ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ขอพื้นที่ ส.ว. สรรหา สร้างสมดุล 5 ปีแรก – มติ ครม. แก้กรอบสินเชื่อ “บ้านล้านหลัง” หนุนคนรายได้น้อยชดเชยเพิ่ม 789 ล้าน

“บิ๊กตู่” ขอพื้นที่ ส.ว. สรรหา สร้างสมดุล 5 ปีแรก – มติ ครม. แก้กรอบสินเชื่อ “บ้านล้านหลัง” หนุนคนรายได้น้อยชดเชยเพิ่ม 789 ล้าน

12 มีนาคม 2019


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

ขอพื้นที่ ส.ว. สรรหา สร้างสมดุล 5 ปีแรก

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าและหลักเกณฑ์คัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า การคัดเลือก ส.ว. มาจากหลายภาคส่วน ทั้งการคัดเลือกตามกลุ่มอาชีพ และ คสช. คัดเลือกให้ได้ 50 คน ต้องผ่านคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติก่อน โดยบางคนเมื่อตรวจสอบคุณสมบัติกลับพบว่ายังมีคดีความติดตัวอยู่ ซึ่งรายชื่อที่มาจากคณะกรรมการสรรหา 400 รายชื่อก็ต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติเช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องคดีความ และพฤติกรรมส่วนตัว

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ส.ว. มาจากทั้งการเลือกตั้งและสรรหามาโดยตลอด แต่ ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะไม่ดีทั้งหมด เป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตย จึงอยากขอความร่วมมือที่จะต้องได้ ส.ว. จากการคัดสรรในช่วง 5 ปีแรกไปก่อน และในอนาคตอาจลดสัดส่วน ส.ว. ที่มาจากการคัดสรร และเพิ่มสัดส่วน ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งเข้าไปแทนได้

“ตรงนี้ อย่างน้อยก็สร้างสมดุลไปก่อนช่วงแรกในช่วง 5 ปีเท่านั้น เดี๋ยวก็จบแล้ว ระหว่างนี้ถ้าอะไรดีขึ้น ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ พอดีแล้ว เริ่มนิ่งแล้ว เอาคัดสรรออกสักหน่อย เอาเลือกตั้งเข้ามาแทน วันนี้ขอตรงนี้ไปก่อนได้หรือไม่ ไม่งั้นทุกคนก็อ้างประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยที่ซื่อสัตย์จริงๆ ผมว่ามันไม่มีปัญหาที่จะเลือกหรือจะคัดสรร ทุกคนสำนึกในความเป็นคนไทย สำนึกในประเทศชาติ บุญคุณของประเทศไทย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เตือนเลือกของใหม่ถอยหลังมากี่ครั้ง – พ้อมีแต่คนจ้องว่า

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะมีคำแนะนำอย่างไรเมื่อถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล ว่า เรื่องนี้มีกฎหมาย มีพระราชบัญญัติ มีระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว ก็ขอเพียงใครก็ตามที่มาเป็นนายกฯ ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ตามอำนาจในการบริหารให้มีธรรมาภิบาล ก็เพียงเท่านั้น

“แล้วต้องขอความร่วมมือกับทุกคนที่ร่วมรัฐบาลให้ช่วยกันปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปทางการเมือง ให้ประชาชนไม่เกิดความขัดแย้ง แบ่งเป็นพวกนายกฯ ไม่ใช่พวกนายกฯ เพราะทุกคนก็เป็นคนไทยทั้งสิ้น เมื่อการเมืองมีปัญหาประชาชนก็มีปัญหาไปด้วย เพราะต่างคนก็ต่างมีความรัก ความชอบพอคนละพวก วันนี้เราต้องช่วยกันแก้ใหม่ทั้งหมดก็ด้วยการเลือกตั้งครั้งนี้ ช่วยกันพิจารณาให้ดี ทำอย่างไรจะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพไม่ใช่เป็นปีสองปีแล้วเลิกกัน ทุกคนชอบของใหม่ตลอดแล้วเริ่มมากี่ครั้งแล้ว ถอยหลังถ่อยหน้ากันแบบนี้”

ต่อคำถามการส่งบทกลอนไปยังเวทีปราศรัย พรรค พปชร. ที่ จ.นครราชสีมา พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า อันนี้เป็นเรื่องของตนที่ตนเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แล้ว วันนี้ตนก็แต่งไปเรื่อย ใครจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็เอาไป อะไรที่เกิดประโยชน์กับใครเขาก็เอาไปใช้ได้ ในฐานะที่ตนเป็น “นักกลอน” คนหนึ่ง

