ThaiPublica > เกาะกระแส > ธนาธร-อนาคตใหม่ 1 ขวบ พิเคราะห์ “ทักษิณ” ถีบหัวเรือส่ง คนที่เขามองว่า “เขี้ยว มีไพ่หลายใบ” โยกทรัพย์สิน 5 พันล้านเข้า Blind Trust

ธนาธร-อนาคตใหม่ 1 ขวบ พิเคราะห์ “ทักษิณ” ถีบหัวเรือส่ง คนที่เขามองว่า “เขี้ยว มีไพ่หลายใบ” โยกทรัพย์สิน 5 พันล้านเข้า Blind Trust

14 มีนาคม 2019


***หมายเหตุ: ข้อมูลจากหนังสือ “Portrait ธนาธร” สัมภาษณ์โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2561

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มาภาพ : เฟซบุ๊กพรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party

15 มีนาคม 2561 คือวันที่พรรคอนาคตใหม่ ลืมตาดูโลกการเมือง วันแรก

ด้วยอีเวนต์ “จิบกาแฟกับธนาธร” พร้อมผู้ก่อตั้งพรรค 27 คน

4 เดือนหลังจดทะเบียนพรรค “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค “ไพร่หมื่นล้าน” ประกาศภารกิจ-คิดการใหญ่ ว่า “การเลือกตั้งครั้งต่อไป ภารกิจใหม่ คือ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลเป็นทางผ่านเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ อย่างช้าที่สุด คือ การเลือกตั้งครั้งหน้า…การขายความใหม่อาจจะขายได้เพียงครั้งนี้ อนาคตระยะยาวของประเทศ เราจะสู้ให้ถึงที่สุดในทุกสถานการณ์”

เพียง 1 ปี พรรครวบรวมไพร่พล ลงรับสมัครผู้แทนราษฎรระบบเขตครบทั้ง 350 เขต ระบบบัญชีรายชื่ออีก 124 คน ฐานสมาชิกทั่วประเทศ 48,076 คน

มีการคาดการณ์ผลการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ว่าพรรคอนาคตใหม่ จะได้ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อต่ำสุด 5 คน สูงสุดถึง 40 คน

คีย์เวิร์ด นโยบายสำคัญ ที่ถูกพูดผ่าน “ธนาธร” คือ ปักธงประชาธิปไตย ต่อต้านระบอบ คสช., ฉีก ล้ม รัฐธรรมนูญปี 2560, ล้างมรดกรัฐประหาร และไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

ชื่อ “ธนาธร” แทบจะถูกพูดถึงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งในโลกเสมือนจริง และโลกการเมืองที่แท้

หัวหน้าพรรคการเมืองที่อายุน้อยที่สุด-หน้าใหม่ที่สุด ในวัย 40 ปี มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองและนักการเมือง ที่อยู่ในห้วงความทรงจำเขาทั้งทางบวกและทางลบ 4 คน

คนแรก “ทักษิณ ชินวัตร” เขามีความทรงจำ “ด้านลบ” ในเหตุการณ์ที่ทักษิณ “โฟนอิน เข้าม็อบเสื้อแดง ช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่บอกว่า พี่น้องหยุดพายเรือได้แล้วนะ มาส่งผมเท่านี้พอแล้ว…”

“เราเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้ง 2548, 2554 ผมไม่ได้เลือกคุณทักษิณ ผมเลือกเขาตอนหลังรัฐประหาร 2549 เลือกพรรคพลังประชาชน และมาเลือกเพื่อไทย”

“ซึ่งท้ายสุด เขา (ทักษิณ) มาบอกว่าไม่ใช่ พอแล้ว เขาไปต่อเอง”

“เขา (ทักษิณ) ไปที่ไหน เราไม่รู้ แต่เขาบอกว่าเขาจะไปต่อเอง อ้าว แล้วที่ผ่านมา ถ้ารู้แบบนี้กูจะไปกับมึงทำไมวะ เรารู้สึก…”

คำว่า “พี่น้องหยุดพายเรือ มาส่งเท่านี้พอแล้ว เขาไปต่อเอง” ทำให้ “ธนาธร” รู้สึก “แง่หนึ่งก็ดีใจ จะได้ชัดเจนเสียที มันก็ไม่อึมครึม สิ่งที่ชัดคือ ความฝันของเขากับความฝันของเรามันไม่เหมือนกันแล้ว อาจจะใกล้กันบ้างในบางสถานการณ์ แต่จุดมุ่งหมายคนจะจุดแล้ว มองดาวคนละดวง”

