้นที่ขออนุญาตปลูกกัญชงของหน่วยงานรัฐ รวม 601 ไร่ 156 ตารางเมตร ใน 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ 131 ไร่ เชียงราย 94 ไร่ ตาก 376 ไร่ ปทุมธานี 156 ตารางเมตร และขับเคลื่อนนโยบายกัญชา นำของกลางกัญชาที่ยึดได้ไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยรวม 3,866 กิโลกรัม

จัดงบกลางจ่ายชดเชย “อหิวาต์หมู” 279 ล้าน

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 279.78 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร โดยจะเป็นการจ่ายให้กับเกษตรกรที่ทำลายสุกรไปในช่วงปี 2563 แต่ยังไม่ได้รับเงิน และในปี 2564 รวมมีจำนวน 93,319 ตัว

อย่างไรก็ตาม ปี 2563 รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจากงบกลาง สำหรับการจ่ายเป็นเงินชดเชยกรณีสุกรที่ถูกทำลายไปเพื่อป้องกันโรคดังกล่าว แต่เนื่องจากมีเกษตรกรที่เอกสารไม่ครบทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวอีกว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้กำหนดให้สินค้าสุกรเป็นสินค้าเรือธงที่จะส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ ซึ่งตัวเลขการส่งออกสุกรในปี 2563 มีมูลค่า 22,000 ล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ขณะที่อีก 34 ประเทศทั่วโลกมีการแพร่ระบาดของโรค

ผ่านร่าง กม.ใส่ “ชื่อ” บุคคลในแผ่นป้ายทะเบียนรถได้

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการ ร่างกฎกระทรวงกำหนดขนาด ลักษณะ และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถและการแสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (กำหนดแผ่นป้ายทะเบียนรูปแบบพิเศษ) โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ลักษณะของแผ่นป้ายทะเบียนสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน มีตัวอักษรมากกว่า 2 ตัว หรือตัวอักษรผสมสระหรือวรรณยุกต์หรือตัวเลขได้ เพื่อนำลักษณะแผ่นป้ายดังกล่าว และหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นที่นิยม หรือเป็นที่ต้องการของประชาชนออกเปิดประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อนำรายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนโดยไม่ใช้เงินงบประมาณของทางราชการ

โดยในปัจจุบันลักษณะของแผ่นป้ายทะเบียนรถและสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ ประกอบด้วยตัวอักษรประจำหมวดตัวที่ 1 ตัวอักษรประจำหมวดที่ 2 หมายเลขทะเบียนไม่เกิน 4 หลัก และตัวอักษระแสดงจังหวัดที่จดทะเบียน ใช้เพื่อควบคุมกับกับดูแล และตรวจสอบความเป็นเจ้าของ เมื่อมีอุบัติเหตุ หรือการกระทำผิดทางจาจรหรืออาญา

ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกควรสร้างความรับรู้ให้กับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานที่บังคับใช้ด้านกฎหมายจราจร พร้อมทั้งจัดให้มีการทดลองใช้ป้ายทะเบียนรถดังกล่าวกับระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ และระบบเทคโนโลยีการตรวจสอบอื่นๆ เพื่อให้การกำหนดป้ายทะเบียนรูปแบบพิเศษนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบดังกล่าว

“กรมการขนส่งทางบกจะเป็นผู้ดำเนินการกำหนดรายละเอียดอีกครั้ง แต่ได้มีตัวอย่างออกมา เช่น ไตรศุลี 1 ศรีสะเกษ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาในรายละเอียดของการใช้งานโดยเฉพาะชื่อที่จะนำมาใช้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการใช้งานในอนาคต” นางสาวไตรศุลี กล่าว

ยกเลิกเบิกเงินกองทุนแบงก์รัฐ 650 ล้าน ตั้ง “InFinIT”

นางสาวไตรศุลี  กล่าวว่า ครม. เห็นชอบให้ยกเลิกการใช้เงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 650 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน(Institute for Financial Innovation and Technology  : InFinIT)

เนื่องจากในปัจจุบัน ภาครัฐ สถาบันการเงินของรัฐต่างๆ และภาคเอกชนมีบทบาทชัดเจนในการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นในภาคการเงิน(FinTech Startups) และพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม เช่น ภาครัฐได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน หรือโครงการพร้อมเพย์ และแก้ไขกฎหมายที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์  ขณะที่ภาคเอกชนได้รวมตัวจัดตั้งสมาคมฟินเทคประเทศไทย  เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ FinTech Startups สถาบันการเงินของรัฐได้พัฒนาศูนย์นวัตกรรมของสถาบันการเงินของรัฐที่มีรูปแบบเหมือน InFinIT โดยมีผลิตภัณฑ์ที่สำคัญเช่น  แอปพลิเคชันเป๋าตัง

“การจัดตั้งสถาบัน InFinIT อาจมีความซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech ที่ภาคส่วนต่างๆได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องที่จะยกเลิกการจัดตั้งสถาบัน InFinIT” นางสาวไตรศุลี กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อให้มีความเป็นเอกภาพและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานนวัตกรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สมาคมฟินเทคประเทศไทย บูรณาการการทำงานร่วมกันในภาพรวมเพื่อให้การดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTechและให้ความช่วยเหลือแก่ FinTech Startups อย่างเป็นรูปธรรม เป็นไปทิศทางเดียวกันด้วย

พิษโควิด ฯเลื่อนจัดงานแข่งขัน “โมโต จีพี” ไป 1 ปี

นางสาวไตรศุลี  กล่าวว่า ครม. เห็นชอบให้ทบทวนมติ ครม. ในการเสนอตัวป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกรายการโมโต จีพี จากเดิมเป็นเจ้าภาพในช่วงปี 2561-2563 (3 ปี) กรอบวงเงินงบประมาณค่าลิขสิทธิ์จัดการแข่งขัน 300 ล้านบาท เลื่อนไปเป็นช่วงปี 2561-2564 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ไม่สามารถจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ตามกำหนดเดิมในปี 2563 ได้ และการเสนอตัวป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกรายการโมโต จีพี ที่เดิมจะดำเนินการในช่วงปี 2564-2568 (5 ปี) กรอบวงเงินงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 900 ล้านบาท  เลื่อนไปเป็นช่วงปี 2565-2569 ส่วนรายละเอียดอื่นยังคงเป็นเหมือนเดิม

ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการโมโต จีพี และบริษัท ดอร์น่า สปอร์ต จำกัด ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขันได้เห็นชอบการเลื่อนการแข่งขันจากปี2563เป็น 2564 ดังกล่าวแล้ว โดยจะไม่มีการเพิ่มค่าธรรมเนียมสัญญาร้อยละ 3 ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาก่อนหน้านี้

ส่วนสัญญาที่การกีฬาแห่งประเทศไทยต้องทำร่วมกับบริษัทดอร์น่าฯ สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในปี2565-2569 นั้น ทางอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า ขอให้การกีฬาแห่งประเทศไทยยึดสัญญาเดิมที่เคยผ่านการตรวจจากสำนักงานอัยการสูงสุด โดยให้ปรับเปลี่ยนเฉพาะวัน เดือน ปี ค่าลิขสิทธิ์การแข่งขัน และรายชื่อผู้ลงนามสัญญา

อนึ่ง ในการจัดแข่งขันรายการโมโต จีพี เมื่อปี 2561 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม2561 มีจำนวนผู้ชม 222,535 คน  สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 3,053 ล้านบาท และปี 2562 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2562  มีจำนวนผู้ชม 226,655 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 3,457 ล้านบาท

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564เพิ่มเติม