“จะไม่ให้ผมทำอะไรได้เลยหรือ ทีคนอื่นทำโครมๆ ทำไมไม่ไปว่าเขาจ้องแต่นายกฯ อย่างเดียว นายกฯ ก็พยายามแยกบทบาทของตนให้ชัดเจน ซึ่งยากเหมือนกันการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ แต่ก่อนนี้เขาไปหาเสียงกันโครมๆ ก็ไม่เห็นมีใครว่า หรือไม่มี ปฏิเสธมาสิ ในอดีตที่มาจากการเมืองต่างๆ ทั้งหมดไปหาเสียงกันโครมๆ สมัยก่อน ผมยังเคยต้องไปดูแลเขาเลย ทหารน่ะ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ไม่ตำหนิ คนชอบ “โครงการ 30 บาทฯ” – เตือน “ให้หมด” ประเทศล่ม

พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ถ้าหลายคนยังชอบนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่เคยตำหนิ แต่ต้องมาดูว่าจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร ท่านต้องเปรียบเทียบว่ามีอะไรดีขึ้นแล้วบ้าง ถ้าให้ทุกอย่างหมดบางทีประเทศจะล้มละลายได้ ก็ต้องมีการแบ่งในเรื่องประเภทของยา ประเภทของโรค ปลดล็อกไปเรื่อยๆ ตามกำลังเงินที่เรามีอยู่

“ถ้าให้ทั้งหมดบางทีก็ลำบากและคนอื่นก็จะไม่ได้ ประเทศไทยทำได้ก็เก่งแล้ว หลายประเทศรวยกว่าเราเขาไม่ทำ และทำไม่ได้ เพราะรู้ว่าปัญหามีเยอะ แต่เราต้องทำต่อ ขอให้นึกถึงสิ่งที่ดีขึ้นมาบ้าง คิดแต่จะเลิกอยู่นั้นแหละ เลิกไปแล้วจะทำต่อได้อย่างไร โรงพยาบาลจะมีปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

อยากพบประชาชนทุกโอกาส – รับไม่เคยสบายใจตั้งแต่รับตำแหน่ง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการลงไปพบประชาชนโดยการไปฟังเสวนาที่ตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา จะมียุทธศาสตร์การพบประชาชนเช่นนี้อีกหรือไม่ ว่า จริงๆ แล้วตนอยากฟังเสียงประชาชน เพราะตนได้อ่านหนังสือมามากพอสมควร ทั้งหนังสือแปลจากต่างประเทศ หรือให้ลูกน้องไปหามาแล้วสรุปแปลออกมาให้ตนในเรื่องที่เป็นประโยชน์เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน

โดยการลงพื้นที่ต่างๆ ตนก็พยายามระมัดระวังตัว และทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งตนในฐานะเป็นตัวเลือกจะทำอะไรได้แค่ไหนบ้าง ตนก็ต้องพิจารณาของตนเองด้วย ไม่อยากให้มีข้อขัดแย้ง การฟ้องร้อง หรือปัญหาต่อไปในอนาคต

“ก็อยากไปพบประชาชนในทุกโอกาสที่ไปได้ ที่ผ่านมาอาจเก็บเนื้อเก็บตัวบ้างเพราะไม่อยากเป็นภาระในเรื่องการอำนวยความสะดวก การใช้ยานพาหนะต่างๆ ให้มากเกินไป เพราะตนไปที่ไหนคนก็รู้จัก ไม่อยากทำให้เขาปั่นป่วน อยากไปนั่งทานกาแฟสักที เพื่อไปดูว่าค้าขาย คนมาเที่ยวเขาเป็นอย่างไร แต่บางทีก็ลำบาก วางตัวลำบาก ไม่ใช่ถือตัว ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างอยู่แล้ว ก็พยายามจะทำทั้งวันนี้และวันต่อๆ ไปข้างหน้าด้วยถ้ามีโอกาส” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวยอมรับว่า ตนไม่เคยสบายใจตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ไม่ขอปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น แต่นั่นถือเป็นความรับผิดชอบขอบตนตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้บางครั้งก็เครียด เพราะมีปัญหาต้องแก้หลายอย่าง โดยขอให้แต่ละฝ่ายต้องลดราวาศอกกันบ้างในช่วงนี้ ถ้าจับจ้องกันทุกเรื่องสิ่งดีๆ ก็ไม่เกิดขึ้น ลองดูโทรทัศน์มีแต่ความขัดแย้งทั้งสิ้น ซึ่งตนจะไม่ไปขัดแย้งกับเขา ทำหน้าที่ให้ปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งใจไว้