“ช่วงนั้นเราตระหนักเลย ว่าต้องมีพรรคการเมืองใหม่แล้ว ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราเล็งเห็นตั้งแต่ตอนนั้น แต่ไม่คิดว่าต้องมาทำเอง”

ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก
พรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party

มุมมองต่อ “ทักษิณ” ในด้านบวก “ธนาธร” บอกว่า “เป็นคนที่ต้องเรียนรู้มากที่สุด เพราะเขาประสบความสำเร็จมากที่สุด ในฐานะนักการเมือง”

“อาจพูดได้ว่า เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยด้วยซ้ำไป ในแง่ของการเป็นนักการเมือง เอานโยบายที่หาเสียงไปทำให้เป็นจริง พิจารณาแง่นี้ เขาอาจเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกด้วยซ้ำ ยังไงก็ต้องศึกษาเขา”

“เขาเป็นจีเนียสจริงๆ คือเขาสร้างนโยบายที่มันตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ และไม่ได้สร้างนโยบายอย่างเดียว แต่สามารถเอาไปทำได้จริงๆ ซึ่งในแง่นี้มันสั่นคลอนระบอบการเมืองไทยแบบเก่าทั้งระบอบเลย ยังไงก็ต้องศึกษา รวมทั้งหลายบทเรียน ไม่ว่าเรื่องความเกี่ยวข้องกับครอบครัว มันจะทำให้พรรคอ่อนแอ และถ้าเกี่ยวเยอะเท่าไหร่ ผมเป็นอะไรขึ้นมา ครอบครัวก็จะโดนด้วย”

ในแง่บทเรียนจาก “ทักษิณ” บทสุดท้ายต้องถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน “ธนาธร” เตรียมตัวสำหรับการแก้โจทย์ไม่ให้ซ้ำรอย กับทรัพย์สินที่เขาประเมินคร่าวๆ ว่าน่าจะมีถึง “ห้าพันล้าน” ด้วยการใช้บริการ “blind trust”

“ทรัพย์สิน มีเท่าไร ยังไม่เคยนับ ยุ่งฉิบผง เพิ่งมานับเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ปวดหัว ให้ผมเดาคร่าวๆ ชื่อผม …ให้เดานะคร่าวๆ สามพัน สี่พัน ห้าพันล้าน ราวๆ นั้น คือนับยังไม่เสร็จ ไม่ได้รวยระดับแสนล้านแบบนายทุนคนอื่น ก็พออยู่ได้จนหลานเราก็ไม่อดตาย อยู่ไปถึงหลานได้” ธนาธรลองนับในใจ

“แค่เงินปันผลจากหุ้นอย่างเดียวผมว่าน่าจะสัก 10 ล้าน แค่นี้ก็ใช้ไม่หมดแล้ว ปีหนึ่งๆ”

“เรื่องการบริหารทรัพย์สินด้วย ผมตั้งใจจะเอาทรัพย์สินของผมทั้งหมดใส่ blind trust ที่นักการเมืองต่างประเทศทำกัน ประธานาธิบดีอเมริกาทำแบบนี้หมด ยกเว้นโดนัลด์ ทรัมป์”

“blind trust คือเอาทรัพย์สินทั้งหมดไปให้บุคคที่สาม และบุคคลที่สามมีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารทรัพย์สินของผม ผมไม่มีอำนาจแม้แต่จะไปสั่งเขาให้ซื้อหุ้นตัวไหน ขายหุ้นตัวไหน ฉะนั้นจะไม่มี conflict of interest คือไม่มีทับซ้อนทางผลประโยชน์”

“ผมสั่งเขาไม่ได้ ผมมองไม่เห็นด้วยว่าทรัพย์สินของผมมีอะไรบ้าง”

“ก็ต้องจ้างมืออาชีพ ตั้งใจจะจ้างธนาคารกรุงเทพ หรือกสิกรไทย หรือใครก็ได้ ที่ได้รับความไว้วางใจจากสังคม ผมจะเอาทรัพย์สินของผมไปให้ ปิดประตู ลงกลอน ผมมองไม่เห็น แตะต้องไม่ได้ เขาจะไปบริหารทรัพย์สินยังไง เรื่องของเขา นี่คือ trust ผมมองไม่เห็นว่าเขาจะจัดการทรัพย์สินผมยังไง”

