ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” งดให้สัมภาษณ์นักข่าว เตือน ปชช. เสพ “สื่อโซเชียล” อย่างมีสติ – มติ ครม.แจงฐานะการคลังปี 61 แข็งแกร่ง

“บิ๊กตู่” งดให้สัมภาษณ์นักข่าว เตือน ปชช. เสพ “สื่อโซเชียล” อย่างมีสติ – มติ ครม.แจงฐานะการคลังปี 61 แข็งแกร่ง

2 เมษายน 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ เช่น พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 1 กองบิน 6 ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจเยี่ยมกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์หมอกควัน กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า และส่งมอบอุปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติงาน หลังพบว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามลพิษทางอากาศของเชียงใหม่และเชียงรายสูงขึ้นจนติดทอป 3 ของประเทศที่มีค่าฝุ่นพิษอยู่ในเกณฑ์อันตราย

บินด่วนเชียงใหม่ แก้ฝุ่นพิษ – ดับไฟป่าใน 7 วัน – เผย ร.10 ทรงห่วงใย

โดยการตรวจราชการครั้งนี้มีการประชุมติดตามสถานการณ์การจัดการและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่า การประชุมนี้มีเพื่อให้เกิดการจัดการปัญหาไฟป่าอย่างบูรณาการในภาพกว้าง ซึ่งเมื่อมีไฟป่าเกิดขึ้นให้รีบจัดการ ซึ่งอาจต้องมีการใช้เฮลิคอปเตอร์เข้าช่วย ตนขอให้ทุกคนทุ่มเทเสียสละ สำหรับเรื่องเครื่องมือตนจะรีบดำเนินการจัดหาให้ ขอขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแก้ปัญหา พร้อมขอความร่วมมือชาวบ้านช่วยกันเฝ้าระวังด้วย และติดตามข่าวสารในโซเชียลมีเดีย เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาได้ทันเวลา ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วพลัน

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงกำชับมาให้แก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เราต้องทำเพื่อถวายพระเกียรติ ซึ่งใกล้จะถึงงานพระราชพิธีสำคัญ ที่ใกล้จะมีพิธีตักน้ำพลีกรรม ขอให้ทุกคนทำงานเพื่อถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในงานพระราชพิธีด้วย ขอให้ทุกคนสู้ๆ โดยสู้กับความไม่ดี ความอันตรายต่างๆ ถ้าเราคนไทยไม่ช่วยกันใครจะช่วย ใครจะทำให้ เราคือคนไทยใช่หรือไม่ ก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาประเทศไทยในทุกเรื่อง ใครก็ตามที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนกฎหมายต้องถูกดำเนินคดีทุกอย่าง” 

พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทหารและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ต้องมีชุดกระจายพื้นที่เข้าไปยังจุดอันตรายเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างทันทวงที โดยการลาดตระเวนขอให้คำนึงถึงความปลอดภัย ระมัดระวังไม่ให้เกิดความสูญเสียเพิ่ม ขณะเดียวกันได้มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านไปแล้ว และเตรียมแผนการแก้ปัญหาระยะยาวคือ 5 ปีขึ้นไป โดยเน้นย้ำให้การบูรณาการแก้ปัญหาจะต้องทำให้สถานการณ์ดีขึ้นภายใน 7 วัน ทั้งนี้ตนไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้ปัญหาหมดไปได้ภายใน 7 วัน เพราะต้องยอมรับว่าปัญหานี้ต้องใช้เวลา

“เราไม่ได้ใช้อุปกรณ์ทางการทหารเพื่อทหารอย่างเดียว แต่ต้องดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ดูแลเรื่องภัยพิบัติ แม้ภารกิจนั้นจะไม่ใช่ภารกิจของทหารโดยตรง เราต้องดูแลพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ต้องดูแลให้ได้ วันนี้มาเพื่อให้กำลังใจ ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ เราต้องรู้สาเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร ต้องหาให้เจอ ขอบคุณและรักทุกคน ขอให้ปลอดภัยทุกคน และต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่จุดไฟเผาพื้นที่ทางการเกษตร วันนี้ต้องแยกแยะให้ออกในเรื่องของค่าฝุ่นละออง PM2.5 ด้วย และชี้แจงประชาชน ไม่ใช่นั้นก็จะสับสนกันไปหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ตนนำคณะลงพื้นที่วันนี้เนื่องจากยังไม่พอใจผลของการทำงานเพื่อแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ แต่ไม่ใช่ไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะรู้ว่าทุกฝ่ายได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลกลุ่มของเด็กและผู้สูงอายุซึ่งมีความอ่อนไหวต่อปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้น ซึ่งได้ภาครัฐได้มีการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นละอองให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่แล้วประมาณ 1,700,000 ชิ้น และโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมความพร้อมแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่จะจัดให้มีการประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดบุพพาราม

