ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ไม่หวั่นเฟซบุ๊กฟ้อง-ยันไม่ใช่ “เผด็จการ” – มติ ครม.เห็นชอบกลุ่มจังหวัด ของบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC

นายกฯ ไม่หวั่นเฟซบุ๊กฟ้อง-ยันไม่ใช่ “เผด็จการ” – มติ ครม.เห็นชอบกลุ่มจังหวัด ของบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC

25 สิงหาคม 2020


นายกรัฐมนตรี กล่าวเริ่มการประชุมกับภาคเอกชนว่า การขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (EEC — Eastern Economic Corridor หรือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) กำลังเดินหน้าไปด้วยดี เพราะบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพและมีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลก็มุ่งหวังที่จะพยายามขยายการพัฒนา ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงไปยังพื้นที่รอบนอกอีอีซีด้วย โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะสร้างความมั่นคงและทำให้ประเทศมีเสถียรภาพ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกันทั้ง 6 ภาค และจะพยายามหามาตรการส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้มากขึ้น

นายกฯ ไม่หวั่นเฟซบุ๊กฟ้อง-ยันไม่ใช่ “เผด็จการ” โยน กมธ.พิจารณางบฯซื้อเรือดำน้ำ – มติ ครม.เห็นชอบกลุ่มจังหวัด ของบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับ “อีอีซี” – รับทราบโครงการรถไฟความเร็วสูง เฟส 2 เชื่อม “อู่ตะเภา-ระยอง-จันทบุรี-ตราด”

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม. สัญจร) ครั้งที่ 2/2563 ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น จังหวัดระยอง โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นการประชุมนอกสถานที่ครั้งแรกนับแต่มีการคลายล็อกจากสถานการณ์โควิด-19 โดยในช่วงเช้าก่อนการประชุม ครม. มีการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) โดยมีคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนภาคการเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 เข้าร่วมประชุม

โดย ครม. สัญจรครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการระหว่างวันที่ 24-25 สิงหาคม 2563 ในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดระยอง และจังหวัดจันทบุรี ได้แก่ การตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสาร อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ จากนั้นเป็นประธานเปิดทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา–มาบตาพุด ก่อนเดินทางไปเยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) ตำบลเพ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแลกเปลี่ยนความเห็นกับนายโชติชัย บัวดิษฐ์ นายกสมาคมการค้าการท่องเที่ยวเชิงเกษตร นายวีรยุทธ อนุจิตรอนันต์ ประธานผู้ประกอบการรุ่นใหม่หอการค้า (YEC จังหวัดระยอง) ในมุมมองคนรุ่นใหม่ นายไชยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเทศไทย (สทท.) และนายไสว กูลเกื้อ ประธานตลาดร้อยเสาเทศบาลตำบลบ้านเพ ซึ่งขอหารือเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น การขยายมาตรการเยียวยาโควิด-19 การสนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) การจัดตั้งกองทุนท่องเที่ยว การศึกษาดูงาน การอบรม การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมไทยเที่ยวไทย คือ ไทยเท่ ระยองโมเดล ระยองคิดระยองทำระยองใช้ และการจัดกิจกรรมเอ็กซ์โป การปรับภูมิทัศน์กระตุ้นการท่องเที่ยว

จากนั้นในช่วงเย็นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน–แกลง 1 เยี่ยมชมการพัฒนาอาชีพกลุ่มประมงจังหวัดระยอง การสาธิตการแปรรูปอาหารทะเลตลาดประมงพื้นบ้าน และโครงการธนาคารปู พร้อมปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าสู่ทะเล ก่อนเดินทางไปตรวจถนนเลียบชายทะเลหาดแสงจันทร์–สุชาดา (โครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทและสำรวจออกแบบรายละเอียด และวิเคราะห์ผลการกระทบสิ่งแวดล้อมในขั้นละเอียด (EIA) ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ระยะที่ 2 ระยะทาง 5 กม.)

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน–แกลง 1 ณ จังหวัดระยอง 24 สิงหาคม 2563 โดยได้ร่วมกิจกรรมปล่อยปู โดยช่วงหนึ่ง นายกฯ จับปู และขอดูปูไข่ พร้อมกล่าวว่า “อย่าไปซื้อปูที่มีไข่มากินนะ ให้เขาได้แพร่พันธุ์ พร้อมคุยกับแม่ปูว่า “เจริญเติบโตนะ ขออโหสิกรรม กินไปเยอะแล้ว”

ในช่วงเช้าของวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ก่อนการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราและผู้ว่าราชการ จังหวัดระยอง ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น และภายหลังการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) ณ ทางหลวงหมายเลข 3249 กม. 3+146 ตอนควบคุม 0100 ตอนเขาไร่ยา-แพร่งขาหยั่ง ตำบลแสลง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในเวลา 17.30 น.

ไม่หวั่นเฟซบุ๊กฟ้อง-ยันไม่ใช่ “เผด็จการ”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการขอให้เฟซบุ๊กปิดเพจผิดกฎหมาย และกรณีกระแสข่าวที่เฟซบุ๊กมีแผนที่จะฟ้องร้องรัฐบาลไทย จากกรณีที่กระทรวงดิจิทัล ได้ขอให้เฟซบุ๊ก ดำเนินการบล็อกเพจหรือบัญชีเฟซบุ๊กของผู้ที่โพสต์เนื้อหาหมิ่นเหม่พาดพิงสถาบัน เช่น กรณีของเพจกลุ่มที่ชื่อ รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส (Royalist Marketplace) ซึ่งเฟซบุ๊กเห็นว่ารัฐบาลไทยจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ว่า ตนขอให้มอง 2 ด้าน ถ้ามีการขยายความกันไปอยู่แบบนี้บางครั้งก็มีผลกระทบต่อประเทศ ต้องดูว่ากฎหมายประเทศไทยว่าอย่างไร ทุกคนก็ต้องเคารพกฎหมายของแต่ละประเทศเช่นกัน

