ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามเล็งเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศสิงหาคม ลาวออกกฎคุมแลกเงินกีบ

ASEAN Roundup เวียดนามเล็งเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศสิงหาคม ลาวออกกฎคุมแลกเงินกีบ

19 กรกฎาคม 2020


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 12-18 กรกฎาคม 2563

  • เวียดนามเล็งเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศสิงหาคม
  • เวียดนามเผยกฎหมายเข้าเมืองฉบับใหม่ดึงลงทุนต่างชาติ
  • ฮานอยเปิดใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสิ้นปีนี้
  • กัมพูชาจะเก็บภาษีรายได้จากการพนัน 7%
  • ธนาคารชาติลาวออกกฎคุมแลกเงินกีบ
  • ไทยร่วมประชุมขนส่งอาเซียน-จีน
  • เวียดนามเล็งเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศสิงหาคม

    กระทรวงคมนาคมกำลังจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังจุดหมายปลายทางหลายแห่งในเอเชีย โดยมี 2 เที่ยวบินในแต่ละเส้นทางต่อสัปดาห์

    จุดหมายปลายทางที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ได้แก่ กวางโจวในจีน โซลในเกาหลีใต้ โตเกียวในญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียงจันทน์ในลาว และพนมเปญในกัมพูชา

    กระทรวงคาดว่าจะมีผู้โดยสารราว 2,500-3,000 คนเดินทางทางอากาศเข้าเวียดนามต่อสัปดาห์ นอกเหนือจากเที่ยวบินพิเศษสำหรับการส่งตัวกลับประเทศและเที่ยวบินธุรกิจที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานขนส่งที่มีผู้โดยสาร 1,000-1,500 คน

    นอกจากนี้กระทรวงจะทำข้อตกลงกับพันธมิตรจากจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ลาว และกัมพูชา เพื่อเริ่มการขนส่งทางอากาศระหว่างเวียดนามกับประเทศและเขตปกครองนี้ คาดว่าเที่ยวบินปกติเที่ยวแรกว่าจะเริ่มขึ้นในต้นเดือนสิงหาคม

    ผู้โดยสารที่มีคุณสมบัติในการขึ้นเครื่องจะต้องมีวีซ่าที่ยังไม่หมดอายุ และปฏิบัติตามมาตรการกักกันโรคที่ออกโดยกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนาม

    จากการพิจารณาสภาพทางภูมิศาสตร์และความสามารถในการกักกันของเวียดนาม กระทรวงได้เสนอเที่ยวบินกวางโจว-ดานัง, โตเกียว-ฮานอย, โซล-ฮานอย, ไทเปในไต้หวัน-โฮจิมินห์ซิตี, เวียงจันทน์-กว๋างนิญ, พนมเปญ-เกิ่นเทอ เป็นเส้นทางแรกที่สามารถเปิดทำการบินได้ในระยะแรก

    รัฐบาลพร้อมที่จะปรับความถี่ของเที่ยวบินทันที หลังจากการประเมินผลเที่ยวบินที่กลับมาให้บริการในเส้นทางที่เสนอช่วงแรก และจะศึกษาเพื่อเสนอให้ทำการบินไปยังที่อื่นๆ ในเอเชียต่อไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของโรคและข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศและเขตปกครองเหล่านั้น

    เวียดนามเผยกฎหมายเข้าเมืองฉบับใหม่ดึงลงทุนต่างชาติ


    กฎหมายตรวจตราคนเข้าเมืองฉบับใหม่ของเวียดนาม ครอบคลุมถึงวีซ่าประเภทใหม่สำหรับต่างชาติที่เข้าประเทศมาเพื่อดำเนินกิจการที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างประเทศที่เวียดนามได้ลงนาม

    การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการตามข้อตกลงใหม่ที่เวียดนามได้ลงนาม เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) และข้อตกลงคุ้มครองการลงทุนสหภาพยุโรปเวียดนาม (EVIPA) จากการเปิดเผยของ พันเอก ทราน วัน ดู รองหัวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในสังกัดกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

    ในสัปดาห์ที่แล้วสำนักงานได้จัดให้มีการบรรยายสรุปกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งสภาแห่งชาติให้ความเห็นชอบในเดือนพฤศจิกายน 2019 แก่คณะทูตและ NGOs ที่ประจำอยู่ในเวียดนาม

    การแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการเข้าออก การขนส่งและถิ่นที่อยู่ของชาวต่างชาติในเวียดนามมีผลบังคับใช้ในเดือนนี้

