ThaiPublica > เกาะกระแส > เหลียวหลัง แลหน้าอนาคต “หนี้ครัวเรือนไทย” มาตรการแก้ไขต้องเจาะกลุ่มตามข้อมูล

เหลียวหลัง แลหน้าอนาคต “หนี้ครัวเรือนไทย” มาตรการแก้ไขต้องเจาะกลุ่มตามข้อมูล

30 กันยายน 2020


ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 ของธนาคารแห่งประเทศไทยในหัวข้อ “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 กันยายน 2563 ได้มีการนำเสนอบทวิจัย “เจาะความท้าทายใหม่ของของหนี้ครัวเรือนในวิกฤติโควิด 19 จากข้อมูลสินเชื่อที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือ” ที่จัดทำโดย ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์, อัจจนา ล่ำซำ, ดร.ลัทธพร รัตนวรารักษ์ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์, ณรงค์ฤทธิ์ อดุลย์ฐานานุศักดิ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปัณณธร ธนัพประภัศร์ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด, ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Siametrics Consulting

คณะผู้วิจัยชี้ว่า หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในหลายปีที่ผ่านมา และมีความรุนแรงขึ้นเห็นได้จากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80.1 ในไตรมาสแรกปี 2563 เพิ่มจากร้อยละ 50.4 เมื่อปี 2552 ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่การเกิดโรคระบาดโควิด 19 ยิ่งทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีความท้าทายมากขึ้น และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า

การศึกษาครั้งนี้ได้ใช้ฐานข้อมูลเชิงสถิติจากเครดิตบูโร ที่ครอบคลุมสินเชื่อรายย่อย 23.1 ล้านคน มูลหนี้รวม 11.9 ล้านล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 88.3 ของหนี้ครัวเรือนในระบบทั้งหมด) และข้อมูลสินเชื่อเกษตรกรจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาศึกษาสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยพบว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยเป็นหนี้ในวงกว้างขึ้น และมีค่ากลางมูลหนี้เพิ่มจาก 7 หมื่นบาทต่อราย เป็น 1.28 แสนบาท

ขณะที่สัดส่วนของผู้กู้ที่มีหนี้เสียลดลงจากร้อยละ 22 เหลือ 16 แต่ก็ยังถือว่าสูง หนี้เสียดังกล่าวมีค่ากลางมูลหนี้ที่ 6.5 หมื่นบาทต่อราย จากเดิมอยู่ที่ 3.5 หมื่นบาท และพบว่าคนไทยยังเป็นหนี้เร็ว คือเป็นหนี้ตั้งแต่อายุน้อย ร้อยละ 60 ของกลุ่มคนอายุ 29-30 ปีจะเป็นหนี้ โดยกลุ่มคนอายุน้อยจะมีหนี้เสียถึง 1 ใน 4 และคนไทยยังเป็นหนี้นาน แม้หลังเกษียณแล้ว ยังมีค่ากลางมูลหนี้ประมาณ 7-8 หมื่นบาทต่อราย

ปัจจัยที่เกื้อหนุนให้มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นในคนเมือง คือ นโยบายรถคันแรกทำให้ ทั้งที่ไม่พร้อมจะเป็นหนี้ และกลายเป็นหนี้เสีย ขณะที่คนในชนบทพบว่านโยบายการให้ความช่วยเหลือภาครัฐ เช่น นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร จากการศึกษาพบว่า เกษตรกรที่เข้าโครงการพักหนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2559 มีหนี้สะสมมากขึ้น และกลายเป็นหนี้เสีย มากกว่าเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าโครงการ ฉะนั้น โครงการพักหนี้เกษตรกรจึงอาจไม่ใช่แแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ในระยะยาว

จะเห็นได้ว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยที่ผ่านมา มีความเปราะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและมากขึ้นเมื่อเกิดสถานการณ์โรคโควิด 19 ระบาด ส่งผลให้ครัวเรือนจำนวนมากมีปัญหาในการชำระหนี้ ตอกย้ำถึงความเปราะบางดังกล่าว

คณะผู้วิจัยได้ใช้วิธีการแยกบัญชีและผู้กู้ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 พบว่ามีจำนวน 8.1 ล้านบัญชี หรือมูลหนี้ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท (ประมาณร้อยละ 70 ของจำนวนบัญชีที่ ธปท. รายงานว่าเข้ามาตรการ) ส่วนใหญ่ ร้อยละ 59 เข้าร่วมมาตรการในเดือนเมษายน โดย ร้อยละ 42.6 เข้ามาตรการครบ 3 เดือน ขณะที่ร้อยละ 16.6 ออกจากมาตรการก่อนครบ 3 เดือน แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่ไม่เท่ากันของผู้กู้แต่ละกลุ่ม โดยผู้กู้เข้ามาตรการแบบเลื่อนชำระหนี้ ถึงร้อยละ 71 สะท้อนถึงการมีปัญหาในการชำระหนี้ ขณะที่ร้อยละ 26 ใช้วิธีลดอัตราชำระหนี้ และร้อยละ 3 เข้ามาตรการสำหรับสินเชื่อที่เป็น NPL คือ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือโครงการคลินิกแก้หนี้