งดให้สัมภาษณ์นักข่าว เตือน ปชช. เสพ “สื่อโซเชียล” อย่างมีสติ

เวลา 17.30 น. ภายหลังประชุม ครม.เสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรียังคงปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์และตอบคำถามสื่อมวลชน แต่ได้ฝากคำตอบให้แก่ พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจง และตอบคำถามสื่อมวลชน

พล.ท. วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีระบุถึงเหตุผลของการออกสารของนายกรัฐมนตรี 2 ครั้งที่ผ่านมาว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว ถือเป็นช่องทางในการสื่อสารของนายกรัฐมนตรีในการแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ อยากให้ทุกคนใช้สติ และเหตุผลในการรับข้อมูล

“ไม่อยากใช้คำว่าเตือนสติ แต่เป็นการที่จะทำให้เราใช้วิจารณญาณในการรับและเชื่อมข้อมูลต่างๆ เพราะในช่วงเวลานั้นมีข้อมูลออกมาจำนวนมากผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยอยากให้ใช้สติและเหตุผลมากกว่าอารมณ์ในการรับฟังข้อมูล หรือตัดสินว่าข้อมูลที่ได้รับทราบผ่านโซเชียลมีเดียมีความจริงหรือไม่อย่างไร”

ต่อคำถามว่าสารทั้ง 2 ฉบับมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าทีของ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) หรือไม่นั้น พล.ท. วีระชน ระบุว่า นายกรัฐตรีปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะช่วงนั้นนายกฯ ไม่ทราบว่า พล.อ. อภิรัชต์ นั้นพูดว่าอะไร สิ่งที่อยู่ในสาร 2 ฉบับนั้นมาจากท่าทีและความรู้สึกของนายกรัฐมนตรีเอง ว่ามีความห่วงใยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากให้ทุกคนใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะกำลังแถลงผลการประชุม ครม. ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

แจง “บิ๊กแดง” ใช้คำ “ฝ่ายซ้าย” เหตุมีขบวนการบ่อนทำลาย

พล.ท. วีรชน ตอบคำถามเรื่องที่ว่า การตอบโต้นักวิชาการที่เห็นต่างในหลักการประชาธิปไตยโดยมีการใช้คำว่า “ฝ่ายซ้าย” ของ ผบ.ทบ. จะทำให้สังคมกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนในอดีตหรือไม่ โดยบอกว่านายกรัฐมนตรีคิดว่าคงไม่ได้หมายความตามนั้นทั้งหมด แต่การที่ พล.อ. อภิรัชต์ ออกมาพูดเช่นนั้น ประชาชนน่าจะทราบดีว่ามีสาเหตุจากขบวนการ หรือความพยายามที่อาจจะใช้คำว่า “การบ่อนทำลาย” อยู่บ้าง จึงแสดงท่าทีออกไปเช่นนั้น แต่ท่านคงไม่ได้เหมารวมว่าตอนนี้สถานการณ์รุนแรงไปถึงขั้นนั้น เพียงแต่เป็นการเตือนสติสังคมเท่านั้น

“เลือกตั้ง”แล้ว ประเทศกำลังเดินหน้า วอน ปชช.อย่าเชื่อข่าวลวง

พล.ท. วีรชน ตอบคำถามถึงสภาวะที่สังคมเริ่มมีความแตกต่างมากขึ้น นายกรัฐมนตรีจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรไม่ให้เกิดความขัดแย้งแบบในอดีต นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นว่า วันนี้ประเทศไทยเข้ามาถึงจุดที่มีการเลือกตั้งและไทยกำลังเดินหน้าไปสู่ประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เราอยู่ในขั้นตอนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้น สิ่งที่อยากจะเห็นคือเราต้องมองไปข้างหน้า เราต้องพยายามเดินหน้าและไม่สร้างเงื่อนไขที่จะทำให้เราถอยหลังกลับไปอีก

