ThaiPublica > Sustainability > Sustainable Business > ยูนิลีเวอร์ย้ำ “Clean Future” ประกาศงดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในปี 2030

ยูนิลีเวอร์ย้ำ “Clean Future” ประกาศงดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในปี 2030

3 กันยายน 2020


ที่มาภาพ: https://indianexpress.com/article/business/companies/unilever-to-eliminate-fossil-fuels-in-cleaning-products-by-2030-6580400/

ยูนิลีเวอร์ย้ำ “อนาคตสะอาดหรือ Clean Future” ประกาศจะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในปี 2030

วันที่ 2 กันยายน 2020 ยูนิลีเวอร์ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าชั้นนำประกาศว่า จะเลิกใช้คาร์บอนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลในสูตรผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้า 100% แต่จะใช้คาร์บอนหมุนเวียนหรือรีไซเคิลเท่านั้น การดำเนินการนี้มีขึ้นเพื่อเปลี่ยนความยั่งยืนของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าระดับโลกทั้ง Omo (Persil), Sunlight, Cif และ Domestos

ความมุ่งหวังใหม่นี้เป็นองค์ประกอบหลักของอนาคตสะอาดหรือ Clean Future ของยูนิลีเวอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ผลักดันโดยแผนกโฮมแคร์ (Home Care) หรือของใช้ในบ้านของบริษัท เพื่อเปลี่ยนวิธีการพัฒนาผลิตและบรรจุผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าที่รู้จักกันดีในโลก Clean Future มีความโดดเด่นด้วยความตั้งใจที่จะฝังหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนลงในทั้งบรรจุภัณฑ์และสูตรผลิตภัณฑ์ในระดับแบรนด์ระดับโลกเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายในปัจจุบันประกอบด้วยสารเคมีที่ทำจากวัตถุดิบเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งเป็นแหล่งคาร์บอนที่ไม่หมุนเวียน การที่ยูนิลีเวอร์เปลี่ยนไปใช้แหล่งคาร์บอนที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้สำหรับสารเคมีเหล่านี้เป็นการปรับเปลี่ยนออกจากระบบเศรษฐกิจเชื้อเพลิงฟอสซิล ความริเริ่มแรกของเป้าหมายนี้ดำเนินการผ่าน Clean Future ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การให้คำมั่นของยูนิลีเวอร์ที่ในการปล่อยมลพิษจากผลิตภัณฑ์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2039

สารเคมีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าของยูนิลีเวอร์มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด (46%) ตลอดวงจรชีวิต ดังนั้นการเปลี่ยนจากสารเคมีที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในสูตรผลิตภัณฑ์ บริษัทจะปลดล็อกวิธีใหม่ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยูนิลีเวอร์คาดหวังว่าการริเริ่มนี้เพียงอย่างเดียวจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของสูตรผลิตภัณฑ์ได้ถึง 20%

พีเตอร์ เทอร์ คัลเว ประธานแผนกโฮมแคร์ของยูนิลีเวอร์อธิบายว่า Clean Future คือ วิสัยทัศน์ของเราที่จะยกเครื่องธุรกิจของเราอย่างจริงจัง ในฐานะอุตสาหกรรมเราต้องเลิกพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งการใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา เราต้องหยุดสูบคาร์บอนจากใต้ดินเมื่อมีคาร์บอนเพียงพอและอยู่เหนือพื้นดิน หากเราสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ในปริมาณมาก

“เราได้เห็นความต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของเราอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยให้ผู้คนปลอดภัยในการต่อสู้กับโควิด-19 แต่นั่นไม่ควรเป็นเหตุผลสำหรับความพึงพอใจ เราไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหันเหไปจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่โลกของเรา บ้านของเรา กำลังเผชิญอยู่ มลพิษ การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ นี่คือบ้านที่เราอยู่ร่วมกันและเรามีความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้อง”

ยูนิลีเวอร์กำลังระดมทุน 1 พันล้านยูโรสำหรับ Clean Future เพื่อเป็นเงินทุนในการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการใช้ของเสียและสารเคมีคาร์บอนต่ำซึ่งจะช่วยผลักดันการเปลี่ยนจากสารเคมีที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิล การลงทุนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อสร้างสูตรผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้และประหยัดน้ำเพื่อลดการใช้พลาสติกบริสุทธิ์ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2025 และสนับสนุนการพัฒนาการสื่อสารของแบรนด์ที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ดึงดูดผู้บริโภค

กองทุนใหม่ของยูนิลีเวอร์ ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าราคาประหยัดที่ให้ผลการทำความสะอาดที่เหนือกว่า และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเห็นได้ชัด

Clean Future ได้ให้การสนับสนุนโครงการชั้นนำของอุตสาหกรรมทั่วโลกเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าของยูนิลีเวอร์ ตัวอย่างเช่น ในสโลวาเกีย ยูนิลีเวอร์กำลังร่วมมือกับ อีโวนิก อินดัสตรีส์ (Evonik Industries) ผู้นำด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อพัฒนาการผลิต rhamnolipids ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่สามารถหมุนเวียนและย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ซึ่งได้ใช้แล้วในน้ำยาล้างจาน Sunlight ในชิลีและเวียดนาม ในเมืองทุติโคริน (Tuticorin) ทางตอนใต้ของอินเดีย ยูนิลีเวอร์กำลังจัดหาโซดาแอชหรือโซเดียมคาร์บอเนต ซึ่งเป็นส่วนผสมในผงซักฟอก โดยใช้เทคโนโลยีนำร่องการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โซเดียมคาร์บอเนตทำจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมากจากการใช้พลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิต คาดว่าเทคโนโลยีทั้งสองจะยกระดับได้อย่างมีนัยสำคัญภายใต้โครงการนี้