    “นักลงทุนต่างชาติที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งได้ลงทุนในเวียดนาม 100 ล้าน ด่องหรือราว 4.4 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า จะได้รับวีซ่าสูงสุด 5 ปีและบัตรพำนักชั่วคราวเป็นเวลาไม่เกิน 10 ปี สิ่งนี้จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้าในประเทศมากขึ้น”

    กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองฉบับเดิมกำหนดว่า นักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการรับรองในเวียดนามสามารถได้รับวีซ่า 5 ปีไม่ว่าจะใช้เงินลงทุนเท่าไร กฎหมายฉบับใหม่ออกวีซ่าระยะเวลา 6-12 เดือนสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อส่งเสริมการบริการและสร้างสถานะทางการค้าตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และไม่อนุญาตให้มีบัตรพำนักชั่วคราวสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนน้อยกว่า 3 พันล้านด่อง หรือราว 130,400 ดอลลาร์

    กฎหมายเดิมยังกำหนดให้พลเมืองจาก 13 ประเทศที่เดินทางเข้าสู่เวียดนามภายใต้โครงการยกเว้นวีซ่าต้องคอยอย่างน้อย 30 วันก่อนที่จะกลับเข้าเวียดนามได้อีกครั้ง แต่กฎหมายใหม่ได้ยกเลิกระเบียบข้อนี้ ซึ่งทำให้ต่างชาติกลับมาได้ทุกเวลา

    ประเทศที่ประชาชนของตัวเองไม่จำเป็นต้องยื่นขอวีซ่าเพื่อเข้าสู่เวียดนาม ได้แก่ เบลารุส เดนมาร์ก ญี่ปุ่น นอร์เวย์ อิตาลี ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส รัสเซีย สาธารณรัฐเกาหลี สเปน สวีเดน เยอรมนี และสหราชอาณาจักร

    ชิกะ สึจิโมโต หัวหน้าฝ่ายการเมือง สถานทูตญี่ปุ่นประจำเวียดนาม กล่าวว่า “การยกเลิกกฎข้อบังคับนี้จะดึงให้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเดินทางมาเวียดนามแบบระยะสั้นได้ นักธุรกิจญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะลงทุนในเวียดนาม เวียดนามไม่ได้เป็นเพียงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น แต่ยังเชื่อมโยงญี่ปุ่นและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อีกด้วย”

    “เชื่อว่ากฎหมายการเข้าเมืองใหม่สำหรับชาวต่างชาติจะไม่เพียงแต่ดึงดูดการลงทุนของญี่ปุ่นในเวียดนามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวและนักเรียนด้วย”

    มาร์ก ลอเวรโครวิก กรรมการผู้จัดการของสมาคมมิตรภาพ (Union of Friendship Organisations-NGO Resource Centre) กล่าวว่า กฎหมายเกี่ยวกับการเข้าออก การขนส่ง และถิ่นที่อยู่ของชาวต่างชาติในเวียดนาม มีความสำคัญต่อองค์กรพัฒนาเอกชนต่างประเทศรวมถึงภาคธุรกิจในเวียดนาม

    รัฐบาลเวียดนามพยายามปรับปรุงอยู่เสมอ กฎหมายใหม่ได้ขยายระยะเวลาและความถูกต้องของวีซ่าและการออกใบอนุญาตซึ่งทำให้การดำเนินงานของโครงการเอ็นจีโอต่างประเทศง่ายขึ้น”

    พันเอก ทราน วัน ดู กล่าวว่า โครงการนำร่องในการให้วีซ่านาน 2 ปีในปี 2018-2019 ทำให้นักเดินทางจำนวนมากเดินทางเข้าเวียดนาม และเป็นเหตุผลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตัดสินใจขยายรายชื่อประเทศที่มีสิทธิ์ได้รับวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์เป็น 80 ประเทศ

    “เราจะศึกษาเพื่อขยายรายชื่อเพิ่มเติมในเวลาต่อไป”

    “เวียดนามจะเปิดช่องทางอัตโนมัติสำหรับประชาชนเวียดนามและชาวต่างชาติที่ถือบัตรประจำตัวผู้พำนักถาวรในเวียดนาม ซึ่งช่องทางอัตโนมัติไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลก แต่เป็นของใหม่สำหรับเวียดนาม

    ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าเวียดนาม ภายใต้โครงการยะเว้นวีซ่า รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์ หรือวีซ่าท่องเที่ยว หลังจากวันที่ 1 มีนาคม จะได้รับอนุญาตอัตโมัติให้พำนักต่อในประเทศไปจนถึงวันที่ 31 โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าปรับจากการอยู่เกิน