“ท่านนายกฯ มีความเชื่อมั่นว่า เหตุการณ์เหล่านี้ ตามที่สื่อกังวลจะไม่เกิดขึ้น หากประชาชนใช้สติ เหตุผล มากกว่าอารมณ์ และไม่หลงเชื่อการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารต่างๆ และสิ่งเหล่านี้ที่ออกมาในลักษณะการบิดเบือน ทำให้คนหลงเชื่อ เพราะเราอยู่ในช่วงที่มีเรื่องราวที่อาจทำให้คนใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ตรงนี้เป็นอัตรายต่อประเทศชาติ และต่อประชาชนเอง แต่เรื่องที่ใครจะคิดอย่างไรทำอย่างไร รัฐบาลบังคับไม่ได้ เพียงแต่ขอร้องให้ใช้เหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์”

ชี้ นศ.เคลื่อนไหว พวกหน้าเก่า – ใครหนุนอยู่สื่อรู้ดี

พล.ท. วีรชน ตอบคำถามถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกรณีที่มีการปลุกกลุ่มนักศึกษาขึ้นมาเคลื่อนไหวกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง และมองว่าเหตุการณ์นี้มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีเห็นว่า จริงๆ ตอนนี้เราก็เห็นอยู่ว่ามีความพยายามจากฝ่ายไหนบ้าง คงไม่ต้องพูดให้ชัดเจนมากกว่านี้ ประชาชนเห็นกันอยู่แล้วเรื่องของการเมืองปัจจุบันว่าฝ่ายไหนมีการดำเนินการอย่างไร มีความพยายามที่จะทำให้สถานการณ์ไปสู่จุดไหนอย่างไรบ้าง

“จริงๆ แล้วสื่อและบุคคลที่ก่อเหตุรู้อยู่แล้ว แต่ก็อยากขอความร่วมมือสื่อมวลชน เพราะเป็นผู้ที่มีข้อมูลเชิงลึก และติดตามข้อมูลกันอย่างใกล้ชิดตลอดมา ก็น่าจะสามารถช่วยตอบคำถามนี้ได้ แต่สำหรับรัฐบาล เราไม่อยากไปปรักปรำใคร แต่อยากให้สื่อเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่สาธารณชน เราก็รู้อยู่แล้วว่ากลุ่มไหนใครเป็นคนทำ เพราะที่ผ่านมาก็มักเป็นกลุ่มคนเดิมๆ ไม่ใช่คนหน้าใหม่ และมีการเรียกร้องมาก่อนการเลือกตั้งว่า การเลือกตั้งต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอมีการเลือกตั้งเสร็จก็มีเรื่องอื่นๆ เรียกร้องตามมา จึงเกิดเป็นเหตุการณ์เช่นที่เห็น”

วอนเปิดใจฟัง กตต.แจง “สูตรคำนวณ ส.ส. – บัตรเสียนิวซีแลนด์”

พล.ท. วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีตอบคำถามกรณีการไม่เปิดเผยหรือชี้แจงเรื่องสูตรคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อของ กกต. นั้น จะทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อการเลือกตั้งครั้งนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่ว่า อยากให้ประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ฟัง กกต.ชี้แจง และขอให้เปิดใจฟังเหตุผลของ กกต.บ้าง ซึ่งที่ผ่านมา กกต.ก็มีการพยายามชี้แจงเป็นระยะๆ ตามแต่ละขั้นตอน

“ไม่อยากให้ทุกคน และสังคมด่วนสรุปหาคำตอบให้ตนเองกันเร็วเกินไป อยากให้ใจเย็นๆ ใช้เหตุผลในการตัดสินใจและคิดบนพื้นฐานของการใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ แต่ก็อย่างที่บอกไปว่ารัฐบาลไม่สามารถไปบอกได้ว่าต้องติดแบบไหนทำแบบไหน แต่ขอร้องว่าให้ใช้เหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์ ทุกอย่างมีกฎกติกา”