ศูนย์กลางของ Clean Future คือ ‘Carbon Rainbow’ ของยูนิลีเวอร์ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการกระจายคาร์บอนที่ใช้ในสูตรผลิตภัณฑ์ แหล่งคาร์บอนที่ไม่หมุนเวียนจากฟอสซิล (ใน Carbon Rainbow เรียกว่าคาร์บอนสีดำ) จะถูกแทนที่โดยใช้ก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ที่ดักจับได้ (คาร์บอนสีม่วง) จากพืชและแหล่งชีวภาพ (คาร์บอนสีเขียว) แหล่งที่มาจากทะเล เช่น สาหร่าย (คาร์บอนสีน้ำเงิน) และคาร์บอนที่ได้จากวัสดุเหลือใช้ (คาร์บอนสีเทา) การจัดหาคาร์บอนภายใต้ Carbon Rainbow จะอยู่ภายใต้การควบคุมและแจ้งโดยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและทำงานร่วมกับโครงการจัดหาที่ยั่งยืนชั้นนำในอุตสาหกรรมของยูนิลีเวอร์ เพื่อป้องกันแรงกดดันในการใช้ที่ดินโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทันยา สตีล ซีอีโอของกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature — WWF) ระบุว่า โลกต้องเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่ทรัพยากรหมุนเวียนที่ลดแรงกดดันต่อระบบนิเวศที่เปราะบางของเราและช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ คำมั่นสัญญาที่สำคัญเหล่านี้จากยูนิลีเวอร์ประกอบกับการจัดหาที่ยั่งยืน แข็งแกร่ง มีศักยภาพที่แท้จริงในการมีส่วนร่วมที่สำคัญ เมื่อเราเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่เดินหน้าร่วมกับธรรมชาติไม่ใช่ต่อต้าน”

พีเตอร์ เทอร์ คัลเว สรุปว่า “เศรษฐศาสตร์ชีวภาพแบบใหม่เกิดขึ้นจากขี้เถ้าของเชื้อเพลิงฟอสซิล

“เราเคยได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าว่า คนต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนราคาไม่แพงและดีพอๆ กับผลิตภัณฑ์ทั่วไป การพัฒนาอย่างรวดเร็วทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำสิ่งนี้ได้ พร้อมคำสัญญาว่าจะให้ประโยชน์ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราตั้งแต่ส่วนผสมในการทำความสะอาดที่อ่อนโยนเป็นพิเศษไปจนถึงเสื้อผ้าและพื้นผิวที่ทำความสะอาดในตัวเอง

“แหล่งที่มาของคาร์บอนที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตภายในขอบเขตของโลกของเรา ซัพพลายเออร์และพันธมิตรด้านนวัตกรรมของเรามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการแบ่งปันแบบจำลอง Carbon Rainbow ของเรา เรากำลังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในระดับเศรษฐกิจในการที่เราทุกคนใช้คาร์บอน”

ที่มาภาพ: https://www.unilever.com/news/press-releases/

พันธสัญญาด้านความยั่งยืนที่มีอยู่ของยูนิลีเวอร์

ความมุ่งหวังในวันนี้ที่จะแทนที่คาร์บอนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิล 100% ในสูตรผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้านของยูนิลีเวอร์ด้วยคาร์บอนหมุนเวียนหรือรีไซเคิลภายในปี 2020 ก่อตัวขึ้นจากพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ของยูนิลีเวอร์ ได้แก่

  • การปล่อยคาร์บอนสุทธิจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นศูนย์ ตั้งแต่แท่นการผลิตจนถึงชั้นวางจำหน่ายภายในปี 2039
  • บรรลุเป้าหมายห่วงโซ่อุปทานที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2023 การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่คุณค่าภายในปี 2030
  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์จากการดำเนินงานของตนเองภายในปี 2030
  • ตั้งเป้าที่จะทำให้สูตรผลิตภัณฑ์ย่อยสลายทางชีวภาพได้ภายในปี 2030
  • ลดการใช้พลาสติกบริสุทธิ์ลงครึ่งหนึ่ง ช่วยรวบรวมและแปรรูปพลาสติกมากกว่าที่ขาย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่รีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ภายในปี 2025 และใช้พลาสติกรีไซเคิลอย่างน้อย 25% ในบรรจุภัณฑ์ภายในปี 2025

คาร์บอนหมุนเวียนและรีไซเคิลได้

คาร์บอนที่หมุนเวียนและนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้เกิดแหล่งคาร์บอนที่ทดแทนการใช้ฟอสซิลคาร์บอนจากใต้ดินได้ทั้งหมด คาร์บอนหมุนเวียนสามารถมาจากระบบนิเวศและบรรยากาศ คาร์บอนรีไซเคิลมาจากเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้า คาร์บอนที่หมุนเวียนและรีไซเคิลได้หมุนเวียนระหว่างระบบนิวเศ ชั้นบรรยากาศ และเทคโนโลยีทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

Carbon Rainbow ในทางปฏิบัติ

  • โครงการ Clean Future กำลังให้ทุนการวิจัยและพัฒนาในโครงการต่างๆ เช่น
  • คาร์บอนสีม่วง (การดักจับและการใช้คาร์บอนเพื่อผลิตโซดาแอชและสารเคมีอื่นๆ)
  • คาร์บอนสีเขียว (สารลดแรงตึงผิว rhamnolipids ที่ได้จากชีวมวลบนบก)
  • คาร์บอนสีเทา (สารลดแรงตึงผิวที่ได้จากขยะพลาสติก)
  • ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (พอลิเมอร์ทำความสะอาดที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ)
  • สูตรคาร์บอนต่ำ (ส่วนผสมที่มีน้ำหนักเบา)