ThaiPublica > เกาะกระแส > “The Long View” 10 ปีข้างหน้าไทยจะเจอความท้าทายสำคัญด้านใดบ้าง เมื่อคนกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ

“The Long View” 10 ปีข้างหน้าไทยจะเจอความท้าทายสำคัญด้านใดบ้าง เมื่อคนกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ

9 กันยายน 2020


KKP Research กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ “ทศวรรษถัดไปของไทย ธุรกิจโตอย่างไร เมื่อคนไทยกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ”

  • KKP Research มองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจะเปลี่ยนไปอย่างมาก ตามโครงสร้างประชากรที่คนไทยมากกว่า 40% จะเข้าสู่วัยเกษียณและเตรียมเกษียณ การบริโภคจะเริ่มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดสินค้าในประเทศไม่เติบโตได้มากเหมือนในอดีต และการขาดแคลนแรงงานจะซ้ำเติมให้ไทยดึงดูดการลงทุนได้น้อยลง
  • ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า มีเพียงบางธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีตามแนวโน้มสังคมสูงวัย เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และบริการอื่น ๆ
  • ภาวะสังคมสูงวัยมีส่วนสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และเงินบาทแข็งค่า อีกทั้งยังสร้างความท้าทายและข้อจำกัดต่อนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในระยะต่อไป
  • ภาคธุรกิจและภาครัฐต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น โดยหาโอกาสทางธุรกิจที่สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรในอนาคต เน้นพัฒนาทักษะแรงงานและเทคโนโลยีเพื่อชดเชยแรงงานที่หายไป

  • KKP Research วิเคราะห์ “ทำไมต่างชาติขายหุ้นไทย(ไม่หยุด)”
  • จากการวิเคราะห์ของ KKP Research ในบทความชิ้นที่แล้วได้ฉายภาพให้เห็นปัญหาและอุปสรรคต่อการเติบโตและการลงทุนของไทย ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มหมดความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ นับจากวันนี้ไปอีก 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยกำลังจะเจออุปสรรคและความท้าทายใหม่ ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเองและโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

    KKP Research จึงขอนำเสนอบทความชุด “The Long View” เพื่อให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ไทยจะเจอกับความท้าทายสำคัญด้านใดบ้าง โครงสร้างเศรษฐกิจไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ธุรกิจแบบไหนที่จะเติบโต แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่คืออะไร เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการหาทางออกอย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง นำไปสู่ข้อเสนอแนะทางนโยบายของภาครัฐในการเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลังหายไป

    โครงสร้างประชากรเป็นปัจจัยหลักปัจจัยหนึ่งที่กำหนดรูปแบบการเติบโตของประเทศทั้งจากมุมมองในฝั่งการบริโภคและการผลิตมาโดยตลอด (รูปที่ 1 และ 2) โดยเมื่อย้อนดูโครงสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

    (1) ทศวรรษที่ 1980 นับเป็นยุคแห่งการลงทุน (Investment boom) เศรษฐกิจไทยมีการลงทุนในสัดส่วนสูง ส่วนหนึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากการที่ประชากรอยู่ในวัยเติบโต ทำให้ตลาดในประเทศมีศักยภาพการเติบโตสูงทั้งในสายตานักลงทุนไทยและต่างชาติ

    (2) ทศวรรษที่ 1990 ยุคแห่งการขยายตัวของการบริโภค (Consumption boom) ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยทำงานและเป็นช่วงการสร้างครอบครัว มีทั้งกำลังซื้อและความต้องการในการใช้จ่ายสูง

    (3) ทศวรรษที่ 2000 และ 2010 (Productivity) พิจารณาจากฝั่งการผลิต เศรษฐกิจสามารถพึ่งพาประชากรกลุ่มที่มีผลิตภาพสูง ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานมาในระดับหนึ่งและเป็นกำลังการผลิตที่สำคัญของประเทศ

    ในอีก 10 ปีข้างหน้า โครงสร้างประชากรทั้งสามกลุ่มที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้าจะลดจำนวนลง จากการที่ไทยก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วและจะกลายเป็นประเทศสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปีหน้านี้ เป็นประเทศที่สองของอาเซียนรองจากสิงคโปร์ กลุ่มคนที่เตรียมเกษียณอายุ (Pre-retirement) หรือเกษียณอายุแล้ว (Retirement) จะมากขึ้นและจะมีสัดส่วนเกินกว่า 40% ของประชากรไทยทั้งหมดในปี 2030