ต่อกรณีคนไทยในนิวซีแลนด์ เรียกร้องต่อกระทรวงการต่างประเทศผ่านเฟซบุ๊ก เรียกร้องความรับผิดชอบจากกระทรวงการต่างประเทศและนายกรัฐมนตรีนั้น พล.ท. วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเห็นว่า เรื่องดังกล่าวขอให้ กกต.เป็นผู้ชี้แจง และขอให้ประชาชนรับฟัง กกต.สักนิด เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีข่าวออกมาทางโซเชียลมีเดีย หลายๆ ฝ่ายก็จะเอาความคิดของตนมาตัดสิน ถามเองตอบเอง เอาหลักคิดของตัวเองมาตอบ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ ไม่รอที่จะฟังคำอธิบายจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจริงๆ ไม่มีทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดได้ ต้องใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์

ไม่หวั่นแรงกดดันโลก หาก ปชช. ไม่เล่นด้วย ตปท.ก็แทรกแซงไม่ได้

พล.ท. วีรชน ตอบคำถามเรื่องมีความกังวลต่อกระแสกดดันของโลกเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือไม่ว่า นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเราเป็นเรื่องราวของประเทศเรา หากภายในประเทศไม่สร้างความกดดัน ต่างประเทศก็จะเข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้ แต่ที่เราเห็นคือ มีความพยายามที่จะให้เรื่องราว ซึ่งจริงๆ มีทางแก้ไข และมีคำอธิบายได้ ให้ลุกลามบานปลาย

“ก็เน้นย้ำว่า หากเราไม่สร้างแรงกดดันขึ้นมาเองแล้ว ต่างประเทศหรือโลกก็กดดันไทยไม่ได้ เว้นแต่มีการพยายามทำให้ลุกลามบานปลายขึ้นไปจากผู้ไม่หวังดี ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เป็นหน้าที่ กกต.ที่จะตอบคำถาม และข้อสงสัยต่างๆ “

มติ ครม.มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

แจงฐานะการคลังปี 61 แข็งแกร่ง

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวว่า ครม.รับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังปีงบประมาณ 2561 ซึ่งเป็นการประเมินความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากผลกระทบของเศรษฐกิจมหภาค ระบบการเงิน นโยบายของรัฐบาล และผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยสถานการณ์การคลังของรัฐบาลอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังตามระบบกระแสเงินสด จำนวน 2,524,249 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อน 7.2% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณมีจำนวน 3,007,203 ล้านบาท สามารถเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ 92% ของประมาณการ ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 482,954 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน ส่วนเงินคงคลังปลายปีมีจำนวน 633,436 ล้านบาท และสัดส่วนหนี้สาธารณะคิดเป็น 42% ของจีดีพี ซึ่งยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี

สำหรับกองทุนนอกงบประมาณ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 224,729 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดสรรงบประมาณให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ด้านรัฐวิสาหกิจพบว่ามีความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับต่ำ สถานะของรัฐวิสาหกิจยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยมีเงินนำส่งรัฐ 103,152 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.2% จากปีก่อนหน้า แต่ยังมีรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่ยังอยู่ในภาวะขาดทุนสะสมและเป็นภาระความเสี่ยงของรัฐบาล จำนวน 218,405 ล้านบาท ด้านสถาบันการเงินของรัฐ ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รัฐบาลยังไม่มีภาระต้องเพิ่มทุนในปีงบประมาณ 2561 แต่มีภาระในปีงบประมาณ 2562 ที่ต้องเพิ่มทุนธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย วงเงิน 16,079 ล้านบาท สุดท้าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังคงพึ่งพารายได้ส่วนใหญ่จากรัฐบาลเป็นหลัก โดยมีเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 253,792 ล้านบาท และรายได้จากรัฐบาลแบ่งให้ 130,094 ล้านบาท โดยมีการจัดเก็บเอง 10.8% ของรายได้ทั้งหมด

เร่งผลักดัน “เอกสารราชการดิจิทัล” เล็งยกเลิกกระดาษปี 63

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล ตามที่ ก.พ.ร. (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) เสนอ โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA กำหนดมาตรฐานการดำเนินงานทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและเกิดความปลอดภัย ป้องกันการปลอมแปลง สามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ รวมทั้งให้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการในรูปแบบดิจิทัลได้ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ อนุญาต และการออกเอกสารต่างๆ