    “เราจะเสนอให้ขยายอย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง หากเส้นทางการบินระหว่างประเทศยังไม่ได้เปิดให้บริการ

    นอกจากนี้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองฉบับใหม่ยังได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการออกพาสปอร์ต โดยพลเมืองเวียดนามที่อายุ 14 ปีขึ้นไปสามารถเลือกได้ว่าต้องการพาสพอร์ตแบบมีชิปซึ่งมีข้อมูลผู้ถือพาสปอร์ตพร้อมลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ฝังไว้ด้วยหรือแบบที่ไม่มีชิป

    ฮานอยเปิดใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสิ้นปีนี้

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/economy/construction-work-done-hanoi-metro-gets-ready-to-run-4030193.html

    บริษัทไชน่า เรลเวย์ ซิกซ์ กรุ๊ป จำกัด (China Railway Sixth Group Co Ltd) ผู้รับเหมาทั่วไปจากจีนสำหรับโครงการรถไฟใต้ดินแห่งแรกของฮานอย เปิดเผยว่า การตรวจสอบเพื่อรับมอบโครงการกำลังเร่งดำเนินการ เพื่อที่จะได้เปิดบริการเชิงพาณิชย์ภายในสิ้นปีนี้

    China Railway Sixth Group Co Ltd ซึ่งเป็นผู้รับเหมาทั่วไปของเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน ก๊าตลิญ-ห่าดง (Cat Linh-Ha Dong) ระยะทาง 13 กิโลเมตร ได้ส่งเอกสารสำหรับการตรวจสอบเพื่อรับมอบโครงการทั้งหมดตามคำร้องขอของคณะกรรมการบริหารรถไฟนครฮานอย (Hanoi Metropolitan Railway Management Board: HRMB) เรียบร้อยแล้ว ถัง ฮง ผู้อำนวยการโครงการจากจีน

    การตรวจสอบคุณภาพและการประเมินผลของการก่อสร้างแต่ละรายการนั้นอยู่ในระหว่างดำเนินการและ HRMB ได้ให้ความเห็นว่าการตรวจสอบเพื่อรับมอบนั้นได้รับการประสานงานอย่างดีจากทั้งสองฝ่าย

    การตรวจสอบโครงการคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นผู้รับเหมาทั่วไปจะได้รับการชำระเงินตามเงื่อนไขของสัญญา โครงการจะดำเนินการนำร่องเป็นเวลา 20 วัน ในระหว่างนั้น State Acceptance Council จะได้รับเชิญให้ประเมินผล

    เมื่อกระบวนการนี้เสร็จสิ้น กระทรวงคมนาคมจะเข้าควบคุมโครงการและส่งมอบให้กับ HRMB

    ผู้เชี่ยวชาญ 31 คนของผู้รับเหมาทั่วไปของจีนได้ผ่านพ้นระยะการกักกันโรคโควิด-19 ตามที่รัฐบาลกำหนดแล้ว และจะเริ่มงานในโครงการ โดยที่ 12 คนจะทำงานร่วมกับ HRMB ทุกวันเกี่ยวกับขั้นตอนการรับมอบ ขณะที่คนอื่นๆ ทำงานตรวจสอบการทำงานของสิ่งก่อสร้างในสถานที่ก่อสร้าง

    “หากงานเป็นไปตามแผนภายในสิ้นปี 2020 โครงการจะสามารถดำเนินการได้” ถัง ฮง กล่าวและว่า การทดสอบให้บริการระยะเวลา 20 วันยังไม่ได้กำหนดวัน เนื่องจากผู้รับเหมาทั่วไปจะต้องได้รับการชำระเงินงวดต่อไปเพื่อให้มีเงินทุนในการนำบุคลากรจากคู่ค้าที่จัดหาอุปกรณ์เข้ามาเวียดนาม

    นอกเหนือจากการตรวจสอบรับมอบงานแล้ว โครงการนี้ยังต้องได้รับการประเมินความปลอดภัยด้านเทคนิคโดยองค์กรอิสระ ซึ่งได้มอบหมาย บริษัท Apave-Certifer-Tricc (ATC) จากฝรั่งเศสรับผิดชอบ

    เส้นทางเดินรถไฟใต้ดินก๊าตลิญ-ห่าดง เริ่มจากเขตด่องดาถึงเยียนเหงีย รวม 13 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮานอย และเป็น 1 ใน 8 เส้นทางที่วางแผนไว้ในฮานอย

    การก่อสร้างเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 2011 และเดิมมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2013 แต่มีอุปสรรคหลายประการรวมถึงปัญหาการเบิกเงินกู้กับจีนซึ่งมีข้อสรุปในเดือนธันวาคม 2017 หลังจากชะงักมาหลายปี