“ผมเองไม่เคยไปก้าวล่วงต่างประเทศเพราะเป็นกฎหมายของเขา กฎหมายของใครก็คือของใครเพราะฉะนั้นใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็ขอให้ระมัดระวังด้วยในเรื่องเหล่านี้ และผมอยากจะบอกและจำเป็นต้องเอ่ยชื่อไม่ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ทั้งหมดก็มาจากเพจกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Royalist Marketplace ซึ่งก็รู้ว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนเพจดังกล่าวก็ คือ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งคนเหล่านี้ทุกคนก็รู้อยู่ว่าเป็นอย่างไร แล้ววันนี้อยู่ที่ไหน แล้วเขารับผิดชอบความเสียหายกับประเทศชาติของเราหรือเปล่า นี่คือสิ่งสำคัญคนไทยที่เหลือต้องเข้าใจตรงนี้เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยเขาทั้งสองคนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนที่เดือดร้อนที่สุดคือประเทศไทย”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า สื่งที่รัฐบาลดำเนินการต่อเพจเหล่านี้เป็นเรื่องการดำเนินการตามกฏหมายไทยทั้งสิ้น โดยยืนยันว่าตนไม่เคยให้อำนาจที่เรียกว่า “เผด็จการ” แต่เป็นการขอคำสั่งศาลในทุกเรื่อง ฉะนั้นตนคิดว่าในทางกฎหมาย เราสามารถที่จะยืนยันได้ตรงนี้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายไทย และการปิดเพจอะไรไปก็แล้วแต่ ก็เป็นการขอความร่วมมือและเป็นไปตามคำสั่งศาลทั้งสิ้น หากมีการฟ้องร้องดังกล่าวก็ต้องใช้กฎหมายไทยไปสู้ และถึงแม้ในทางกฎหมายจะมีสิทธิเสรีภาพแต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายของไทย เหมือนกับที่เราไม่เคยไปผิดกฎหมายของประเทศอื่นเช่นกัน เรื่องนี้เราต้องมอง 2 ทางเสมอ

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตนยังไม่ได้เห็นคำฟ้องร้องอย่างเป็นทางการ เพิ่งทราบจากรายงานข่าวเมื่อเช้านี้ พร้อมกับยืนยันว่า ทางการไทยทำตามกฎหมายในทุกเรื่อง เมื่อพบสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ก็ไม่เพิกเฉย

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) ตำบลเพ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง 24 สิงหาคม 2563 โดยก่อนเดินทางกลับได้มีกลุ่มแฟนคลับตะโกนให้กำลังใจ และกล่าวว่า “ไม่ว่าจะกี่สมัย เลือกตั้งกี่ที กี่หน ก็จะเลือกนายกฯ คนนี้ คนเดียว” ทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ ต้องรีบห้าม โดยกล่าวว่า “ขอบคุณๆ แต่อย่าเพิ่งเลือก อย่าเพิ่งเลือกตอนนี้”

ทั้งนี้ กรณีการขอความร่วมมือจากสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ติ๊กต๊อก ให้ลบการเผยแพร่ที่ละเมิดต่อกฎหมาย เป็นครั้งแรกที่ทีมงานตามไปถึงเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลไทย ซึ่งก็มีข้อกำหนดว่า หากไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน หลังส่งคำสั่งศาลไปแล้ว และไม่ปิดลบเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย ทางการไทยก็จะดำเนินการกับแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นการกดดันให้แพลตฟอร์มทำตามกฎหมายภายในประเทศไทย และในทางกลับกันหากมีการปิดลบเนื้อหาไม่ถูกต้องแล้ว ทางการไทยก็จะไม่ดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มนั้นๆ

“เรายังไม่ได้เห็นเนื้อความในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของเฟซบุ๊ก แต่ยืนยันว่า ประเทศไทยก็มีกฎหมาย และคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยหากโพสต์สิ่งใดที่ผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีปกติ และไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติที่มาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยก็ต้องเคารพในกฎหมายไทยด้วย ดังนั้นการดำเนินการทุกอย่าง ยืนยันว่าทำภายใต้กฎหมายรองรับและไม่ได้จะรังแกใคร ถ้ามีคำสั่งศาลมา เราก็ส่งแจ้ง ทำทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งเราก็ทำมาตลอด 10 วัน ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เขาก็ลบให้ ตอนนี้ที่มีแจ้งให้ปิดลบไปมี 1,120 URLs ส่วนใหญ่เฟซบุ๊กก็ลบให้ รวมถึงกลุ่มใหญ่ๆ ของนายปวิน ที่เป็นข่าวเมื่อวาน เฟซบุ๊กก็ลบให้ เนื่องจากว่า เรามีคำสั่งศาลไปว่ามีความผิด และเขาก็ลบก่อนทั้งที่จะครบกำหนดวันพรุ่งนี้ (26 ส.ค.) เราก็ไม่ได้ดำเนินคดีอะไร เพราะเฟซบุ๊กให้ความร่วมมือ แต่ข่าวที่บอกจะฟ้องกลับ เพิ่งเห็นเมื่อเช้า และก่อนหน้านี้ประมาณ 90% เฟซบุ๊กก็ให้ความร่วมมือ ช่วยลบให้เกือบหมด รวมทั้งยูทูบ ติ๊กต๊อกด้วย”

