ThaiPublica > เกาะกระแส > ก.ล.ต.ปรับ 3 รายใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น STEC กว่า 12 ล้านบาท

ก.ล.ต.ปรับ 3 รายใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น STEC กว่า 12 ล้านบาท

16 มีนาคม 2020


ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง”วรพันธ์ ช้อนทอง-ศศิภัสช์ ช้อนทอง-ปรียา วงศ์ส่องจ้า ใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น STEC ปรับกว่า 12 ล้านบาท

ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดรวม 3 ราย ได้แก่ (1) นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรณีอาศัยข้อมูลภายในขายหุ้นบริษัท ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STEC) และเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น (2) นางสาวปรียา วงศ์ส่องจ้า กรณีช่วยเหลือนายวรพันธ์ขายหุ้น STEC โดยอาศัยข้อมูลภายใน และ (3) นางสาวศศิภัสช์ ช้อนทอง กรณีขายหุ้น STEC โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ซึ่งเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง รวมจำนวน 12,775,120 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามบุคคลทั้งสามเป็นกรรมการแล ะผู้บริหาร

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นายวรพันธ์ได้รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในจากการเป็นผู้บริหารที่ดูแลสายงานการเงินและบริหาร และสามารถประเมินหรือคาดการณ์ได้ว่าผลการดำเนินงานประจำปี 2560 ของ STEC จะมีผลขาดทุนจำนวนมากจากการตั้งสำรองผลขาดทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยนายวรพันธ์ได้ขายหุ้น STEC ของตนที่อยู่ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปรียา ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 จำนวน 1,121,000 หุ้น ทำให้ได้ประโยชน์จากการขายหุ้น STEC โดยหลีกเลี่ยงการขาดทุน จากผลการดำเนินงานประจำปี 2560 ของ STEC ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 610.83 ล้านบาท ก่อนการเปิดเผยต่อสาธารณะในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561

นอกจากนี้ นายวรพันธ์ได้เปิดเผยข้อมูลภายในให้แก่นางสาวศศิภัสช์ (บุตรสาวของนายวรพันธ์) โดยรู้หรือควรรู้ว่านางสาวศศิภัสช์อาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการขายหุ้น STEC ซึ่งนางสาวศศิภัสช์ได้ขายหุ้น STEC ของตนเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 จำนวน 91,900 หุ้น ทำให้ได้ประโยชน์จากการขายหุ้น STEC โดยหลีกเลี่ยงผลขาดทุนเช่นเดียวกับนายวรพันธ์

การกระทำของนายวรพันธ์เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในและเปิดเผยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1)(2) ประกอบมาตรา 243(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ที่แก้ไขโดยฉบับที่ 5 ส่วนนางสาวปรียาได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายวรพันธ์ในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติในมาตรา 242(1) อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 315 ประกอบมาตรา 242(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

สำหรับการกระทำของนางสาวศศิภัสช์เป็นการขายหุ้น STEC โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในที่ได้รับทราบจากนายวรพันธ์ อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 244(3) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ที่แก้ไขโดยฉบับที่ 5

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายวรพันธ์ นางสาวปรียา และนางสาวศศิภัสช์ โดยให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดให้แก่ ก.ล.ต. รวมเป็นเงิน 11,394,400 บาท 548,725 และ 831,995 บาท ตามลำดับ และกำหนดระยะเวลาห้ามนายวรพันธ์ นางสาวปรียา และนางสาวศศิภัสช์ เป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 26 เดือน 9 เดือน และ 12 เดือน ตามลำดับ ทั้งนี้ การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง

หากผู้กระทำความผิดทั้ง 3 รายไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ชำระค่าปรับทางแพ่งตามอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดแก่ ก.ล.ต. รวมทั้งขอให้ศาลแพ่งกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 เท่าของระยะเวลาที่ ค.ม.พ. กำหนด และระยะเวลาห้ามเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์หรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามระยะเวลาสูงสุดที่กฎหมายกำหนด