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ได้เริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา KKP Research ขอชี้ให้เห็นว่าปัญหานี้กำลังจะรุนแรงขึ้นและเชื่อมโยงกับปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ ในอีกหลากหลายมิติ

    มากกว่าปัญหาด้านสุขภาพและภาระทางการคลัง

    ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วในสถานการณ์ที่ต่างจากประเทศอื่น ประเทศส่วนใหญ่ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ต่างเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ประชากรโดยเฉลี่ยมีรายได้สูง ในขณะที่ประชากรไทยกำลังแก่ชราลงในเวลาที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีรายได้ไม่สูงเท่าประเทศอื่น ๆ (รูปที่ 3) หรือเรียกได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ “แก่ก่อนรวย”

    เมื่อกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย สิ่งที่ดูจะเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ คือ ความจำเป็นในการสร้างระบบสวัสดิการเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ การเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมเพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมทั้งภาระทางการคลังที่จะเพิ่มขึ้นตามมาจากการที่การใช้จ่ายด้านรัฐสวัสดิการที่จะสูงขึ้น
    ทว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงกับปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ อย่างที่เราอาจไม่คาดคิด ทั้งใน

    (1) ด้านอุปสงค์ จากกำลังซื้อของคนในประเทศที่จะเริ่มหดตัวลง ส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาวะการลงทุนที่จะชะลอลง

    (2) ด้านอุปทาน จากปัญหาขาดแคลนแรงงาน และศักยภาพการผลิตของแรงงานที่ลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย

    (3) ด้านภาวะการเงิน ที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน รวมถึงแนวโน้มการแข็งค่าเงินของเงินบาทซึ่งเป็นหนึ่งในผลพวงที่เกิดขึ้นตามมาจากการลงทุนและการบริโภคที่ต่ำ ซึ่งจะกลับมาซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยผ่านความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของภาคการส่งออกไทย

    (4) ด้านประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายการเงินและการคลังที่จะเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความท้าทายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลเสถียรภาพทางการเงินในระยะต่อไป นับได้ว่าการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถึงแม้จะไม่ใช่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเหมือนกับวิกฤต COVID-19 แต่เป็นปัญหาที่คืบคลานมาช้า ๆ และจะส่งผลลบต่อศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอย่างมหาศาลและแทบจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

    ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง 4 ประการ

    1) แรงขับเคลื่อนจากการบริโภคถึงจุดอิ่มตัว

    ผลจากการเข้าสู่สังคมสูงอายุที่ชัดที่สุด คือ การบริโภคที่ค่อย ๆ ลดลงและไม่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้กับเศรษฐกิจไทยได้อีกต่อไป จากการที่ประชากรในกลุ่มที่มักจะมีการใช้จ่ายมากกว่ารายได้ (กลุ่มอายุน้อยกว่า 34 ปี) จะมีจำนวนน้อยลง ในขณะที่กลุ่มประชากรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น คือ กลุ่มคนที่เตรียมตัวเกษียณอายุ (51 – 65 ปี) และกลุ่มหลังเกษียณ (มากกว่า 65 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่บริโภคน้อยลงและมีการออมเพื่อเตรียมตัวเกษียณในสัดส่วนที่สูง ในช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของการบริโภคภาคเอกชนมากขึ้นเรื่อย ๆ (รูปที่ 2) ซึ่งเป็นแรงส่งสำคัญตัวหนึ่งของเศรษฐกิจไทย โดยคิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยถึง 50% ของ GDP ในช่วงที่ผ่านมา

    เมื่อเปรียบเทียบการใช้จ่ายของคนในแต่ละช่วงอายุ พบว่าประชากรในกลุ่มวัยก่อนเกษียณและหลังเกษียณมีการบริโภคเฉลี่ยต่อเดือนลดลงมากถึง 3,000 บาท (12%) และ 6,000 บาท (25%) ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนทำงานอายุ 35-50 ปี (รูปที่ 4) ตามข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคม (Socio-Economic Survey) ซึ่งส่วนใหญ่จะสะท้อนกลุ่มประชากรรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ จากการหาความสัมพันธ์ทางสถิติ พบว่าการบริโภคที่ลดลง ไม่ได้เกิดจากรายได้ของกลุ่มผู้สูงอายุที่หายไปจากการออกจากตลาดแรงงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจเป็นผลจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปด้วย (รูปที่ 5) เช่น จากการเก็บออมที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยที่ลดลง เป็นต้น

    ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของการบริโภคตามช่วงอายุในลักษณะนี้ เราคาดการณ์ได้ว่าโครงสร้างประชากรไทยในระยะข้างหน้า จะสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทย จากเดิมที่การบริโภคเคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับเศรษฐกิจ อาจกลับกลายเป็นไม่ขยายตัวเลยในช่วงปี 2020–2030 และทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยตกต่ำลงไปยิ่งกว่าเดิม

    2) ธุรกิจรูปแบบเก่าจะเติบโตได้ยาก

    รูปแบบการใช้จ่ายของประชากรสูงวัยมักแตกต่างจากกลุ่มผู้บริโภควัยอื่น ๆ ตามความต้องการสินค้าและบริการที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุของคน ภาวะสังคมสูงวัยจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิตของประเทศ รวมถึงโอกาสในการเติบโตและความอยู่รอดของธุรกิจในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมแตกต่างกันไป

    จากการประเมินของ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร รูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุของประชากรจะส่งผลให้กลุ่มธุรกิจที่จะยังสามารถขยายตัวได้ดี คือ อุตสาหกรรมยา การดูแลสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และบริการอื่น ๆ ในขณะที่อุตสาหกรรมที่เคยเติบโตได้ดี เช่น รถยนต์ การเดินทาง เสื้อผ้า อาหารและเครื่องดื่ม จะเริ่มหดตัวลงตามความต้องการที่ลดลงของกลุ่มผู้สูงอายุ (รูปที่ 6)

    เมื่อพิจารณาความสำคัญของอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มหดตัวจากการเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคของผู้สูงอายุ โดยรวมแล้วสินค้าและบริการจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีขนาดใหญ่ถึงประมาณ 62% ของการบริโภคในประเทศในปัจจุบัน หรือคิดเป็นกว่า 31% ของ GDP (รูปที่ 7) ผลจากการหดตัวของการบริโภคในส่วนนี้เพียงอย่างเดียว อาจจะฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงไปประมาณ 0.4% จากระดับเฉลี่ยที่เติบโตเพียง 3% ต่อปีในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นอุปสรรค (Headwinds) สำคัญต่อธุรกิจในอุตสาหกรรมเหล่านี้ที่ความต้องการลดลง และต่อการเติบโตในระยะข้างหน้าของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

    3) ธุรกิจขาดอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) การลงทุนชะลอตัวทั้งจากในและต่างประเทศ

    อัตราเงินเฟ้อในช่วงหลังปี 1970 เป็นต้นมามีทิศทางที่ต่ำลงต่อเนื่องทั่วโลก สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยด้านอุปทาน ทั้งจากราคาน้ำมันที่ลดลงจากในอดีต การแข่งขันที่สูงขึ้นและต้นทุนที่ถูกลงจากการเปิดเสรีทางการค้า การก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย รวมถึงรูปแบบสินค้าใหม่ ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันที่รวมเอาฟังก์ชั่นผลิตภัณฑ์หลายประเภทที่เคยอยู่แยกกัน เช่น กล้องถ่ายรูป เครื่องคิดเลข วิทยุ TV มาไว้ในเครื่องเดียว

    อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทยปัจจัยด้านอุปสงค์หรือกำลังซื้อของผู้บริโภคที่หายไปอาจมีส่วนสำคัญเช่นกันในการอธิบายอัตราเงินเฟ้อที่ลดต่ำลง จากข้อสังเกตสองประการ คือ

    (1) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน (Core inflation) ซึ่งสะท้อนแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มาจากด้านกำลังซื้อได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 และ 2008 เป็นต้นมา (รูปที่ 8)