    ต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 18 ล้านล้านด่องหรือ 776.77 ล้านดอลลาร์ โดย 77% มาจากเงินช่วยเหลือการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) จากประเทศจีน

    กัมพูชาจะเก็บภาษีรายได้จากการพนัน 7%

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/641690/donacos-mounting-losses-tied-to-cambodia-dispute/

    กฎหมายการพนันฉบับใหม่ของกัมพูชาจะมีการเรียกเก็บภาษี 7% ของรายได้จากเกมการพนัน (Gross Gaming Revenue: GGR) แต่ยังไม่อนุญาตให้ประชาชนเล่นการพนัน

    กฎหมายฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากธุรกิจการพนันจะรวมภาษี 7% สำหรับ GGR ที่ได้จากผู้เล่นจำนวนมาก และ 4% สำหรับรายได้ระดับวีไอพี ยกเว้นผู้ให้บริการคาสิโนรายนั้นเป็นรีสอร์ทแบบครบวงจร

    คาสิโนแห่งใหม่จะต้องอยู่ห่างจากเมืองหลวงพนมเปญอย่างน้อย 200 กิโลเมตร และจะมีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลใหม่เพื่อดูแลภาคธุรกิจ

    หลังจากได้รับเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ร่างกฎหมายจะถูกส่งให้สภาแห่งชาติและวุฒิสภาพิจารณา ขั้นตอนสุดท้ายคือการประกาศใช้โดยกษัตริย์

    นอกจากนี้ยังกัมพูชายังผ่านกฎหมายใหม่อีกฉบับที่กำหนดให้ธุรกิจคาสิโนต้องจัดทำรายงาน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการให้เงินอุดหนุนต่อการก่อการร้ายในประเทศ

    ภายใต้กฎหมายนี้คาสิโนต้องจัดส่งรายงานเช่นเดียวกับธนาคาร บริษัทการลงทุน ธุรกิจบริการโอนเงิน ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ ธุรกิจจะต้องรายงานธุรกรรมเงินสดตามจำนวนเงินที่หน่วยข่าวกรองทางการเงิน (Cambodian Financial Intelligence Unit) ของกัมพูชากำหนดและจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า

    หากไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ ก็มีบทลงโทษ ทั้งค่าปรับและการเพิกถอนใบอนุญาต

    การกระทำผิดฐานฟอกเงินในกัมพูชาจะถูกตัดสินจำคุก 5 ปีซึ่งสามารถเพิ่มได้เป็น 20 ปีหากพิสูจน์แล้วว่าธุรกรรมดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการก่อการร้าย

    ประชาชนกัมพูชาไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นการพนันและจะไม่มีการออกใบอนุญาตคาสิโนใหม่ในรัศมี 200 กิโลเมตรรอบเมืองหลวงในช่วงที่เหลือของปี 2020

    นาคา คอร์ป (Naga Corp) ผู้ให้บริการคาสิโนชั้นนำในประเทศ ได้กลับมาให้บริการในสัปดาห์นี้ ในพื้นที่เครื่องเล่นและโต๊ะวีไอพีหลังจากปิดชั่วคราวในช่วงที่โควิด-19 ระบาด

    ปัจจุบันในกัมพูชามีคาสิโน 193 แห่งที่ได้ใบอนุญาต

    ธนาคารชาติลาวออกกฎคุมแลกเงินกีบ

    ที่มาภาพ: https://jclao.com/lao-central-bank-imposes-new-regulation-for-currency-exchanges/

    ธนาคารแห่ง สปป.ลาวได้ออกหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อดูแลธุรกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราท่ามกลางการแข็งค่าของสกุลเงินต่างประเทศเมื่อเทียบกับเงินกีบของลาว

    เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 นายสอนไซ สิดพะไซ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่ง สปป.ลาว ได้ลงนามในประกาศเรื่องธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากสกุลเงินของประเทศอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ

    ธนาคารแห่ง สปป.ลาวได้ให้คำมั่นต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จะพยายามอย่างดีที่สุดในการรักษามูลค่าของเงินกีบของลาวเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศที่สำคัญให้เคลื่อนไหวไม่เกิน 5%

    ประกาศของธนาคารแห่ง สปป.ลาวซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ระบุว่า บุคคลและนิติบุคคลใดที่ต้องการดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราจะต้องได้รับใบอนุญาตจากธนาคารกลาง

    ทั้งนี้ นิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและการท่องเที่ยว และมีคุณสมบัติตามที่กำหนดเท่านั้น ที่มีสิทธิ์รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราจากธนาคารกลางภายใต้ประกาศใหม่นี้