วางหลักเทคโนโลยีในระบบรัฐ ชี้ช่วยปลดปมวาทกรรม “คนจนติดคุก”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อวาน สิ่งที่เขามาพูดเมื่อวานคือเรื่อง disruption คือ เรื่องความเปลี่ยนแปลงเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี เราต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงกันอย่างไร เขายกตัวอย่างในทุกเวทีโลก ทุกประเทศ ทุกภูมิภาคมีการปรับปรุงกันไปอย่างไรบ้างที่จะทำให้เรื่องดิจิทัลเกิดประโยชน์มากที่สุดในการเพิ่มมูลค่า และเรื่องการวิจัยและพัฒนา ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามพัฒนาเกษตรประเทศไทย ในเรื่องเกษตรแปลงใหญ่ และการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ ซึ่งตนเห็นใจคนจนมาก การทำงาน 4-5 ปีที่ผ่านมา ตนเครียดเรื่องนี้มากว่าจะทำอย่างไรให้คนมีรายได้ดีขึ้น ก็ต้องวางแผนทำต่อไปเป็นระยะๆ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงการเดินหน้าในการใช้ระบบออนไลน์ของไทยที่เริ่มต้นได้ดีแล้ว เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น การรวบรวมเว็บไซต์ต่างๆ โดยตนได้สั่งการไปแล้ววันนี้ว่าควรต้องทำ ซึ่งตนต้องการมานานแล้ว ก็ตรงกันพอดีจึงมีหลักการในการที่จะพูดกับ ครม. ในเรื่องเหล่านี้ว่าจะรวมอย่างไร

เช่น เรื่องกองทุนยุติธรรม ประชาชนไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำอย่างไร การเข้าถึง การติดตามคดีต่างๆ ตอนนี้กองทุนยุติธรรมมีประโยชน์มากขึ้นหากประชาชนสามารถเข้าถึงได้เกิน 100% ขึ้นไปจากอดีตที่ผ่านมา โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐลงไปติดตามด้วย เรื่องนี้จะช่วยแก้ปัญหาวาทกรรม “คนจนติดคุก คนรวยไม่ติดคุก”

“วันนี้ผมได้สอบถามถึงผู้ที่ติดคุกจากคดีเก็บเห็ด ฯลฯ ก็ได้รับแจ้งว่า ออกมาหมดแล้ว ไปช่วยเหลือด้วยกองทุนยุติธรรมให้เขาได้ออกมาต่อสู้คดี ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงก็น่าจะมีหนทางแก้ปัญหาให้เขา ในส่วนคนรวย ตนได้รับทราบว่ามีการพิจารณาคดีเสือดำ ในวันที่ 19 มีนาคมนี้ ก็ขอให้คิดตามดูต่อไปเพราะอยู่ในช่วงการประกันตัวเหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับศาล ที่จะพิจารณาจากพยานหลักฐาน การตัดสินก็อยู่ที่การสู้คดี ซึ่งหากหลักฐานชัดเจนก็ไม่น่ามีปัญหา ขอให้มีความเชื่อมั่นในระบบกระบวนการยุติธรรมของเรา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

โต้วาทกรรม “สืบอำนาจ” ทุกพรรคก็อยากเป็นรัฐบาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่หลายพรรคการเมืองประกาศจุดยืนไม่เอาพรรคที่การสืบทอดอำนาจว่า เรื่องดังกล่าวพูดยาก ทางการเมืองเขาก็ทำ มีมาตลอดไม่อย่างนั้นทุกคนจะอยากเป็นนายกฯ หรือพรรคการเมืองใดไม่อยากเป็นนายกฯ ไม่อยากเป็นรัฐบาลบ้าง ก็สืบอำนาจทางการเมืองเหมือนกัน เพียงแต่ที่มาของตนอาจจะคนละแบบ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญชั่วคราวตนก็เป็นนายกฯ ไปแล้ว ไม่ใช่เพียงหัวหน้าปฏิวัติรัฐประหาร

“หากตอนนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญออกมาแล้วผมไม่ทำจนเรียบร้อย หยุดสถานการณ์ไว้ได้ ผมก็เป็นกบฏสิ มันจบไปแล้วตั้งแต่ตรงนู้น จากนั้นมาผมก็เป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย อย่าไปย้อนกลับไปกลับมาย้อนแย้งกันอยู่นั่นแหละ คิดกลับไปกลับมาไม่จบเสียที ต้องดูว่าผมเป็นนายกฯ ผมทำอะไรไปแล้วบ้าง ผมทำความสำเร็จอะไรให้ประเทศบ้างที่ไม่ได้เป็นไปตามวาทกรรม ไปดูสิ เยอะแยะไป ผมพูดไม่หมดหรอกที่ทำไปแล้วแล้วประสบความสำเร็จ แต่มันยังไม่ทั่วถึง เพราะหลายอย่างเป็นงานโครงสร้าง องค์ประกอบเยอะกฎหมายเยอะ ออกกฎหมายมา 300 กว่าฉบับ มากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา”

กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้แก้ปัญหาที่สะสมมากมาย สำหรับผู้ที่บอกว่าตนเป็นเผด็จการ ขอให้ลองถามดูว่าตั้งแต่คนเข้ามาบริหารประเทศ ประชาชน ผู้ประกอบการต่างๆ ทั้งหมด เขาเดือดร้อนอะไรหรือไม่ เขาก็ค้าขายได้ตามปกติ ท่องเที่ยวได้ปกติ การประท้วงหลายครั้งก็ทำไปได้ปกติ เว้นแต่บางคนที่มีผลกระทบในเรื่องของการละเมิดกฎหมายการชุมนุม ละเมิดกฎหมายจราจรทำให้ประชาชนเดือดร้อน

“ประชาธิปไตยต้องไม่ละเมิดกฎหมายลูกหรือกฎหมายอื่นๆ จะอ้างว่าประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญอย่างเดียวมันก็เสรีกันหมดหากเป็นอย่างนั้น รัฐบาลต้องเป็นอย่างนี้ คนเคยชินกับรัฐบาลที่อะไรก็ได้ ทำให้ประชาชนรักอย่างเดียวนั้นทำง่าย ในเรื่องการดูแลค้าขายบนถนนหนทางตนก็กำลังพยายามหาทางแก้ปัญหาอยู่ หลายอย่างต้องกลับสู่ภาวะปกติแล้วค่อยหาทางออกให้ได้ ยืนยันว่าไม่ลืม แต่แก้ปัญหานั้นไม่ง่าย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ขอบคุณโพลหนุนนั่งนายกฯ ต่อ – ขอเข้าใจอดีต “เข้ามาเพราะจำเป็น”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีการจับมือทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ว่า หลังเลือกตั้งไปว่ากันก็ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนต้องการผู้นำแบบไหน ท่านก็เห็นมาหมดแล้วทุกคน ใครไม่รู้จักบ้างคนที่อยู่ในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทุกคนก็รู้จักหมดทุกคน ก็ไปดูมากว่าอยากจะเลือกใคร พอใจใคร มีผลงานเป็นรูปธรรมอะไรอย่างไร ให้ความเป็นธรรมตนบ้าง ดูว่าตนทำอะไรไปแล้วบ้าง

ต่อคำถามถึงความรู้สึกใกล้โค้งสุดท้ายโพลยังหนุนให้ พล.อ. ประยุทธ์ นั่งนายกฯ ต่อ ส่วนคะแนนพรรค พปชร. ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ว่า สุดท้ายแต่ก็ยังไม่ท้ายสุด โพลหนุนให้นั่งนายกฯ ต่อ ก็ขอขอบคุณประชาชนที่สนับสนุน อยากจะรู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะบางทีโพลก็คือโพล คำถามคำตอบก็เป็นไปตามที่เขาทำนั่นแหละ แต่ก็ขอบคุณ ตนรู้ว่าทุกคนมีจิตปราถนาดี ก็จำนวนมากพอสมควร ก็ขอให้มองประเทศชาติเป็นหลักแล้วกัน ชอบตนแต่รักประเทศชาติให้มากกว่า เพราะจิตมั่นในการทำงานของตนตลอดนี้และตลอดไปถ้าได้มีโอกาสทำงาน คือ สถาบันชาติ ศาสตร์กษัตริย์ ประชาชน

“ช่วงนี้ผมต้องทำตัวให้เครียดน้อยลง ไม่อย่างนั้นเส้นเลือดในสมองแตกตายไปแล้ว หากรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์กันไปมา ฟังการหาเสียงด่าผมบ้างอะไรบ้าง ผมก็ไม่เคยด่าตอบสักคนเลย อย่าไปให้ความสนใจมากนัก ถ้าผมสนใจทุกเรื่องคงตายไปแล้ว”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่ตนถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตนมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนของไทยทุกกลุ่มทุกฝ่ายมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม นี่เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องคิดแบบนี้ “better life” มีชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ทุกอย่างต้องมีแผนงานดำเนินการทำเสร็จวันเดียวไม่ได้แต่ตนก็ไม่อยากบอกว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ถามคนต่างชาติเขาก็บอกว่าเรื่องดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านต่างๆ ใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี

ต่อคำถามคิดว่าประชาชนที่เป็นเสมือนผู้บังคับบัญชาพอใจต่อการบริหารงานที่ผ่านมาของรัฐบาลหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ถูกต้องที่ผู้บังคับบัญชาของผมคือประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีคือผู้รับอาสาเข้ามาทำงานการเมือง โดยเต็มใจมาด้วย แต่สำหรับตนนั้นมาเพราะความจำเป็น แยกให้ออกตรงนี้ก่อน อย่าเพิ่งลืม

