ThaiPublica > เกาะกระแส > “ทัวร์ลง AOT” บอร์ดฯปรับลดรายได้ขั้นต่ำ – เลื่อนนับอายุสัมปทานดิวตี้ฟรี

“ทัวร์ลง AOT” บอร์ดฯปรับลดรายได้ขั้นต่ำ – เลื่อนนับอายุสัมปทานดิวตี้ฟรี

8 สิงหาคม 2020


“ทัวร์ลง AOT” เมื่อบอร์ดฯมีมติปรับเงื่อนไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี – บริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดคำแนะนำ – หั่นราคาหุ้นเป้าหมาย

หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ทยอยออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบกอบการในสนามบินที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส โควิด-19 ไป 3 ครั้ง จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาสัมปทานธุรกิจดิวตี้ฟรี และสัมปทานบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบิน ระหว่าง AOT กับ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์หลายประเด็น จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมกำลังจับตา โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นของ AOT หลังจากที่บอร์ด AOT มีมติปรับลดรายได้ตนเอง เพื่อช่วยผู้ประกอบการทีไร หุ้น AOT ร่วงทุกครั้ง

ครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมบอร์ด AOT ครั้งที่ 3/2563 อ้างถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี จึงมีมติยกเว้นการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำให้ผู้ที่ประกอบกิจการในสนามบิน 6 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยในระหว่างนี้ให้ AOT เรียกเก็บเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือนเป็น “ร้อยละ หรือ เปอร์เซ็นต์” ของรายได้จากยอดขายสินค้าปลอดอากร ก่อนหักค่าใช้จ่าย ค่าภาษี และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แทน

ปกติ AOTจะมีวิธีเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้รับสัมปทานฯ 2 รูปแบบ คือ 1.จัดเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนและรายปี (Minimum Guarantee) ตามข้อเสนอของผู้รับสัมปทาน 2. เก็บจากค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือนเป็นร้อยละ หรือ เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ วิธีไหนเมื่อคำนวณออกมาแล้ว AOT ได้เงินรายได้มากกว่า ก็ให้ใช้วิธีนั้น

ดังนั้น การที่บอร์ด AOTมีมติยกเว้นการเรียกค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ และให้ AOT เรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้จากยอดขาย ทำให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รู้สึกผิดหวังกับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้บริหารระดับสูงของ AOT เคยให้สัมภาษณ์ว่าในปี 2564 ทาง AOT จะมีการรายได้จากการจัดเก็บค่าสัมปทานจากกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ รวมกันทุกสัญญา 23,500 ล้านบาท แต่วันนี้อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะยังไม่ทันจะเริ่มจัดเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขึ้นต่ำในปีแรก (เริ่มวันที่ 28 กันยายน 2563) บอร์ด AOT ก็มีมติยกเลิก โดยให้เก็บเป็นเปอร์เซ็นต์แทนไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565

หลัง AOTทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ฯเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเว็บไซต์ “ลงทุนแมน” เผยแพร่บทวิเคราะห์ “AOT ช่วยเหลือผู้ประกอบการยังไง ให้หุ้นลง 6%” โดยรายงานภาวะตลาดหุ้นในช่วงเช้าของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 มูลค่าหุ้นของ AOT ดิ่งลงทันที 6% คิดเป็นมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท และในวันเดียวกันนั้น บริษัทหลักทรัพย์ภัทรได้ออกบทวิเคราะห์ โดยปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานของAOTลง พร้อมกับปรับลดคำแนะนำเป็น underperform เนื่องจากมาตรการเยียวยาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของ AOT เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญ มาตรการยกเว้นการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ

ยังขัดแย้งกับหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการประมูล ตามที่ผู้บริหารระดับสูงของ AOTเคยให้สัมภาษณ์ ว่า “AOT จะพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการประมูลธุรกิจดิวตี้ฟรีและธุรกิจบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์จากการเสนอผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดจากความไม่แน่นอนของจำนวนผู้โดยสาร”

  • AOT ประกาศผลคะแนน – ซองราคา “คิง เพาเวอร์” จ่ายค่าตอบแทนปีแรก 2.35 หมื่นล้าน
  • AOT เยียวยาผู้ประกอบการในท่าอากาศยาน 6 แห่ง…ปล้นเงียบผู้ถือหุ้น-คลังหรือไม่!!
  • AOT เยียวยาโควิดฯรอบ 2 อุ้มสายการบิน-ผู้รับสัมปทาน
  • นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการ ทอท.