    (2) เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อเป็นรายอุตสาหกรรมของไทยในช่วงกว่า 25 ปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าลดลงในแทบทุกหมวดสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อ ในกลุ่มนี้สินค้าที่ราคาชะลอตัวลงมากที่สุด คือ อาหาร เสื้อผ้า และนันทนาการ (รูปที่ 9) ซึ่งสอดคล้องกับทั้งพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มผู้สูงอายุที่บริโภคสินค้าในกลุ่มนี้ลดลง และอัตรากำไรของบริษัทในธุรกิจกลุ่มนี้ที่ชะลอลง

    ผลพวงประการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นหากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงเกิดจากตลาดที่ไม่ขยายตัว คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจาก Return on equity (RoE) ของธุรกิจในหมวดดังกล่าว ซึ่งจากการวิเคราะห์โดยแยกองค์ประกอบ RoE เป็น 3 ส่วน ได้แก่ Net profit margin, Asset turnover และ Leverage ratio เราพบว่าผลตอบแทนที่ลดลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นไทยอธิบายได้ด้วยอัตรากำไร (Profit Margin) ที่ลดลงเป็นหลัก การเคลื่อนไหวของอัตรากำไรในทิศทางเดียวกันกับอัตราเงินเฟ้อ (รูปที่ 10) ส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงความสามารถในการต่อรองราคาที่ยากขึ้นในภาวะที่กำลังซื้อหดหายไป

    มองไปข้างหน้าตลาดผู้บริโภคที่เล็กลงจากโครงสร้างประชากรที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย จะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการทั้งในเชิงปริมาณและเชิงราคาโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ความต้องการซื้อลดลง อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศที่ลดต่ำลงในช่วงที่ผ่านมาและในระยะข้างหน้า มีส่วนทำให้ความน่าสนใจของประเทศไทยลดลงในสายตาของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ผลักดันให้ธุรกิจหันไปหาตลาดในประเทศอื่น ๆ ที่กำลังเติบโตและมีแนวโน้มผลตอบแทนสูงกว่าไทย

    4) เศรษฐกิจขาดแคลนทั้งจำนวนและศักยภาพของแรงงาน

    โครงสร้างประชากรของไทยที่เปลี่ยนไปเป็นสังคมสูงอายุ จะทำให้ภาคการผลิตของไทยถูกแรงกดดันจากสองปัจจัยด้านแรงงาน คือ

      (1) การขาดแคลนแรงงานจากจำนวนคนในวัยทำงานที่ลดลง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนแรงงานของไทยอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ
      (2) ผลิตภาพแรงงานที่ลดลงเมื่อแรงงานส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่ภาวะสูงวัย หรือเพิ่มขึ้นได้ไม่มากเมื่อเทียบกับคนทำงานวัยหนุ่มสาว

    จากทั้งข้อจำกัดทางกายภาพและศักยภาพในการเรียนรู้และทักษะการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ซึ่งทั้งต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นและผลิตภาพแรงงานที่ลดลงนี้ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคการผลิต การดึงดูดการลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในทศวรรษต่อไป โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้ว่าเฉพาะปัจจัยด้านการลดลงของกำลังแรงงาน จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยลดลงไปอีก 0.7% ในระหว่างปี 2020-2050

    อีก 3 ผลกระทบต่อตลาดการเงินและนโยบายเศรษฐกิจ

    1) ภาวะสังคมสูงวัยกับแรงกดดันค่าเงินบาท

    หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า การที่เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นหนึ่งในปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีส่วนอธิบายการแข็งค่าของค่าเงินบาท โดยผ่านกลไกความ(ไม่)สมดุลระหว่างการออมและการลงทุนภายในประเทศ

    ช่องว่างระหว่างการออมและการลงทุนโดยรวมของไทยกว้างขึ้นเรื่อย ๆ (Saving-Investment Gap) (รูปที่ 11) เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ตกอยู่ในภาวะสังคมสูงวัย ที่เห็นได้ชัดคือประเทศญี่ปุ่น สาเหตุเนื่องมาจากกลุ่มประชากรในวัยเตรียมเกษียณและวัยเกษียณอายุมักมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยลดลงและมีอัตราการออมสูงขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับรายได้ที่จะหายไปยามเกษียณ ในขณะเดียวกันการลงทุนของประเทศก็มักจะชะลอลงไปด้วยจากโอกาสและผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลงตามการหดตัวของตลาดภายในประเทศดังที่กล่าวมาข้างต้น