“ก่อน 22 พฤภาคม 2557 ท่านเข้าทำเนียบมานั่งถามนายกรัฐมนตรีได้อย่างนี้หรือไม่ ค้าขายตามท้องถนนทำได้หรือไม่ การจราจรติดขัดไหม ดูตรงนั้นก่อน เพราะถ้าปนกันไปมาเช่นนี้ หากตนทำแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จีดีพีแย่ลง การลงทุนต่างๆ แย่ลง วันนี้มันขึ้นทุกตัว เว้นแต่เรื่องรายได้น้อยที่ต้องใช้โครงสร้างอีกมากในการดำเนินการ ขอให้เข้าใจความตั้งใจของผมด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ย้ำ เป็นคนตลก-ยิ้มง่าย-ไม่ถือตัว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงภาพลักษณ์ของตนที่ปรากกฎในโซเชียลมีเดียขณะนี้ ว่า หลายคนไม่รู้จักตน จึงอยากจะชี้แจง เวลาทำงานตนจะเป็นคนเอาจริงเอาจังอาจไม่มีรอยยิ้ม แต่ในเวลาอิสระ เวลาอยู่กับเพื่อนฝูง ครอบครัว ตนนั้นเป็นคนตลก ซึ่งตนก็เห็นหลายคนกล่าวว่า “นายกฯ เป็นคนตลก” ซึ่งตนสามารถพูดตลกได้ จะซีเรียสก็ได้ แต่ด้วยภาระหน้าที่ก็ทำให้ปรับตัวไม่ทัน ขอให้เห็นใจตนบ้าง เป็นนายกฯ ของประเทศนี้ ต้องไร้ความรู้สึก โมโหใครไม่ได้ วันนี้จึงลดบทบาทความเป็นทหารให้มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อการเมือง แต่ตนก็ต้องห่วงสุขภาพตัวเอง ถ้าเครียดมากเดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกก็จะลำบาก ครอบครัวก็จะลำบากไปด้วย

“สิ่งที่ผมค่อนข้างซีเรียสมีอย่างเดียวคือการทำงาน เพราะผมเอาจริงเอาจัง อยู่มาหลายปีปัญหายังไม่จบสิ้น ก็ต้องแก้มาตลอด เดิมก็คิดว่าปีแรกจะดีขึ้น บางอย่างก็ไปได้ช้า บางอย่างก็ซ้ำซ้อน บางอย่างเป็นปัญหาความไม่เข้าใจ บางอย่างเป็นเรื่องความคุ้นเคยของประชาชน เรื่องกฎหมาย การปล่อยปละละเลย ซึ่งผมค่อนข้างจะซีเรียสเรื่องเหล่านี้ เพราะผมถือว่าระเบียบวินัยของคนในชาติ เรื่องขอกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้นขอให้เข้าใจผมบ้าง ผมเป็นคนอารมณ์ดีหัวเราะง่าย ยิ้มง่าย แต่ก็อยู่ที่พวกเราจะสร้างภาพลักษณ์ผมขึ้นมาอย่างไรเท่านั้น เวลาผมยิ้มไม่ค่อยเอาออก ชอบเวลาผมหงุดหงิดชี้ไม้ชี้มือ คนก็มองว่าเป็นเผด็จการ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยากให้ทุกคนยิ้มให้กัน เพราะไม่เกิดความเสียหาย หลายคนเข้าใจว่าตนเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม แต่แท้จริงแล้วเป็นคนมีเมตตากรุณา รักสัตว์ และไม่ใช่คนใจร้าย แต่จะใจร้ายกับศัตรู เพราะเป็นหน้าที่ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะไม่สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข

แจง คดี 3 จังหวัดภาคใต้ ให้ข่าวเมื่อพร้อม

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกลุ่มก่อความไม่สงบชูประเด็น ปัตตานี 110 ปี เพื่อหาแนวรวม ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมายาวนานมากแล้ว เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ วันนี้ประวัติศาสตร์ที่ดีเราก็ภูมิใจ ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาอาจไม่ครบถ้วนไม่สมบูรณ์มีปัญหาบ้างก็เป็นเรื่องของอดีต เราแก้วันนี้ วันนี้ที่เราทำเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีในอนาคต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยนี่คือประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในอนาคต ส่วนการสอบสวนความคืบหน้าต่างๆ เมื่อวานนี้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ลงไปในพื้นที่ในนามของตนและฝ่ายความมั่นคงทั้งหมด