    ครั้งที่ 2 ที่ประชุมบอร์ด AOT ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 มีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานบอร์ด AOT ได้มีมติกำหนดอัตราการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำใหม่ ภายหลังมาตรการเยียวยาสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยใช้อัตราผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนวิกฤตโควิดฯ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณ และให้ปรับขึ้นตามสัญญาเมื่อจำนวนผู้โดยสารเริ่มปรับตัวมากกว่าช่วงก่อนวิกฤต

    ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ที่ประชุมบอร์ด AOT ครั้งที่ 8/2563 มีมติขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ผู้ประกอบการ และสายการบินที่ครบกำหนดชำระในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2563 จาก 6 เดือน ขยายเป็น 12 เดือน

    ส่วนกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานดิวตี้ฟรี และสัมปทานบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิช์ในสนามบินที่อยู่ในความรับผิดชอบของAOTนั้น ที่ประชุมบอร์ด AOTครั้งนี้มีมติ ขยายเวลาการเข้าปรับปรุงพื้นที่ออกไป รวมทั้งมีมติให้เริ่มต้นนับอายุสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี และสัมปทานบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์กันใหม่ โดยให้ไปเริ่มนับกันในเดือนเมษายน 2565 ขณะที่เงื่อนไขของสัญญาฯเดิมกำหนดให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2563 – 31 มีนาคม 2574 รวมอายุสัญญาสัมปทาน 10 ปี 6 เดือน

  • AOT เลื่อนนับสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี-พื้นที่เชิงพาณิชย์ “กลุ่มคิง เพาเวอร์” เริ่ม เม.ย.65
  • หลังจาก AOT ออกแถลงข่าว และทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯเรียบร้อย ก็เริ่มเกิดปรากฏการณ์ทัวร์ลง AOT ตามมา

    เริ่มจากวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ของอร่อยที่สุดคือ…ภาษีประชาชน? กรณีศึกษาบริษัทท่าอากาศยานไทย รัฐให้สัมปทาน ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญา เอื้อประโยชน์ เยียวยาชดเชยโควิด -19 ให้กลุ่มคิง เพาเวอร์ก่อนประชาชน ความร่ำรวยของกลุ่มทุนผูกขาด การสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร การใช้จ่ายภาษีประชาชน และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด”

    โดยนายธนาธร กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการ AOT มีมติให้ขยายเวลาก่อสร้าง,เปลี่ยนแปลงการคำนวณผลตอบแทนขั้นต่ำ และเปลี่ยนเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดสัญญาที่เกี่ยวข้องกับกิจการร้านค้าปลอดอากรในสนามบิน อันเนื่องมาจากผลกระทบจากโควิด-19 โดยหยิกยกรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ หรือ “SCBS” ซึ่งประเมินมติคณะกรรมการ AOT ครั้งนี้ ทำให้รายได้ของ AOT ลดลง 6% ในปี 2565 และ 10% ในปี 2566 ส่วนกำไรในปี 2565 จะลดลงประมาณ 13% และในปี 2566 ลดลงอีก 17% ซึ่งปกติ AOT จะมีกำไรปีละประมาณ 25,000 ล้านบาท หากใช้ประมาณการของ SCBS คำนวณ หมายความว่าในปี 2565 กำไรของ AOT จะหายไป 3,250 ล้านบาท และในปี 2566 กำไรหายไปอีก 4,250 ล้านบาท

    ปัญหาคือกระทรวงการคลังถือหุ้น AOT อยู่ 70% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และที่ผ่านมา AOT ปันผลคืนให้กับกระทรวงการคลังอย่างสม่ำเสมอ ในอัตราประมาณ 50% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี โดยในปี 2560 และ ปี 2561 มีการปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 12,200 ล้านบาท และ 14,900 ล้านบาท ตามลำดับ

    ดังนั้น การที่คณะกรรมการบริษัทมีมติดังกล่าว ส่งผลทำให้ราคาหุ้นของ AOT ตกลงทันที 4.13% ขณะที่ตลาดหุ้นทั้งตลาดลดลง 3% และยังส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ หายไปในวันเดียวเกือบ 30,000 ล้านบาท

    คาด AOT รายได้หายกว่า 1.33 แสนล้าน กรณีปรับลดการันตีขั้นต่ำ อุ้ม “คิง เพาเวอร์”