    ช่องว่างระหว่างการออมและการลงทุนที่ถ่างออกเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในระยะยาว จากความต้องการสินค้าเพื่อการบริโภคและการลงทุนที่น้อยลง ทำให้ประเทศมีการนำเข้าสินค้าที่ลดลง ในขณะเดียวกันไทยยังเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกทั้งสินค้าและบริการในระดับสูง ไทยจึงอยู่ในภาวะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกิดเป็นแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าในระยะยาว (รูปที่ 12)

    การแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในด้านความสามารถในการแข่งขันและผลกำไรในรูปเงินบาทที่จะลดลงไป เนื่องจากผู้ส่งออกไทยส่วนใหญ่มีสถานะเป็น Price taker หรือไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาดโลกได้เอง ทำให้บริษัทที่แม้จะไม่โดนกระทบจากตลาดที่หดตัวในประเทศโดยตรง แต่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเป็นหลักก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน กลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมภาวะการลงทุนภายในประเทศอีกต่อหนึ่ง เมื่อมองไปข้างหน้าปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทนี้มีแต่จะรุนแรงขึ้น และยากที่จะต้านทานได้ด้วยการแทรกแซงค่าเงินในระยะสั้น

    2) โครงสร้างระบบการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป

    การเข้าสู่สังคมสูงวัยไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจแต่จะทำให้ภาวะการเงินและบทบาทของธนาคารพาณิชย์ได้รับกระทบอย่างมีนัยสำคัญ และอาจสร้างความเปราะบางให้กับระบบการเงินในประเทศเพิ่มเติมได้ จาก 3 ปัจจัยหลักคือ

    2.1) อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะอยู่ในระดับต่ำอีกนาน คนสูงอายุมีความต้องการออมเงินผ่านการถือสินทรัพย์ปลอดภัย และมีแนวโน้มถือสินทรัพย์ที่มีอายุไถ่ถอนยาวขึ้นเพื่อเตรียมใช้ชีวิตหลังเกษียณ รวมทั้งความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่าง ๆ อาจมีส่วนกดดันให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลงและเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรมีลักษณะแบนลง ทำให้สถาบันการเงินที่โดยปกติสร้างกำไรจากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาวไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนเดิม ระดับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำยาวนานยังอาจสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น (Search for yield) และอาจประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป สร้างความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

    2.2) ธุรกิจหลักของธนาคารจะได้รับผลกระทบจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โอกาสในการลงทุนของภาคธุรกิจไทยที่น้อยลงด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ธุรกิจหลักของธนาคาร คือการปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้กับบริษัทเอกชน มีโอกาสและผลตอบแทนลดลงด้วย ส่งผลต่อความสามารถในการสร้างกำไรของธนาคารอีกรอบหนึ่ง

    2.3) สถาบันการเงินหันไปหาธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อรักษาระดับกำไรไว้ จากโอกาสในการปล่อยสินเชื่อธุรกิจ (Corporate lending) ที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่อยู่ในระดับต่ำ สถาบันการเงินจึงมีแนวโน้มแข่งขันรุนแรงขึ้นในช่องทางธุรกิจที่อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น การรุกตลาดสินเชื่อรายย่อย การบุกเบิกธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งหากไม่มีการประเมินความเสี่ยงอย่างรัดกุม อาจส่งผลทางอ้อมต่อเสถียรภาพโดยรวมของระบบธนาคารในระยะยาว

    3) ประสิทธิภาพของนโยบายเศรษฐกิจจะเริ่มลดลง

    โครงสร้างเศรษฐกิจในภาวะสังคมสูงวัยสร้างข้อจำกัดต่อการใช้เครื่องมือนโยบายในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ ดังนี้

    3.1) นโยบายเศรษฐกิจกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยลง โครงสร้างประชากรที่คนส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณและพึ่งพารายได้หลักจากดอกเบี้ยเงินฝาก จะส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ผลมากนัก ไม่ว่าจะผ่านมาตรการใช้จ่ายภาครัฐหรือมาตรการด้านภาษี เพราะคนวัยเกษียณที่ไม่ได้ทำงานแล้วไม่ใช่กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการโดยตรง ในขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเพื่อกระตุ้นให้คนใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและกู้เงินเพื่อลงทุน อาจไม่ได้ผลเต็มที่เช่นกันจากพฤติกรรมการบริโภคที่ใช้จ่ายน้อยลงของผู้สูงวัยและโอกาสในการลงทุนที่ลดลง อีกทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยที่มุ่งหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจกลับสร้างผลค้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ กล่าวคือ ทำให้รายได้จากผลตอบแทนเงินฝากของผู้สูงอายุลดน้อยลงไป ส่งผลทำให้สัดส่วนการออมยิ่งมากขึ้นและการบริโภคของคนบางกลุ่มลดลงได้