ทั้งนี้การดำเนินการจะเน้นมาตรการเชิงป้องกันให้ได้มากที่สุด ทั้งการรักษาความปลอดภัยของสถานที่ราชการ สถานประกอบการธุรกิจ ขออย่าไปขยายความเพราะเขาต้องการให้ความรุนแรงนี้เป็นการขยายความต่อไป เขาจะได้มีน้ำหนัก มีบทบาทในการกระทำเรื่องนี้มากขึ้น เพื่อจะบังคับเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นเรื่องอันตราย

“วันนี้ยืนยันว่ามีความคืบหน้า และเราก็จะมีการให้ข่าวในระยะที่เราพร้อมให้ข่าวได้ที่ไม่มีผลกระทบต่อการสืบสวนสอบสวนของกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นเราต้องดำเนินการให้รัดกุมมากที่สุด ก็กำลังสอบสวนอยู่ ก็ขอให้ใจเย็นๆ สักนิดในเรื่องนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้เหตุการณ์แบบนี้พร้อมเกิดในทุกพื้นที่ในทุกประเทศ ประเทศไทยเรามีคนหลายพวกหลายฝ่ายทั้งคนดีและคนไม่ดี อาชญากรก็มีมาก แต่สิ่งสำคัญคือจิตอาสา คือการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ดีที่สุด ประชาชนเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการที่จะดำเนินการต่อไปให้เกิดความสงบให้ได้มากที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัฒน์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/

แก้กฎหมายบริษัทมหาชน – รักษาสิทธิผู้ถือหุ้นรายย่อย

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ในประเด็นต่างๆ ได้แก่ 1) เพิ่มเติมสิทธิพื้นฐานของผู้ถือหุ้นรายย่อย เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นได้อย่างแท้จริง เช่น การขอตรวจทะเบียนกรรมการ หรือรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น, การให้ผู้ถือหุ้นที่มีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมพิจารณาวาระอื่น นอกเหนือจากวาระที่กำหนดในการประชุมได้, กรณีการรับโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใดๆ ที่กระทบต่อกิจการของบริษัท จะกระทำได้เมื่อผู้ถือหุ้นมีมติไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม

2) กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการให้มีความโปร่งใสโดยใช้หลักธรรมาภิบาลกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติการเลือกตั้ง, วาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการ 3 ปีจากเดิมที่ไม่กำหนดเวลา แต่สามารถกลับมาเป็นกรรมการได้อีกรอบ, กรรมการสามารถนัดประชุมติดต่อผ่านระบบสื่อสารเทคโนโลยีได้โดยไม่ต้องปรากฏตัวในที่ประชุม, กรรมการอาจตั้งกรรมสำรองเพื่อเข้าประชุมแทนได้, ห้ามกรรมการเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นพิเศษ

3) การกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงบทบัญญัติโดยยกเลิกการห้ามไม่ให้บริษัทเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือหุ้นส่วนไม่จำกัด, ปรับปรุงบทบัญญัติให้หุ้นบุริมสิทธิสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามมติที่ประชุม, เพิ่มหลักเกณฑ์ไม่ให้มีการถือหุ้นไขว้ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก, กำหนดให้บริษัทแม่ไม่สามารถนำหุ้นที่ถือโดยบริษัทลูก มานับเป็นองค์ประชุมและออกเสียงลงคะแนนได้

4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการควบบริษัท โดยเพิ่มหลักเกณฑ์ในการผนวกบริษัทหรือซื้อบริษัทอื่นเข้ามาจากเดิมที่กำหนดไว้เพียงการควบรวมบริษัทหรือการรวมบริษัทเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งจะเพิ่มความคล่องตัวให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังกำหนดเพิ่มเติมบทบัญญัติในการแปรสภาพบริษัทมหาชนจำกัดเป็นบริษัทเอกชนได้

5) ปรับปรุงในเรื่องอัตราบทลงโทษให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เช่น เดิมบริษัทมหาชนจำกัดต้องมีการตรวจสอบบัญชีหากไม่ดำเนินการจะถูกปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และปรับรายวันอีกวันละ 2 พันบาท แก้ไขเป็นปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และปรับรายวันอีกวันละ 1 หมื่นบาท

“อย่างไรก็ตาม การพิจารณากฎหมายฉบับนี้คงเสร็จไม่ทันบังคับใช้ในรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะต้องยุติการพิจารณากฎหมายต่างๆ ไปตั้งแต่ 7 มีนาคม 2562 แล้ว” นายณัฐพร กล่าว