    เมื่อได้รับอนุมัติ ธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและคำสั่งที่กำหนดโดยธนาคารกลางอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นจะมีบทลงโทษหนักรวมถึงโทษค่าปรับและการยกเลิกใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

    ภายใต้ข้อบังคับที่ 7 ของประกาศเรื่องธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรานี้ ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ฝ่าฝืนกฎของธนาคารกลางจะได้รับการแจ้งเตือนก่อน แต่หากกระทำผิดซ้ำจะมีบทลงโทษด้วยการชำระค่าปรับหรือถูกสั่งปิด

    ตามกฎแล้วการแลกเปลี่ยนเงินตราจะต้องไม่เสนอบริการนอกสถานที่ประกอบธุรกิจที่ประกาศไว้ มิฉะนั้นต้องโทษปรับ 3 ล้านกีบต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่ได้รับอนุญาตให้แลกเงินกับธนาคารพาณิชย์โดยตรง มิฉะนั้นจะถูกโทษปรับ 5 ล้านกีบต่อครั้ง

    กฎอีกข้อหนึ่งที่ธุรกิจต้องปฏิบัติคือการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนตามกฎระเบียบและอัตราของธนาคารกลาง หากไม่ปฏิบัติต้องโทษปรับ 5 ล้านกีบต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง

    นอกจากนี้ธุรกิจจะต้องแสดงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่ง สปป.ลาวสามารถตรวจสอบความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ และจะต้องรายงานอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไปยังธนาคารแห่ง สปป.ลาวทุกวัน หากไม่ปฏิบัติจะต้องโทษ 100,000 กีบต่อวัน

    ธนาคารแห่ง สปป.ลาวได้กำหนดกระบวนการออกใบอนุญาตธุรกิจและกระบวนการอนุมัติที่โปร่งใส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราได้รับใบอนุญาตดำเนินการ รวมทั้งได้ให้รายละเอียดและกรอบระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตไว้ด้วย

    ไทยร่วมประชุมขนส่งอาเซียน-จีน

    นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
    นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด-19 (ASEAN and China Transport Ministers’ Special Meeting on COVID-19) ด้วยระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 โดยมีนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม, นายชยธรรม์ พรหมศร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร, นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก, ผู้แทนจากกรมเจ้าท่า กรมทางหลวง กรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กองการการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม และมีรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน 10 ประเทศ จีน และสำนักเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องราชดำเนิน กระทรวงคมนาคม

    การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมเชิงสัญลักษณ์ของความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนและจีนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันระบุความท้าทายที่มีต่อการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในด้านการขนส่ง และออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ราบรื่นเพื่อต่อสู้กับโควิด-19

    ในการนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการเพื่อควบคุมและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจภายในประเทศจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในภูมิภาค และส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านห่วงโซ่อุปทานให้เข้มแข็งมากขึ้นและลดความเปราะบาง โดยเปิดให้โลจิสติกส์ภายในประเทศ ระหว่างประเทศ และห่วงโซ่อุปทานสามารถดำเนินการได้ โดยเฉพาะในการค้าและการขนส่งยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าที่จำเป็นอื่นๆ ผ่านทางการขนส่งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ภายใต้มาตรการที่ได้กำหนดไว้

    ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการผ่อนคลายมาตรการที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่ยังคงดำเนินมาตรการการรักษาความสะอาดและการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในรอบ 2 ส่งผลให้ประชาชนเริ่มปรับตัวกับการดำเนินชีวิตแบบวิถีใหม่ โดยเฉพาะการเดินทางแบบวิถีใหม่

    นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ขอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนเชื่อมั่นในการคงไว้ซึ่งมาตรการเปิดการขนส่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและผ่านแดนของสินค้าที่จำเป็น การบริการ และประชาชน บนพื้นฐานมาตรการด้านสาธารณสุข และสนับสนุนการแบ่งปันข้อมูล แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอและรวดเร็ว เพื่อสู้กับโควิด-19 เพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการที่จำเป็นและสำคัญ

    พร้อมทั้งยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่จะกระชับความร่วมมือและความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนและความร่วมมือกับจีนในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และภายหลังการแพร่ระบาด เพื่ออาเซียนและจีนจะสามารถรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ไม่สามารถาดการณ์ได้ รวมทั้งความท้าทายภายในและภายนอกในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง โดยมุ่งหน้าไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเป็นประชาคมแห่งอนาคตที่เป็นแรงผลักดันสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมโลกต่อไป