    นอกจากนี้ มาตรการลงทุนภาครัฐจะไม่ช่วยดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนได้เหมือนเก่า การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมีเป้าหมายหนึ่งเพื่อการดึงดูดให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน (Crowding-in effect) แต่เมื่อตลาดในประเทศเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ประสิทธิภาพในการดึงดูดให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนจะลดลงไป

    3.2) ภาระทางการคลังจะเพิ่มสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายด้านรัฐสวัสดิการ เมื่อประเทศมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้น อัตราการเป็นภาระของผู้สูงอายุ (Old-age dependency ratio) หรืออัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างประชากรหลังเกษียณ (อายุมากกว่า 65 ปี) เทียบกับคนวัยทำงาน จะเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2020 เป็นถึง 30% ในปี 2030 หมายความว่าคนทำงานต้องรับภาระจากผู้สูงอายุมากขึ้นเกือบ 2 เท่า ภาระของภาครัฐเกี่ยวกับสวัสดิการผู้สูงอายุทั้งด้านการครองชีพและด้านสาธารณสุขก็จะเพิ่มขึ้นตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รายได้ภาครัฐมีแนวโน้มลดลงจากฐานภาษีของคนในวัยทำงานที่เล็กลง จะยิ่งทำให้พื้นที่ในการดำเนินนโยบายการคลัง (Fiscal space) ลดลงไป ทั้งในแง่การจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว และในแง่การใช้จ่ายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในระยะสั้นเมื่อประเทศเจอกับวิกฤติ

    นโยบายเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มมีประสิทธิผลลดลงเช่นนี้จะเป็นความท้าทายสำคัญต่อผู้ทำนโยบายของไทยในอนาคต หากประเทศเผชิญหน้ากับวิกฤตอีกครั้งเราจำเป็นต้องอาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่าเดิม ข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะและเสถียรภาพทางการคลังในอนาคตจะยิ่งเป็นประเด็นมากขึ้น ดังนั้น การเตรียมพื้นที่ (Fiscal room) ทั้งจากการลดภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การขยายฐานภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ภาครัฐ และการวางรากฐานยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจ เพื่อให้ภาครัฐสามารถรองรับกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต โดยไม่ส่งผลต่อความมั่นคงทางการคลังจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

    ความสามารถในการแข่งขันที่หายไปกับนโยบายที่ต้องเปลี่ยนแปลง

    โครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของไทยนั้น อาจสร้างข้อจำกัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในขนาดที่ใหญ่กว่าที่เราคาดคิด จากผลกระทบที่เกิดขึ้นในแทบจะทุกมิติ ทั้งด้าน Demand จากการที่กำลังซื้อภายในประเทศจะหดตัวลงและทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง ด้าน Supply จากการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนการผลิตที่สูง ด้านค่าเงินที่มีแนวโน้มแข็งค่า อีกทั้งยังสร้างข้อจำกัดต่อประสิทธิผลของนโยบายทั้งการเงินและการคลังในการรับมือกับวิกฤติในอนาคต ชัดเจนว่าเราจะไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบเดิม ๆ ที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของกำลังแรงงาน ต้นทุนที่ถูก ค่าเงินที่อ่อน และนโยบายเศรษฐกิจแบบเดิมได้อีกต่อไป KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนี้จะทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงไปอยู่ในระดับ 2.6%-2.8% ต่ำลงไปจากระดับปัจจุบันที่ 3.2% – 3.5% อย่างมีนัยสำคัญ ยังไม่นับรวมผลที่จะเกิดขึ้นตามมาที่ประเมินได้ยาก เช่น การลงทุนซึ่งเป็นตัวแปรที่จะส่งผลต่อการเติบโตระยะยาวที่แน่นอนว่าจะชะลอตัวลงไปอีกตามความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง (รูปที่ 13)