    ถัดมาอีกไม่กี่วันบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ “AOT เทวดาตกสวรรค์” แสดงความเห็นกรณีบอร์ดบริหาร AOT อนุมัติเปลี่ยนวิธีการเก็บเงินการันตีขั้นต่ำให้กับกลุ่มคิง เพาเวอร์ โดยอ้างอิงจากจำนวนผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงที่จำนวนผู้โดยสารยังต่ำกว่าประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี เคยประเมินไว้ช่วงเข้าร่วมประมูล

    โดยบทวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทยฉบับนี้ ระบุว่า “ไม่เห็นด้วยกับ AOT ที่ให้ส่วนลดเงินการันตีขั้นต่ำ โดยไม่เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เนื่องจากเราคาดว่าผลกระทบต่อ AOT จากการให้ส่วนลดครั้งนี้จะอยู่ที่ 133,800 ล้านบาท เราคิดว่า AOT น่าจะหาวิธีที่ดีกว่านี้มาชดเชยให้กับบริษัท คิง เพาเวอร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19”

    ปรับลดคำแนะนำหุ้น AOT จาก “ซื้อ” เป็น “ขาย” หั่นราคาเป้าหมายเหลือ 45.50 บาท

    บล.กสิกรไทย จึงปรับลดคำแนะนำหุ้น AOT ลงจาก “ซื้อ” เป็น “ขาย” และปรับลดราคาเป้าหมายลง จาก 70.50 บาท เป็น 45.50 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากการลดเงินการันตีขั้นต่ำ และการให้ CG Discount ที่ 20%

    นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์อีกหลายสำนักออกบทความตามมาอีกหลายราย อาทิ มอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่าการที่ AOT ประกาศเงื่อนไขของสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ โดยให้พิจารณาจากอัตราการเติบโตของผู้โดยสารในครั้งนี้ คาดว่ารายได้ของ AOT จะลดลง 8,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.48 แสนล้านบาท) ตลอดระยะเวลาสัมปทาน ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ปรับราคาเป้าหมายหุ้น AOT มาอยู่ที่ 44 บาท จากเดิม 55 บาท

    AOT โต้โบรกฯ วิเคราะห์ข้อมูลไม่ครบถ้วน

    วันที่ 5 สิงหาคม 2563 ทาง AOT ออกแถลงข่าวชี้แจงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติม กรณี บริษัท คิง เพาเวอร์ โดยยืนยันว่า “บทความวิเคราะห์-วิจารณ์ ที่มีเผยแพร่อยู่ในปัจจุบันหลายบทความ ได้ทำการวิเคราะห์-วิจารณ์อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะในประเด็นการวิเคราะห์-วิจารณ์ในด้านการสูญเสียรายได้ของ ทอท.ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่แต่เพียงด้านเดียว โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงมาตรการฯ ที่ ทอท. ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยด้วยอย่างเท่าเทียมกัน และยังไม่ได้คำนึงถึงโอกาส ทางเลือกที่ผู้ประกอบการสามารถบอกเลิกสัญญา หรือ ผลกระทบต่อรายได้ ทอท. จากการถูกบอกเลิกสัญญา และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ ในสภาวการณ์จ้างงานดังที่ได้กล่าวข้างต้น ในการนี้ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ออกบทวิเคราะห์ดังกล่าวได้เข้าพบ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 เพื่อรับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจเหตุผลในทุกๆ ด้าน โดยทางผู้ออกบทวิเคราะห์ฯ ได้ตกลงจะออกบทวิเคราะห์ที่เป็นกลางและครอบคลุมถึงข้อมูลมิติต่างๆ ที่ได้รับเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้สาธารณชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดต่อไป

    [อ่านรายละเอียดแถลงข่าว AOT เพิ่มด้านล่าง]
    นายนิตินัย สิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)

    บล.กสิกรไทยกลับลำ แนะ “ถือ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 56 บาท/หุ้น

    แต่หลังจากที่ทีมงานวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทย ได้เข้าพบนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และการให้สัมภาษณ์ของนายนิตินัย กับข่าวหุ้นธุรกิจ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ทางบล.กสิกรไทยจึงได้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานระหว่าง AOT กับ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์

    ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 บล.กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์หุ้น AOT ฉบับใหม่ ระบุว่า “การคงสัญญากับกลุ่ม คิงเพาเวอร์ แม้ว่าเงื่อนไขจะเปลี่ยนไป คณะกรรมการ AOT ได้ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่ จึงปรับคำแนะนำจาก “ขาย” เป็น “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 56 บาท จาก 45 บาท โดยนำ CG Discount ออกจากการประเมินมูลค่าราคาเป้าหมาย มีรายละเอียดดังนี้