ผู้กู้ที่เข้ามาตรการส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคอีสานใต้ สูงถึงร้อยละ 40-60 เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวนบัญชีมาก รองลงมาคือ สินเชื่อบ้าน ที่มีขนาดมูลหนี้สูง ส่วนใหญ่จะเป็นการเลื่อนการชำระหนี้ ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคใต้และภาคเหนือตอนบน มีสัดส่วนการเข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียสูงกว่าพื้นที่อื่น

ด้านสถาบันการเงินที่เป็นผู้ให้กู้ พบว่ากลุ่มนอน-แบงก์ มีสัดส่วนสินเชื่อในพอร์ตที่เข้าโครงการมากที่สุด ร้อยละ 37-75 ของสินเชื่อในพอร์ต ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ ขอลดอัตราการชำระเป็นหลัก แสดงให้เห็นว่า กลุ่มนอนแบงก์อาจจะมีความเปราะบางมากกว่าสถาบันการเงินกลุ่มอื่น เห็นได้จากมีบัญชีที่เข้ามาตรการจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงที่ผู้กู้จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ขอเลื่อนระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป และหากสถานการณ์โควิด 19 ยืดเยื้อออกไป ผู้กู้ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้มากขึ้น เมื่อพิจารณาผู้กู้ที่เข้ามาตรการพบว่าส่วนใหญ่มีภาระหนี้สูง ค่ากลางมูลหนี้ประมาณ 5 แสนบาทต่อราย สูงกว่าผู้กู้ที่ไม่ข้ามาตรการ (1 แสนบาทต่อราย) และมีการกู้หลายบัญชี คือ 4-5 บัญชีขึ้นไป

ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2563 ซึ่งครบกำหนดมาตรการช่วยเหลือของสินเชื่อบางประเภท พบว่า มีผู้กู้ที่ออกจากมาตรการ 2.1 ล้านราย หรือร้อยละ 36.7 ของผู้กู้ที่เข้ามาตรการ และมีบัญชีที่ขอออกจากมาตรการ 3.4 ล้านบัญชี หรือ ร้อยละ 44 ของบัญชีที่เข้ามาตรการส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ และเป็นผู้กู้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มากกว่าภาคอื่น โดยเป็นลูกหนี้ของนอน-แบงก์เป็นหลัก แต่บางนอน-แบงก์ที่มี exposure สูงก็ยังคงสูงอยู่ เพราะแม้จะมีบัญชีที่ขอออกจากมาตรการบ้าง แต่ในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับบัญชีสินเชื่อที่เข้ามาตรการ ส่วนด้านผู้กู้ พบว่าผู้กู้ที่ออกจากมาตรการจะมีค่ากลางมูลหนี้ ต่ำกว่า 2.5 แสนบาทต่อราย น้อยกว่าผู้ที่ยังอยู่ในมาตรการต่อที่มีค่ากลางมูลหนี้ 5 แสนบาทต่อราย และมีหลายบัญชีที่เข้ามาตรการ

จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้ทำแบบจำลองขึ้นเพื่อพยากรณ์สถานการณ์หนี้ที่อาจจะมีปัญหาจากวิกฤติโควิดภายใต้รูปแบบต่างๆ ผลการศึกษาพบว่า ภาคการท่องเที่ยวมีบทบาทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้กู้ที่คาดว่าจะมีปัญหาการชำระหนี้มีจำนวนน้อยลงจากสถานการณ์ปกติที่ประเมินว่าจะทำให้ผู้กู้ 2.1 ล้านคน หรือ 2.5 ล้านบัญชีอาจจะมีปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ แต่ทั้งนี้ก็อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงในการระบาดระลอก 2 ที่อาจนำไปสู่การล็อกดาวน์ประเทศรอบ 2 ส่งผลให้เกิดการชะงักงันของระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยเป็นผู้กู้ที่คาดว่าจะมีปัญหากระจุกตัวอยู่ในภาคอีสานตอนใต้ ภาคใต้ และตามแนวชายแดนภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นผู้กู้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล รองลงมาคือสินเชื่อบ้าน ซึ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้อาจต้องเข้าไปดูแลผู้กู้กลุ่มนี้เป็นพิเศษ

บทสรุป

ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์หนี้ที่เพิ่มขึ้นมาก และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องได้รับการดูแลแก้ปัญหาหนี้ในเชิงรุกควบคู่ไปกับมีมาตรการรองรับไม่ให้หนี้ดีกลายเป็นหนี้เสีย เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การเพิ่มบทบาทของคลินิกแก้หนี้ การตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือเอเอ็มซีเพื่อรับดูแลหนี้เสียที่จะมีจำนวนมากขึ้น การแก้กฎหมายล้มละลาย เพื่อเปิดทางให้ผู้กู้รายย่อยที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว สามารถยื่นขอล้มละลาย และพ้นจากการล้มละลายได้ใน 3 ปี เหมือนกรณีบริษัท หรือนิติบุคคล เพื่อให้ผู้กู้รายย่อยที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวหลุดพ้นจากวงจรหนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้

ขณะเดียวกัน ผลกระทบของวิกฤติแตกต่างกันมากระหว่างผู้กู้ พื้นที่และสถาบันการเงิน ดังนั้นในการออกนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไปควรจะออกมาตรการที่ดูแลกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งจะต้องอาศัยข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ

อ่านเพิ่มเติม https://www.pier.or.th/wp-content/uploads/2020/09/Symposium2020_paper3_presenter.pdf