    ภาครัฐอาจพิจารณาแนวนโยบายเพื่อลดข้อจำกัดและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ได้ เช่น (1) การปฏิรูปกฎหมายเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศให้แรงงานมีฝีมือสามารถเข้ามาทำงานในประเทศได้ จะทำให้ไทยสามารถได้ประโยชน์จากประเทศที่กำลังแรงงานขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่ม CLMV มาเป็นอีกแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ (2) การเปลี่ยนหน้าตาของอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มขัน (Labor-intensive) ไปเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เครื่องจักรเทคโนโลยี และองค์ความรู้ เป็นปัจจัยการสร้างมูลค่าเพิ่มแทนแรงงานที่จะหายไป (3) เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางด้านเทคโนโลยี นโยบายอุตสาหกรรมควรลดการกีดกันที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ภาคเอกชนได้มีการแข่งขันกันอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในภาคบริการและภาคการผลิตจะสามารถสร้างนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้

    จากเก่าเป็นใหม่ อะไรคือโอกาสในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง?

    โครงสร้างเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับภาคธุรกิจจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัวต่อเทรนด์เศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต (รูปที่ 14)

    (1) ตลาดในประเทศ จากตลาดที่ขยายตัวได้ดีในกลุ่มสินค้าของวัยทำงานสร้างครอบครัว เช่น รถยนต์ อาหาร เครื่องแต่งกาย เปลี่ยนไปเป็นสินค้าสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เวชภัณฑ์ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง

    (2) ตลาดต่างประเทศ จากการแข่งขันด้วยราคาและค่าเงินที่ถูก ไปเป็นเน้นพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อทดแทนแรงงานที่หายไปและเพิ่มความสามารถที่แท้จริงในการแข่งขัน

    (3) ภาคบริการ เน้นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตัวช่วยการเรียนรู้แบบ Lifelong learning ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ กิจกรรมยามว่างสำหรับผู้สูงอายุ และสถาบันการเงินควรหันไปให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้านการวางแผนเกษียณอายุมากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้สูงวัยเองและลูกหลานที่มีภาระมากขึ้นในการเลี้ยงดูผู้สูงอายุ

    อุตสาหกรรมในรูปแบบเก่า ๆ ที่เน้นใช้แรงงานทักษะต่ำและค่าแรงราคาถูกในอดีตจะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้อีกต่อไปจากแรงงานที่ลดลงและต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น คำถามสำคัญคือในระยะยาวเศรษฐกิจไทยต้องปรับตัวอย่างไร และเราควรพัฒนาอะไรขึ้นมาชดเชยแรงงานที่หายไป?

    ในวันนี้อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตสูงที่น่าจะช่วยทดแทนแรงงานที่ลดลงไปได้ ยังเป็นธุรกิจที่เรายังไม่สามารถแข่งขันได้ดีมากนักในเวทีระหว่างประเทศ หากเศรษฐกิจไทยต้องการโตต่อไปอย่างยั่งยืนเราจะต้องมีการปฏิรูปขนาดใหญ่ เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อทดแทนแรงงานที่หายไป และนำเศรษฐกิจไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่เน้นพัฒนาคุณภาพ (Quality) ความสร้างสรรค์ (Creativity) และความสามารถในการผลิต (Productivity) เพื่อสร้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High value-added) มากกว่าการเน้นแต่เฉพาะจำนวนและราคา

    รวมทั้งส่งเสริมให้อัตราการมีส่วนร่วมในแรงงานเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มคน ซึ่งน่าจะเป็นทางออกสำคัญที่เหลืออยู่ในระยะยาวสำหรับเศรษฐกิจไทย หากนโยบายเศรษฐกิจยังเป็นไปในลักษณะเดิม และไม่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพแรงงานและนวัตกรรม ก็เป็นที่น่ากังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างไรท่ามกลางปัญหาและข้อจำกัดนานัปการเช่นนี้

    บทความชิ้นต่อไป KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร จะพูดถึงความท้าทายสำคัญอีกด้านหนึ่งของเศรษฐกิจไทย คือ ความท้าทายด้านเทคโนโลยีที่ปัจจุบันไทยยังต้องพัฒนาเพื่อให้เท่าทันกับประเทศอื่น ๆ