“หมายความว่าผมละทิ้งสิทธิในการบริหารทรัพย์สินของผมให้คนอื่น…ไม่มีใครทำในหมู่นักการเมืองไทย ผมจะเป็นคนแรกที่ทำ เพราะคุณทักษิณโดนโจมตีเรื่องการทับซ้อนทางผลประโยชน์”

“ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” เป็นนักการเมืองอีกคน ที่ “ธนาธร” บอกว่าเก่ง และเขาสู้ไม่ได้

“เพราะผมนี่ยังสื่อสารกับชาวบ้านไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดยากไป ผมอยากจะสื่อสารกับชาวบ้านได้อย่างคุณไตรรงค์ เขาเป็นนักปราศรัยที่เก่งมาก ผมนี่คอนเนกต์กับชาวบ้านไม่ค่อยได้ ภาคอีสาน ลำบากมาก จะพูดอะไรให้เขาเข้าใจเรา ผมยังมีปัญหา คุณไตรรงค์พูดเรื่องเศรษฐกิจเป็นภาษาชาวบ้านนี่ง่ายมาก ฟังเขาพูดสนุก ง่าย ตลก ชาวบ้านชอบ เข้าใจง่าย ผมไม่มีจุดนี้ ยากไป สู้ไม่ได้”

“ธนาธร” บอกเขาเป็นคนคิดชั้นเดียว เมื่อต้องตอบถึงชื่อ “พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์” เขาตอบว่า “ผมว่าเขาเขี้ยว ผมไม่ใช่คนเขี้ยว ไม่ใช่คนที่มีหมากการเมืองในกระเป๋า มีไพ่หลายใบ ผมนี่นะ คู่ต่อสู้ไม่ต้องอ่าน พูดอะไร ก็หมายความตามนั้น คิดสองชั้น สามชั้น ทำไม่เป็น ว่ากันตรงๆ จบ”

กับกรณี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ธนาธรย้อนไปถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 แล้วบอกว่า “เสียดาย ที่ไม่สู้”

“ถ้าจำได้ ครั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถือเป็นโอกาสที่หลุดลอยนะ ผมว่ามีโอกาสมากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถ้าเลือกทางสู้นะ แต่คุณยิ่งลักษณ์ไม่สู้ น่าเสียดาย เป็นโอกาสทางประวัติศาสตร์ที่หลุดไป คือจริงๆ มันมีจังหวะที่หลุดไป”

“รัฐประหาร 2557 เป็นโมเมนต์ที่สำคัญมาก ผมคิดว่าประชาชนพร้อมสู้ วันนั้น”

“ธนาธร” บอกว่า การได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดในการลงสนามการเมืองครั้งนี้

“ยังกระดากปากนิดหน่อยที่ต้องพูดว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็มันก็โอเค ว่ากันตามบท และต้องย้ำว่าสิ่งที่เราอยากเห็นคือการเปลี่ยนแปลงประเทศ อันนี้ชัดเจน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนแปลงประเทศ”

จากคำสัมภาษณ์ เขาน่าจะมีความเชื่อ-ความคิด ถึงตำแหน่งและการต่อรอง ที่มากกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เขาบอกว่า “ตำแหน่งที่ลิมิตสูงสุด…มีอำนาจมากพอที่จะไปต่อรอง…ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เราพูดไม่เป็นความจริง พูดง่ายๆ มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว เราถึงโดนฝ่ายก้าวหน้าด่า ถามว่าเรารู้มั้ย…มันก็รู้กันหมดแหละ ปัญหาคือใครจะทำยังไง เราคิดว่าวิธีการของเราคือต้องมีอำนาจ และต่อรอง”

เขายกตัวอย่างแบบ “ออฟเดอะเรคคอร์ด” ว่าถ้ามีการเรียก “ธนาธร” ไป แล้วมีการต่อรอง

“นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก…ถามว่ารู้มั้ย รู้ แต่มันพูดไม่ได้ ยังมีข้อจำกัด”

“ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือเปลี่ยนแปลง”

นับเป็นบทสัมภาษณ์ ที่ร้อนแรงและทรงพลัง ที่สุด ที่ “ธนาธร” กล่าวไว้ในหนังสือ “Portrait ธนาธร” สัมภาษณ์โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์

ในวาระแห่งชีวิตการเมืองของเขาครบ 1 ขวบปี ในวันที่ 15 มีนาคม 2562 และจากนั้นอีก 9 วัน จะถึงวันเลือกตั้ง ทุกสายตาในกระดานดำนาจ ต่างเบิกโพลง จ้องไปที่ “ธนาธร” และพรรคอนาคตใหม่ แทบไม่กล้ากระพริบ!!!