ทั้งนี้ นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า การดำเนินการต่างๆ ล้วนกระทำภายใต้ “อธิปไตยทางไซเบอร์ของไทย” ที่ต้องปกป้องคุ้มครองคนไทยภายใต้กฎหมายและอธิปไตยไทย และต้องบังคับใช้กฎหมายให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ซึ่งการดำเนินการต่างๆ นี้เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ชาติอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ทำ เมื่อมีการใช้เฮตสปีช และข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งไม่ใช่การละเมิดสิทธิของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลั่นแกล้งใคร

ขณะที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราก็กำลังดูอยู่ เพราะสิ่งที่ดำเนินการคือการดำเนินตามกฎหมายไทย และเรามีวิธีการและสิทธิอำนาจเรื่องที่เกิดในประเทศไทย

เมื่อถามว่าเฟซบุ๊กสำนักงานใหญ่ นายดอนระบุว่า การกระทำของรัฐไทยเป็นการละเมิดหลักการสากล ดอน ตอบว่า เรื่องนี้ฟังไม่ขึ้น พูดได้อย่างไร

เมินโซเชียลตามหาลูกสาว มั่นใจไม่ได้ทำผิด

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม กรณีในสื่อสังคมโซเชียล รวมถึง ส.ส. พรรคก้าวไกล มีการปลุกกระแสให้ตามหาบุตรสาว และมีการเชื่อมโยงอ้างว่านายกฯ ถ่ายโอนเงินให้บุตรสาว โดยระบุเพียงว่า “สังคมก็คิดเอาเองแล้วกัน ผมไม่ตอบในเรื่องเหล่านี้แต่ผมเชื่อมั่นในตัวผมเองว่าผมไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอย่างที่เขากล่าวอ้าง เพราะฉะนั้นผมจะไม่โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น ประชาชนก็ต้องตัดสินกันเอาเอง และถ้ามันเกิดกับใครจะทํายังไง ความรู้สึกจะเป็นยังไง ท่านก็รู้อยู่แล้ว ผมก็ไม่ไปตอบโต้กับท่าน เพราะถือว่าในเรื่องข้อเท็จจริงผมรู้ตัวของผมว่าผมทำอะไรถูกอะไรผิดอยู่”

โยน กมธ.พิจารณางบฯซื้อเรือดำน้ำ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่ประชาชนยังมีข้อสงสัยอีกทั้งฝ่ายการเมืองเองก็มีการตั้งข้อสังเกต โดยเฉพาะมีการแฉชื่อนายพล ป. เกี่ยวข้อง ว่า เป็นเรื่องของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบในสภา จากนั้นได้ข้อสรุปเป็นอย่างไรก็ต้องรอฟัง โดยยืนยันว่าตนไม่ต้องสั่งการอะไรเพิ่มเติม ซึ่งจากการฟังคำชี้แจงของกองทัพเรือก็มีเหตุผลและความจำเป็น อย่างไรก็ตามทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการ

“ขอให้ความเป็นธรรมด้วย ซึ่งวันนี้ในส่วนของกระทรวงต่างๆ และมีการตัดงบประมาณไปแล้วหลายกิจกรรมด้วยกัน ทั้งในเรื่องการศึกษา เรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องอื่นๆ ถูกตัดงบประมาณไปแล้วส่วนใหญ่ รวมถึงงบประมาณในส่วนของฝ่ายความมั่นคง ดังนั้นวันนี้ต้องพิจารณากันว่าเราจะเดินหน้ากันไปอย่างไร และหาวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างไร โดยต้องหาวิธีการแก้ผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย”

ชี้ทุกพรรคมีสิทธิเสนอแก้ รธน.

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายเร่งด่วน ของรัฐบาลข้อ 12 อยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนของหลักเกณฑ์ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของวิปรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ก็จะเสนอร่าง ของแต่ละพรรคไป เพราะก็เป็นแนวทางที่ทุกคนมีสิทธิ์เสนอได้ ดังนั้น ตรงนี้ขอให้รับฟัง ในขั้นตอนในการพิจารณาต่อไป สำหรับตนไม่ได้มีส่วนขัดข้องในจุดนี้

มั่นใจกระบวนการคัดกรอง พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า เรื่องนี้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ส่วนนี้เป็นรายได้ของประเทศเราทั้งสิ้น ถึงแม้เราจะมีมาตรการท่องเที่ยวในประเทศ แต่ก็มีคนอยู่ไม่กี่ล้านคนที่ท่องเที่ยว ฉะน้ัน เราจะเอาสิ่งเหล่านี้มารองรับในสิ่งที่เราเคยได้ 20 ล้านคนได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องหามาตรการที่เหมาะสม ประเด็นสำคัญเราต้องมีมาตรการมารองรับ

ทุกคนก็ต้องยอมรับ ถ้าหากเราไม่ทำเลยก็จะอยู่ที่เดิม แย่ไปกว่าเดิม ปิดกิจการ ลดการจ้างพนักงาน ด้วยการสร้างความตื่นตระหนกไป สิ่งสำคัญที่สุด ตนยืนยันวันนี้เราสามารถที่จะตรวจสอบคัดกรอง หากมีคนที่ติดเชื้อหลุดรอดเข้ามา เราก็สามารถติดตามได้ เรามีสถานพยาบาลและบุคลากรที่เพียงพอ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิด 2 ทางเสมอ ไม่อย่างนั้นคนจะเอาเรื่องเศรษฐกิจไปพูดอีกทาง เรื่องสุขภาพไปพูดอีกทางแล้วจะทำอย่างไรที่ 2 ทางจะไปด้วยกัน