ทั้งนี้ ในช่วงเปลี่ยนแผน ให้หน่วยงานดำเนินการผ่านระบบดิจิทัลควบคู่ไปกับการให้บริการปกติได้ โดยให้ปรับปรุงแก้กฎระเบียบที่กำหนดให้ผู้ยื่นคำขอจะต้องไปรับใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 และจัดทำแผนพัฒนางานบริการให้เป็นระบบ e-Services หลังจากนั้นกำหนดระยะเวลาให้ยกเลิกการใช้กระดาษให้ได้ภายในปี 2563 หากหน่วยงานใดยังไม่พร้อมให้แจ้งสำนักงาน ก.พ.ร.ทราบภายในเดือนมีนาคม 2562

อนึ่ง ก.พ.ร.มีเป้าหมายให้ภาครัฐจะต้องพัฒนางานบริการให้เป็นระบบ e-services จำนวนรวมเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 50 งานบริการ ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีบางหน่วยงานได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น กรมการจัดหางาน ใช้ digital work permit ของคนต่างด้าวบนมือถือแทน สำนักงานประกันสังคมได้ยกเลิกบัตรผู้ประกันตนและเชื่อมโยงรหัสบัตรประชาชนเข้ากับฐานข้อมูลของหน่วยงานแทน เป็นต้น

บังคับผู้สูงอายุต่างชาติทำประกันก่อนเข้าไทย

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติในหลักการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การทำประกันสุขภาพสำหรับคนต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว หรือ non-immigrant visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องพร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึง และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับสมาคมประกันที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดเตรียมช่องทางสำหรับซื้อประกันสุขภาพในรูปแบบออนไลน์ให้มีความพร้อมรองรับ

“ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและมีเหตุต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลในไทย ซึ่ง สธ. ได้รับรายงานข้อมูลจากสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชนว่ามีชาวต่างชาติจำนวนมากที่เข้ารับการรักษาพยาบาลแต่ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอสำหรับใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลจึงก่อให้เกิดปัญหาหนี้สูญแก่สถานพยาบาลโดยเฉพาะในสถานพยาบาลภาครัฐทั่วประเทศ โดยสถานพยาบาลต้องให้การรักษาชาวต่างชาติทุกรายตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มประสิทธิภาพแม้ว่าจะไม่อาจจัดเก็บค่ารักษาพยาบาลได้ ทั้งนี้ ในปี 2561 จากนักท่องเที่ยว 38 ล้านคน มีจำนวนการรักษาพยาบาล 3.42 ล้านครั้ง และไม่ชำระหนี้ 680,000 ครั้ง เป็นมูลค่า 305 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้เกิดกลไกและมาตรการคุ้มครองชาวต่างชาติทางด้านสุขภาพ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องผลักดันนโยบายการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศ ในระยะเริ่มแรกของนโยบายพิจารณาแล้วเห็นควรดำเนินการนำร่องในกลุ่มคนต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว non-immigrant visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) หรือกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีที่มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไทย จำนวน 80,950 ราย” นายณัฐพรกล่าว

ไฟเขียวร่างแถลงการณ์ประชุม “รมว.คลัง – ผู้ว่าแบงก์ชาติ” อาเซียน

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 5 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 5 ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีกำหนดการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในวันที่ 5 เมษายน 2562 ณ จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและความท้าทายด้านนโยบาย การรวมตัว และการเปิดเสรีบริการด้านการเงิน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน ความเชื่อมโยงระบบการชำระเงินและบริการทางการเงิน การระดมทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเงินที่ยั่งยืน การเข้าถึงบริการทางการเงิน การระดมทุนเพื่อการบริหารจัดการภัยพิบัติ การสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ และความร่วมมือด้านกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับทั้งนโยบายรัฐบาลในปัจจุบันและแนวคิดหลักของการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของประเทศไทยในปี 2562 คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) และจะช่วยกระความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัฐสมาชิกอาเซียนต่อไป

อ่านมติครม.ประจำวันที่ 2 เมษายน 2562เพิ่มเติม