    เรื่องขั้นตอนการพิจารณา ทาง บล.กสิกรไทยได้ข้อมูลว่า AOT ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมา เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว อีกทั้งการอนุมัติแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี ถือเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในการบรรเทาผลกระทบของคู่ค้าของ AOT ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ปิดสนามบินเมื่อปี 2551

    เรื่องการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ผู้บริหาร AOT คาดว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาเป็นปกติ (ช่วงก่อน COVID-19) ในกลางปี 2566 เนื่องจากสายการบินต้องใช้เวลาอีก 1-2 ไตรมาสในการเพิ่มเที่ยวบิน แม้ว่า AOT และเราเห็นตรงกันว่าการค้นพบวัคซีน โควิด -19 จะเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2563 ถึงต้นปี 2564 และการเข้าถึงวัคซีนดังกล่าวในวงกว้าง อาจกินเวลาอีก 1-2 ไตรมาส

    เรื่องความเสียหายจากการเลิกสัญญา ได้ทราบข้อมูลใหม่จากผู้บริหาร AOT ว่ากลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีสิทธิบอกเลิกสัญญา โดยให้เหตุผลว่าความเสียหายทางธุรกิจที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคิง เพาเวอร์เกิดจากนโยบายรัฐบาลในการปิดน่านฟ้าส่วนใหญ่ โดยที่กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ไม่ต้องถูกยึดเงินประกัน หากเกิดขึ้นจริง เราประเมินว่า AOT อาจจะสูญเสียรายได้ตลอดอายุสัญญาฯที่ 3.9 แสนล้านมาท (ตามเงื่อนไขเดิม)

    ปรับลดการันตีขั้นต่ำ คาดทำให้ AOT รายได้หาย 0.79- 1.33 แสนล้าน

    การปรับวิธีการคำนวณ Minimum Guarantee คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะกลับมาเท่ากับปี 2562 ที่ 52 ล้านคน ในปี 2566 และจะขึ้นไปถึงระดับ 66 ล้านคน ในปี 2569 ด้วยสมมติฐานนี้ ผลกระทบจากการปรับวิธีการคำนวณ Minimum Guarantee จะอยู่ที่ 1.33 แสนล้านบาท สมมติฐานนี้ยืดตามการศึกษาของ IATA

    อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารดีกว่าสมมติฐานนี้ ผลกระทบต่อประมาณการจะลดลง ดังนี้

      1) กรณีที่จำนวนผู้โดยสารกลับไปที่ 66 ล้านคน ในปี 2568 ผลกระทบจะอยู่ที่ 1.18 แสนล้านบาท
      2) กรณีที่จำนวนผู้โดยสารกลับไปที่ 66 ล้านคน ในปี 2567 ผลกระทบจะอยู่ที่ 9.9 หมื่นล้านบาท และ
      3) กรณีที่ จำนวนผู้โดยสารกลับไปที่ 66 ล้านคน ในปี 2566 ผลกระทบจะอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท

    มูลค่าสัญญาลดลงหากเปิดประมูลใหม่ คาดว่ามูลค่าสัญญาดิวตี้ฟรีจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากกลุ่มคิง เพาเวอร์ บอกเลิกสัญญาฯ และ AOT ต้องจัดการประมูลขึ้นมาใหม่ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้มูลค่าธุรกิจดิวตี้ฟรีได้รับผลกระทบอย่างหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

    ดังนั้น การที่ AOT เปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญา จึงถือเป็นการรักษาผลประโยชน์ของ AOT และ ผู้ถือหุ้น อย่างเต็มที่ หากใช้ราคาประมูลของผู้ชนะลำดับที่ 2 เป็นบรรทัดฐาน มูลค่าสัญญามีโอกาสลดลงกึ่งหนึ่ง

    มติบอร์ด AOT ทั้ง 3 ครั้ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญาสัมปทาน ฯ ตามที่เคยตกลงกันไว้กับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ก่อนหน้านี้ หลัก ๆ ก็จะมีเรื่องยกเลิกการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 หลังจากนี้ก็เริ่มจัดเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูตรใหม่ โดยใช้อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำของปี 2562 มาเป็นฐานในการคำนวณ หายอดเงินประกันรายได้ขั้นต่ำรายปีต่อ ๆไป(MAGi) ซึ่งการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีครั้งนี้ ได้รับการยืนยันจากคณะผู้บริหารว่า ทำได้ เพราะในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วช่วงที่เกิดเหตุการณ์ปิดสนามบินเมื่อปี 2551………