“รายได้ประเทศที่ลดลงจากตัวเลขประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ต้องดูตัวเลขต่างประเทศเปรียบเทียบด้วย หากกลับมาที่เดิม ตื่นตระหนก ไม่มีการผ่อนคลาย เรื่องปัญหาการว่างงานก็มีคณะกรรมการคัดกรองอยู่ ซี่งมีวิธีจ้างงานหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ยังให้ข้อมูลไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการพิจารณางบประมาณต่างๆซึ่งมีหลายหลักการด้วยกัน ทั้งคนที่ว่างงานและคนที่จบการศึกษา มีจำนวนมาก ฉะนั้นการบริหารคนจำนวนมากจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนว่าจะทำอย่างไร ต้องมีทั้งคนได้และไม่ได้ จะให้ได้ทุกคนคงไม่มีสตางค์ให้ได้ เราต้องไปดูปริมาณว่ามีเท่าไหร่ที่จะรับได้ในระยะแรก ในเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19 และวันหน้าก็จะทำให้เดือดร้อนลดลง ช่วงนี้เราก็ประมาณการณ์ไว้ 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งก็จะมีมาตรการเป็นระยะๆ โดยจะมีการเตรียมแผนรองรับในส่วนของมาตรการการเงินการคลัง”

มติ ครม. มีดังนี้

ที่มาภาพ: สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

ไทม์ไลน์โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 2 อู่ตะเภา ระยอง จันทบุรี ตราด ที่มาภาพ: สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

ชงรถไฟความเร็วสูง เฟส 2 เชื่อม “อู่ตะเภา-ระยอง-จันทบุรี-ตราด”

ก่อนการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) โดยมีนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการฯ พร้อมผู้บริหาร สกพอ. ให้การต้อนรับ โดยนิทรรศการของ สกพอ. ให้ข้อมูลถึงแผนที่เชื่อมโยงโครงการสำคัญๆ ของอีอีซี ในจังหวัดระยอง

นายคณิศกล่าวถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่มีแผนที่จะดำเนินโครงการในระยะที่ 2 ต่อไปว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 2 สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่มีเป้าหมายเชื่อมโยงกรุงเทพฯ แบบไร้รอยต่อ เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนที่จะจูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศ และเพื่อความสมบูรณ์ของการขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และการขนส่งสินค้า ให้เกิดการลงทุนในมิติต่างๆ เชื่อมไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 เป็นส่วนต่อขยายเพื่อเชื่อมโยงจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด มีระยะทางประมาณ 190 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถเดินทางจากสถานีอู่ตะเภาถึงจังหวัดตราดได้ในระยะเวลา 64 นาที โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด และคาดว่าจะนำเสนอ ครม. อนุมัติโครงการได้ในปี 2564 และคาดว่าจะสามารถคัดเลือกผู้ลงทุนได้ในปี 2567 แล้วเสร็จพร้อมให้บริการในปี 2571 ซึ่งจะนำไปสู่โครงการต่อเนื่องคือ โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก เพื่อยกระดับภาคตะวันออกสู่แหล่งผลไม้หลักของภูมิภาค

อนึ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 1 ที่เป็นเส้นทางเชื่อโยงจากสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านฉะเชิงเทราสู่ชลบุรี และระยอง 9 สถานี ระยะทางรวม 220 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถเดินทางจากสถานีมักกะสัน ถึงอู่ตะเภาได้ภายใน 45 นาที ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้มีการคัดเลือกเอกชนและร่วมลงนามสัญญาร่วมทุนเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการก่อสร้าง

นอกจากนี้ โครงการต่างๆ จากอีอีซีที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดระยอง มีทั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) ที่จะนำจังหวัดระยองจะก้าวไปสู่ เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ประกอบกับโครองการพัฒนาขนส่งสาธารณะในพื้นที่จังหวัดระยอง ที่จะมีการศึกษาและจัดทำเส้นทางระบบขนส่งมวลชนใน 6 เส้นทางหลัก ที่เชื่อมต่อจากทั้งสนามบินอู่ตะเภาและรถไฟความเร็วสูงเข้าสู่ใจกลางเมืองระยองด้วยฟีดเดอร์ และรถเมล์ไฟฟ้าที่ไร้มลพิษ ซึ่งจะช่วยเพิ่มูลค่าด้านการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับชุมชนเกษตรกร คู่กับอุตสาหกรรมสะอาด เช่น โครงการโรงไฟฟ้าจากขยะอาร์ดีเอฟที่จะสามารถกำจัดขยะของเมืองได้ถึง 500 ตันต่อวัน ผลิตไฟฟ้าได้ 10 เมกะวัตต์ และเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่พร้อมมีงานรายได้มั่นคงรองรับในอนาคต

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับที่ประชุมกับภาคเอกชนว่า การขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีกำลังเดินหน้าไปด้วยดี เพราะบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพและมีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลก็มุ่งหวังที่จะพยายามขยายการพัฒนา ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงไปยังพื้นที่รอบนอกอีอีซีด้วย โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะสร้างความมั่นคงและทำให้ประเทศมีเสถียรภาพ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกันทั้ง 6 ภาค และ จะพยายามหามาตรการส่งเสริมเรื่องการทองเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้มากขึ้น

เห็นชอบกลุ่มจังหวัด ของบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรับ “อีอีซี”

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กลุ่มจังหวัด ฯลฯ เสนอในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ด้านการบริหารจัดการน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนี้

  • ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้มีการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในโครงการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสนับสนุนโครงข่ายอีอีซีทั้งสิ้น เช่น โครงการจ้างที่ปรึกษาสำรวจออกแบบราบละเอียด ผังระบบคมนาคมขนส่ง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สนับสนุนรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการยกระดับเส้นทางคมนาคมเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวนออก โดยเร่งรัดให้ดำเนินการขยายช่องจราจรจากเดิม 4 ช่องจราจร เป็น 6 ช่องจราจรในช่วง ทล3 ตอน ระยอง-กะเฉด กม.ที่ 226+000 – 271+822 และ ทล 3574 ตอน มาบปู–เขาคันทรง กม.ที่ 0+000-14+000 โครงการก่อสร้างทางหลวงเลี่ยงเมืองฉะเชิงเทราเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและรองรับเขาพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โครงการยกระดับคมนาคมโดยศึกาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบรายละเอียดเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงพื้นที่เขาพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3 เส้นทาง และโครงการเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สถานีที่ 10 (สถานีระยอง) เพื่อเชื่อมต่อจากสนามบินอู่ตะเภาเข้าสู่เมืองระยอง โยขอให้ก่อสร้างให้แล้วเสร็จพร้อมสถานีอู่ตะเภาในปี 256
  • ด้านการท่องเที่ยว และการเกษตร
    • การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ/เชิงสร้างสรรค์ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการผ่าชายเลนในเมืองระยอง ที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี 2564 เพื่อก่อสร้างสะพานท่าบรรทุก ก่อสร้างทางเดิน อาคารพื้นที่ต้อนรับ และลานจอดรถ และโครงการปรับปรุงและฟื้นฟูเมืองเก่าระยอง ที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ปี 2564 สำหรับการฟื้นฟูเมืองเก่า เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวชุมชนต่อเนื่องจากโครงการป่าชายเลนฯ นอกจากนี้ยังมีการขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการก่อสร้างถนนเฉลิมบูรพาชลทิศ ระยะที่ 2 เลียบชายฝั่งทะเล และโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในศูนย์บริการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ การศึกษาและออกแบบเพื่อพัฒนาศูนย์บริการท่าเทียบเรือในพื้นที่ต่างๆ เช่น เกาะล้าน เมืองพัทยา เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว
    • โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร กิจกรรมสร้างอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง ที่จะขอรับการสนับสนุนเชิงนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้ในปี 2565 เพื่อเป็นน้ำต้นทุนเพื่อการเกษตร บรรเทาอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลาก และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ
  • ด้านการบริหารจัดการน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    • มีการนำเสนอขอรับการสนับสนุนในโครงการบริหารจัดการน้ำ 10 โครงการ ในพื้นที่ต่างๆ เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเขาจอมแพ-เขานั่งยอง ตำบลมะขามคู่ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดระยอง โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบประปาบางคล้า อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และโครงการบูรณาการระบบการจัดการน้ำระวัดระยอง ที่มีความพร้อมในการจัดทำรายละเอียดโครงการ และทีโออาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และแก้ปัญหาน้ำท่วม
    • ในด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี 2564 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบี และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบน้ำป้องกันน้ำท่วมถนนสุขุมวิท และถนนเลียบทางรถไฟ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งทั้งสองโครงการมีความพร้อมในการจัดทำรายละเอียดโครงการ และทีโออาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
  • ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต มีการเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี 2564 เช่น โครงการยกระดับระบบบริการสุขภาพรอบรับโรคอุบัติใหม่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 และพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะเป็นการพัฒนาโรงพยาบาลหน้าด้าน ได้แก่ โรงพยาบาลบางละมุง โรงพยาบาลบ้านฉาง และโรงพยาบาลสัตหีบ ซึ่งโครงการดังกล่าวคณะกรรมการนโยบายเขาตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้มีมิติเห็นชอบแล้ว โครงการก่อสร้างโรงเรียนนานาชาติตากสินแกลง (ระดับประถมศึกษา) ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จังหวัดระยอง และโครงการก่อสร้างศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ในสังกัด อบต. จังหวัดระยอง เป็นต้น

ทั้งนี้ นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) กล่าวว่า ข้อเสนอภาคเอกชนภาคตะวันออก ได้ขอให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณปี 2564 สำหรับโครงการต่างๆ ข้างต้น นอกจากนั้น ได้ขอให้นายกฯพิจารณาต่ออายุมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยว การช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยผ่อนปรน การผ่อนผันการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย และขอให้เข้ามาแก้ปัญหาที่ตอนนี้บรรดาไฟแนนซ์ไล่ยึดรถของประชาชนที่จ่ายเงินค่างวดตามปกติไม่ได้ด้วย

รับฟังเด็กรุ่นใหม่ แนะ ครม.แก้ปัญหาการศึกษา-สิ่งแวดล้อม

นายอนุชากล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติเวทีพลังสร้างสรรค์เยาวชนคนรุ่นใหม่ จังหวัดระยอง โดยนักเรียน นักศึกษาได้เสนอสิ่งที่อยากให้ ครม. ดำเนินการ เช่น เรื่องการศึกษาและหลักสูตรในสถานศึกษา เรื่องการพัฒนาสภาพแวดล้อมในจังหวัด และประเด็นอนาคตระยองในมุมมองคนรุ่นใหม่ โดยนำเสนอสภาพปัญหาปัจจุบัน พร้อมข้อเสนอแนะ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอทั้งหมดไปพิจารณารายละเอียด พร้อมกล่าวชื่นชมว่าข้อเสอนเหล่านี้ถือเป็นการเสอนในเชิงสร้างสรรค์

นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) กิจกรรมการดำเนินการของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน พร้อมพบปะชาวระยองและตัวแทนผู้ประกอบการการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง

“โดยท่านนายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอทั้งหมด เพื่อที่จะไปพิจารณาในรายละเอียดและเปิดโอกาสให้ทุกคนนำเสนอความคิดและชื่นชมกับคนที่มานำเสนอในวันนี้ว่าเป็นการนำเสนอสิ่งที่สร้างสรรค์ และยินดีที่จะไปรับฟังแบบนี้ในอีกหลายพื้นที่และนำเสนอสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน” นายอนุชา กล่าว

นอกจากนีในที่ประชุมมีการพูดคุยถึงการจ้างงาน โดยเฉพาะนักศึกษาที่จบใหม่ ซึ่ง ฃนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้นำเสนอให้มีการจัดเอ็กซ์โปเกี่ยวกับการจ้างงานทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะมีการการจัดเป็นแพ็กเกจต่างๆ ออกมาเพื่อร่วมกับสถานประกอบการให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงแรงงานจะรวบรวมตัวเลขการว่างงาน และการจัดหาตำแหน่งงานรองรับเสนอ ศบศ. ในการประชุมครั้งหน้าใน 1–2 สัปดาห์นี้

ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีกเดือน

นายอนุชา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบต่ออายุพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ออกไปอีก 1 เดือนตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2563

คง VAT 7% ต่ออีกปี

นายอนุชา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ต่อปี แบ่งเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 6.3% และภาษีท้องถิ่นอีก 0.7% เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นใจการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564

ปรับเกณฑ์ “เราเที่ยวด้วยกัน” -จัดงบกลาง 1,000 ล้าน ผลิตวัคซีน

นายอนุชา กล่าวว่า ครม. ได้มีมติอนุมัติข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินกู้ แบ่งเป็น 3 ข้อเสนอ ได้แก่

  • ข้อเสนออันแรกคือโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตโควิด-19 ของสถาบันวัคซันแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท

โดย ครม. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,000 ล้านบาทในลักษณะเงินอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานเครือข่าย การพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การผลิตวัคซีนโควิด-19 และการสร้างขีดความสามารถของประเทศโดยการพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ

สำหรับแผน Blueprint เพื่อการเข้าถึงวัดซีนป้องกัน โควิด-19 ของประชาชนไทย ได้รับ ความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ซึ่งถือเป็นกรอบนโยบาย ในการบูรณาการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยดำเนินงาน ตามยุทธศาสตร์สำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ การนำวัคซีนต้นแบบที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาทดสอบ ในประเทศไทย และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิต ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น และระยะกลาง และอีกแนวทางคือ การพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะกลาง และระยะยาว ในการบรรลุ เป้าหมายการเข้าถึงวัคซีนให้ทันท่วงที และสร้างขีดความสามารถของประเทศในการพัฒนาและผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนไทยได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ให้การสนับสนุนและสร้างความ ร่วมมือกับสถาบันวิจัยพัฒนา และหน่วยผลิตวัคซีนในประเทศ ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อส่งเสริมการผลิตวัคซีนใช้ได้เองในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ นอกจากนี้ ยังได้เจรจาสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อการขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตทั้งจากประเทศจีน และยุโรป ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตที่มีแนวโน้มจะได้วัคซีนมาใช้ภายในต้นปี 2564 มีความเป็นไปได้ในทางเลือกที่รัฐบาลควรลงทุน เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศไทยก้าวข้าม สถานการณ์การระบาดได้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการมีวัคซีนใช้เร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยให้ประเทศสามารถ สร้างรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมาณ 250,000 ล้านบาท และยังสร้างผลกระทบเชิงบวก ทางเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนไทยด้วย

  • ข้อเสนอที่สองคือการพิจารณาข้อเสนอแผนงานโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนผ่านการดำเนินงานหรือกิจกรรมเพื่อสร้างงาน อาชีพ และโครงการจังหวัด ที่จังหวัดและส่วนราชการส่งเข้ามา โดยสภาพัฒน์ได้นำเสนอและพิจารณาเข้ามาทั้งสิ้น 201 โครงการ วงเงิน 1,035 ล้านบาท โดย ครม. มีมติเห็นชอบเพียง 53 โครงการ วงเงิน 142.38 ล้านบาท
  • ข้อเสนอที่สามคือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้พิจารณานำเสนอและ ครม. เห็นชอบการปรับปรุงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยให้เพิ่มวันพักจากเดิม 5 วัน เป็น 10 วัน และช่วยเหลือค่าตั๋วเครื่องบินจากเดิมไม่เกินคนละ 1,000 บาท เป็นคนละไม่เกิน 2,000 บาท

อนึ่ง ความคืบหน้าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว 4.87 ล้านคน ลงทะเบียนสำเร็จ 4.62 ล้านคน ลงทะเบียนไม่สำเร็จ 240,000 คน สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่พักเข้าร่วมโครงการแล้ว 6,943 แห่ง ร้านค้า 6,273 แห่ง แหล่งท่องเที่ยว 1,668 แห่ง และผู้ประกอบการ OTOP 1,058 แห่ง ทั้งนี้ข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2563 มีจำนวนสิทธิที่พักเหลือ 4,235,394 สิทธิ และจำนวนสิทธิตั๋วเครื่องบินเหลือ 1,996,562 สิทธิ

ตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ Sustainable Manufacturing Center (SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi–ARIPOLIS for BCG) ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

โครงการดังกล่าวจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะเวลา 5 ปีตั้งแต่ 2564–2568 และมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ผู้พัฒนาระบบ (SI) นักนวัตกร ตลอดจนนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องให้สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรูปแบบการสาธิต การเรียนรู้ และการทดลองปฏิบัติจริง ครอบคลุม Industry Assessment Tools, Learning Station/Line และ testbed/sandbox และรวมไปถึงกิจกรรมวิจัยเพื่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ บนพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEci) วังจันทร์วัลเลย์โซน E (ARIPOLIS Pilot Plant) อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง

โดยมีโครงการย่อย 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) Reference Architecture and Standards หมายถึง งานบริการทดสอบและจัดทำมาตรฐาน

2) Service & Industry Promotion หมายถึง งานบริการและสนับสนุนอุตสาหกรรม : สร้างผู้ประกอบการเทคโนโลยีใหม่และสนับสนุนการประกอบธุรกิจเทคโนโลยีด้วยบริการครบวงจร

3) Workforce Development หมายถึง งานด้านการพัฒนาคน: เตรียมความพร้อมและยกระดับทักษะแรงงาน สร้างและพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคลากรในภาคเอกชน

4) Pilot Line หมายถึง ศูนย์สาธิต ด้านอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

5) Industry 4.0 Testlabs/Testbed and R&I หมายถึง งานบริการทดสอบต้นแบบและผลิตภัณฑ์ งานวิจัยพัฒนาร่วมกับภาคอุตสาหกรรม รวมถึง การร่วมวิจัยและนวัตกรรมกับภาคอุตสาหกรรม

“ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการนี้คือการพัฒนากำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโลยีและพร้อมให้บริการกับเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต และขยายการวิจัยไปสู่การลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ต่อไป ขณะที่เป้าหมายในระยะยาวช่วง 10 ปีข้างหน้าจะสร้างรายได้จากการพึ่งพาตนเองและลดภาระรายจ่ายของภาครัฐ รวมไปถึงทำให้เกิดระบบนิเวศของนวัตกรรมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,349.25 ล้านบาท”

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ www.thaigov.go.th

เยียวยาสวนลำไยไร่ละ 2,000 บาท

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการเยียวเกษตรกรชาวสวนลำไยประจำปี 2563 เพื่อดูแลชาวสวนลำไยจำนวน 200,000 ครัวเรือน ภายใต้กรอบวงเงิน 3,400 ล้านบาท โดยเยียวยาในอัตราไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ หรือไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือน มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่สิงหาคมถึงธันวาคม 2563 การดำเนินการจะจ่ายให้เกษตรกรโดยตรง ซึ่งจะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรในปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตรภายในวันที่ 15 กันยายน 2563 นี้

“โครงการนี้เป็นการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกลำไยที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนจนผลผลิตไม่ได้คุณภาพและตลาดใหญ่อย่างจีนได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิดที่ผ่านมาจนการขนส่งลำไยไปจีนล่าช้าอย่างมาก รวมไปถึงล้งจีนไม่สามารถเดินทางมาดูสินค้าได้ และสุดท้ายคือทางจีนเริ่มส่งเสริมการปลูกลำไยเองมากขึ้น ทำให้การส่งออกลำไยที่มีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้า”

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกลำไยสดในปี 2562 มีสูงถึง 20,000 ล้านบาท หรือเป็นปริมาณ 5.8 แสนตัน ส่วนมูลค่าส่งออกลำไยอบแห้งมีมูลค่า 8,700 ล้านบาท หรือปริมาณ 1.6 แสนตัน

ขยายเวลาประกันรายได้สวนปาล์ม 3 เดือน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. เห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการประกันรายได้ชาวสวนปาล์มออกไปอีก 3 เดือน จากเดิมสิ้นสุดโครงการกันยายน 2563 เป็นสิ้นสุดธันวาคม 2563

อนุมัติงบอุดหนุนเด็กแรกเกิด 2,899 ล้าน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติวงเงินส่วนที่เหลือสำหรับมาตรการอุดหนุนเด็กแรกเกิดของผู้ถือบัตรคนจนคนละ 600 บาทต่อเดือน วงเงิน 2,899.649 ล้านบาท โดยในรายละเอียดสำหรับเดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2563 ถ้าจะต้องจ่ายให้ครบ 1.7 ล้านคนจะต้องใช้เงิน 4,653.422 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เบิกจ่ายมาก่อนแล้ว 1,745.20 ล้านบาทและยังขาดอีก 2,800 ล้านบาทเศษ

ต่อสัญญา สธค.กู้เงินออมสินอีก 2 ปี

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. อนุมัติต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 30 กันยายน 2563 ออกไปอีก 2 ปี คือ เริ่ม 1 ตุลาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองสำหรับหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารการเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการ

ความจำเป็นการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในครั้งนี้ เนื่องจากการดำเนินงานของ สธค. เป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ประสบปัญหาเฉพาะหน้าด้านการเงิน โดยให้บริการรับจำนำ ซึ่งไม่สามารถกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนได้ จึงทำให้ สธค. มีความเสี่ยงในการขาดสภาพคล่องในบางช่วงเวลา อีกทั้งผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยต้องการใช้เงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ดังนั้น สธค. จึงจำเป็นต้องมีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับหมุนเวียนรับจำนำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564–2565 และสามารถรองรับการดำเนินงานในการให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามที่ ครม. ได้มีมติอนุมัติไปแล้วเมื่อ 18 สิงหาคม 2563

“การกู้เงินประเภทเบิกเงินเกินบัญชีนั้น หาก สธค. ไม่ได้เบิกมาก็จะไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ประกอบกับ สธค. มีความสามารถในการชำระหนี้เงินกู้ได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถนำส่งเงินรายได้แผ่นดินตามที่กระทรวงการคลังกำหนด จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารทางการเงินการคลังของรัฐบาลในภาพรวม ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะดำเนินการลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 กันยายนนี้”

จัดงบกลาง 2,771 ล้าน สร้าง “กำแพง-หลักนำทาง” ยางพารา

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 2,771 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยทางถนน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ประกอบด้วย กรมทางหลวง 1,719 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 1,052 ล้านบาท โดยกระทรวงคมนาคมระบุด้วยว่า นอกจากจะช่วยสร้างความปลอดภัยทางถนนแล้ว ยังจะเป็นการช่วยยกระดับราคายางพารา เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยางพารา และระบายผลผลิตยางพาราได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ในส่วนของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ทั้ง 2 หน่วยงานจะใช้งบประมาณที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และโครงการติดตั้งหลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP)ในระยะที่ 1

เห็นชอบ MOU “ไทย-สิงคโปร์” ฝึกคอบร้าโกลด์ต่อ 5 ปี

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ว่าด้วยการเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ของกองทัพสิงคโปร์ในราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2563–2568) ตามที่กระทรวงกาโหมเสนอ ซึ่งกองทัพไทยและกองทัพสิงคโปร์ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจฝึกคอบร้าโกลด์ฉบับแรกเมื่อปี 2554 และได้ต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ มาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายในปี 2558 จะสิ้นสุดในวันที่ 1 ก.ย. 2563 ที่จะถึงนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างกองทัพไทยและกองทัพสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นการฝึกร่วมผสมระดับพหุภาคี ที่มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกปี หรือตามห้วงเวลาที่เหมาะสมกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น สถานการณ์โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ

โดยประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมทั้งเสริมสร้าง ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่งผลให้ไทยได้รับประโยชน์จากสาธารณรัฐสิงคโปร์ทั้งในด้านการเมือง ด้านการทหาร และด้านเศรษฐกิจ ในอนาคตต่อไป

จัดงบฯ 572 ล้าน ให้มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง

นางาสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. อนุมัติกรอบงบประมาณวงเงิน 572.58 ล้านบาท ให้มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เพื่อนำไปใช้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระยะที่ 3 ปี 2564–2565 โดยมี 3 แผนงานที่สำคัญประกอบด้วย

  1. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของพื้นที่ต้นแบบเดิมไปสู่ความยั่งยืน วงเงิน 62ล้านบาท
  2. ส่งเสริมการประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริในพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง วงเงิน 224.58 ล้านบาท
  3. สนับสนุนการขับเคลื่อนและขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ วงเงิน 286 ล้านบาท

ทั้งนี้มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระยะที่ 1–2 ที่ผ่านมาว่า สามารถขับเคลื่อนพันธกิจให้ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ โดยประชาชนพึ่งตนเองได้ เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการพัฒนามีความก้าวหน้าด้วยดี ระดับของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่ บรรลุผลตามเป้าหมายในทุกระดับที่น่าพอใจ รวมทั้งได้ให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริในพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง เพื่อให้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และนโยบายสำคัญของรัฐบาล มีผลลัพธ์ที่ออกมาใน 3 ด้าน คือ

  • ด้านเศรษฐกิจ มีน้ำทำการเกษตร 275,714 ไร่ ผู้ได้ประโยชน์ 79,218 ครัวเรือนในพื้นที่ 9 จังหวัด 98หมู่บ้าน ผลผลิตข้าวต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 350 กิโลกรัมต่อไร่เป็น 600 กิโลกรัมต่อไร่ มีรายได้จากการเกษตรเพิ่มขึ้นจาก 109.5 ล้านบาทเป็น 2,679 ล้านบาท
  • ด้านสังคม มีกลุ่มกิจกรรมที่บริหารจัดการโดยชุมชน มีกฎระเบียบโปร่งใสเป็นธรรมกับสมาชิก 71 กลุ่ม มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำชุมชน ทฤษฎีใหม่ พลังงานทดแทน สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ 119 คน ซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็ก 1,400 โครงการ พื้นที่เกษตร 181,167 ไร่ เกษตรกรได้รับประโยชน์ 48,930 ครัวเรือน
  • ด้านสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่ไร่หมุนเวียนลดลงและได้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นใน จ.น่าน 106,580 ไร่ จ.อุทัยธานี 6,692 ไร่ ฝายอนุรักษ์ 6,259 แห่ง

ยกเว้นค่าทางด่วนช่วงชดเชยวันหยุดสงกรานต์ 4-7 ก.ย.นี้

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม. อนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา และทางหลวงพิเศษ หมายเลข 9สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน–บางพลี และ ตอนพระประแดง–บางแค ช่วงพระประแดง–ต่างระดับบางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 3 กันยายน 2563 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 8 กันยายน 2563 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เพื่อให้การจราจรมีความคล่องตัวประชาชนสามารถเดินทาง ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นและเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

ตั้ง “ดนุชา” นั่งเลขา สศช.-ถอนโผโยกย้ายอธิบดีในสังกัดคลัง

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. สัญจร จ.ระยอง เห็นชอบให้นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ สศช. เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

นอกจากนั้น ครม. ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และนางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

ครม. ยังเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์รวม 9 คน ได้แก่ นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการ นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน นายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นายสราวุธ เบญจกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ นายอนุชิต อนุชิตานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ นายกนิษฐ์ สารสิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ นางสาวช่อผกา วิริยานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ นายเฉลิมรัฐ นาควิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ หรือตัวแทน Startup และ นายยรรยง เต็งอำนวย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

นอกจากนี้ รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม. เปิดเผยว่า ได้มีการถอนวาระแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงออกไป เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายกระทันหันให้นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) แทนแล้วให้นายประภาส คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร.ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต แทนนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต จากเดิมที่จะให้นายลวรณ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต และนายพชร ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ทำให้เอกสารรายชื่อไม่ตรงกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำมาขอความเห็นชอบจาก ครม.

อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 25 สิงหาคม 2563 เพิ่มเติม