แก้กรอบสินเชื่อ “บ้านล้านหลัง” หนุนคนรายได้น้อย – ชดเชยเพิ่ม 789.66 ล้าน

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบการชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มเติมในโครงการบ้านล้านหลัง วงเงิน 789.66 ล้านบาท ซึ่งสืบเนื่องจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดให้ประชาชนจองสิทธิสินเชื่อตามโครงการดังกล่าวรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท พบว่ามีประชาชนให้ความสนใจยื่นจองสิทธิสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 127,102 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อที่ ธอส. ได้กำหนดไว้ที่ 50,000 ล้านบาท โดยแบ่งในกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3% ในระยะเวลา 5 ปี มีผู้ยื่นจองสิทธิ 113,064 ล้านบาท มากกว่ากรอบวงเงินที่ตั้งไว้ที่ 20,000 ล้านบาท และกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท ซึ่งรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3% ในระยะเวลา 3 ปี มีผู้ยื่นจองสิทธิเพียง 14,038 ล้านบาท น้อยกว่ากรอบวงเงินที่ตั้งไว้ที่ 30,000 ล้านบาท

ดังนั้นเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่อยู่อาศัยและได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตามวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ครม. จึงเห็นชอบให้ปรับกรอบวงเงินใหม่เป็น 1) กลุ่มรายได้ต่อคนไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ปรับเพิ่มกรอบวงเงินใหม่เป็น 40,000 ล้านบาท จากเดิม 20,000 ล้านบาท และ 2) กลุ่มรายได้ต่อคนเกินกว่า 25,000 บาท/เดือน ปรับลดกรอบวงเงินใหม่เป็น 10,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท และขยายกรอบเวลาดำเนินการออกไปเป็น 30 ธันวาคม 2564 จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2562 หรือจนกว่าสินชื่อจะเต็มวงเงิน

ทั้งนี้ การปรับกรอบวงเงินดังกล่าวทำให้ดอกเบี้ยที่รัฐบาลจะต้องชดเชยเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องชดเชยในระยะเวลาที่มากขึ้นอีก 2 ปีและจำเป็นต้องต้องขอรับการชดเชย เพิ่มเติมอีก 789.66 ล้านบาท จากเดิมที่เคยขอรับการชดเชยมาแล้วจาก ครม.เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ที่วงเงิน 3,876 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินที่ ธอส. ขอรับการชดเชยทั้งสิ้น 4,666 ล้านบาท

เทงบเพิ่ม 5,000 ล้าน หนุนชาวนาเกี่ยว-ปรับปรุงคุณภาพข้าว

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติงบประมาณในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/2562 เพิ่มเติม วงเงิน 5,068.73 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แบ่งเป็นวงเงินเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร 4,959.47 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 109.26 ล้านบาท โดยโครงการการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/2562 จะจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,500 บาท รายละไม่เกิน 12 ไร่ หรือ ครัวเรือนละไม่เกิน 18,000 บาท เดิมโครงการนี้มีเป้าหมายอยู่ที่ 4,057,301 ครัวเรือน กรอบวงเงิน 56,474.02 ล้านบาท โดยมีเกษตรกรมาลงทะเบียนล่าสุด ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 จำนวน 278,824 ครัวเรือน จำนวน 3,483,539 ไร่ คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 5,225.31 ล้านบาท

ขยายเกณฑ์ช่วยผู้บ่มยาสูบอิสระ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต 2561/62 ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บ่มอิสระ รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกใบยาสูบและเป็นผู้บ่มอิสระด้วยจะได้รับสิทธิการช่วยเหลือในมาตรการดังกล่าว ในสัดส่วนตามต้นทุนดำเนินการระหว่างผู้บ่มอิสระกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสด 70 ต่อ 30 ของเงินช่วยเหลือสำหรับใบยาเวอร์ยิเนียที่ 17.50 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากในกรณีใบยาสูบบางประเภทไม่สามารถใช้วิธีการตากลมหรือแดดได้ แต่ต้องใช้เครื่องอบไอร้อน ทำให้ต้นทุนส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้บ่มใบยาสูบอิสระ ซึ่งมาตรการช่วยเหลือก่อนหน้านี้ไม่ได้รวมผู้ผลิตใบยาสูบกลุ่มนี้

ทั้งนี้ เดิม ครม. มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 อนุมัติโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณโครงการฯ 159.59 ล้านบาท โดยการชดเชยดังกล่าวให้ปรับจากกรอบงบประมาณเดิม

ขยายเวลาโครงการเร่งผลิตพยาบาล

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม .มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษาสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2561-2565) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2561-2562) โดยมีเป้าหมายผลิตพยาบาลเพิ่มจากการรับนักศึกษาพยาบาลปกติ จำนวน 2 รุ่น (ปีการศึกษา 2561-2562) จำนวนรวมทั้งสิ้น 5,268 คน

โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายเป็นงบดำเนินการในการผลิตบัณฑิต ในอัตราเหมาจ่าย 110,000 บาท/คน/ปี คิดเป็น 440,000 บาท/คน/หลักสูตร รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,759,484,984 บาท (เฉพาะในส่วนของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2566) แบ่งเป็นงบประมาณสำหรับสถาบันสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) (ศธ.) จำนวน 985,085,724 บาท และงบประมาณสำหรับสถาบันสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก (สบช.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จำนวน 774,399,260 บาท

สำหรับวงเงินงบประมาณจนสิ้นสุดโครงการ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2566) จำนวน 1,759,484,984 บาท เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามแผนการดำเนินโครงการที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของข้อเท็จจริง พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป อนึ่ง โครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2557-2560 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2556 ได้สิ้นสุดลงแล้ว

โดยสามารถรับนักศึกษาพยาบาลได้ทั้งสิ้น จำนวน 10,124 คน (จากเป้าหมาย จำนวน 10,128 คน) คิดเป็นร้อยละ 99.96 แบ่งเป็น สถาบันสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และกรุงเทพมหานคร จำนวน 24 แห่ง รับนักศึกษาได้ จำนวน 5,780 คน (จากเป้าหมาย จำนวน 5,728 คน) คิดเป็นร้อยละ 100.91 และสถาบันสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 29 แห่ง รับนักศึกษาได้ จำนวน 4,344 คน (จากเป้าหมาย จำนวน 4,400 คน) คิดเป็นร้อยละ 98.73

ทั้งนี้ เมื่อรวมกับแผนการรับนักศึกษาปกติ จำนวน 9,968 คน จะสามารถรับนักศึกษาพยาบาลได้ทั้งหมด จำนวน 15,236 คน และภายหลังจากการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 จะมีอัตราส่วนพยาบาล 1 คน ต่อ 392 ประชากร ซึ่งจะสามารถรองรับความต้องการพยาบาลของประเทศไทยในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2569) ที่ต้องการพยาบาลในอัตราส่วน 1 คน ต่อ 350 ประชากร จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก

ดัน “โนราห์” เป็นมรดกวัฒนธรรมโลก

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอโนราห์ให้เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage) ต่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอโขนและนวดไทยขึ้นบัญชีในรายการดังกล่าวไปแล้ว โดยโขนได้รับการขึ้นบัญชีไปแล้ว ส่วนนวดไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาภายในปีนี้

สำหรับโนราห์ เอกสารดังกล่าวได้มีการจัดทำให้เป็นไปตามที่ยูเนสโกกำหนด และให้พิจารณาโดยมีสาระสำคัญคือชื่อของการนำเสนอภายใต้ชื่อโนราห์ หรือ โนราห์ แดนซ์ ดรามา ไทยแลนด์ หรือโนราห์ แดนซ์ ดรามา เซาท์เทิร์น ไทยแลนด์ รวมถึงชื่อชุมชน คณะ กลุ่มบุคคล ปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเทศไทย มีสายตระกูลหลัก ที่สืบทอดโนราห์ 5 สาย ทั้งสายโนราห์พุ่มเทวา สายโนราห์แปลกท่าแค สายโนราห์แป้นเครื่องงาม สายโนราห์เติมวินวาด และโนราห์ยกทะเลน้อย 274 คณะ ใน 4 จังหวัดลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา พัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช และสงขลา

“ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้แจ้งเพิ่มเติมว่า การขึ้นบัญชีครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และรักษามรดกวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของประเทศไทย ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เห็นคุณค่าของชนกลุ่มน้อย และชุมชนในระดับนานาชาติ”

นายกฯ ลงพื้นที่ขอนแก่น-โคราช

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ มีกำหนดการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่นและนครราชสีมาในวันที่ 13 มีนาคม 2562 นี้ โดยออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง เพื่อไปยังท่าอากาศ สยามขอนแก่น ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่นเพื่อติดตามการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารอาคารใหม่ของท่าอากาศยานขอนแก่น

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะจะเข้าสักการะศาลเทพารักษ์หลักเมือง ขอนแก่น ก่อนออกเดินทางด้วย Smart City bus ไปยังสถานีรถไฟขอนแก่นเพื่อเป็นประธานพิธีเปิดการใช้งานอาคารสถานีรถไฟขอนแก่นและตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการทางคู่และทดลองการเดินรถในโครงการพัฒนาระบบโครงข่ายรถไฟทางคู่เส้นทางชุมทางถนนจิระขอนแก่น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะจะทดลองการเดินรถไฟขบวนพิเศษจากสถานีรถไฟขอนแก่นไปยังสถานีรถไฟท่าพระ ระยะทาง 10 กิโลเมตร ก่อนออกเดินทางต่อไปยัง จ.นครราชสีมา ในช่วงบ่าย

ทั้งนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางมาถึง จะเข้าสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา ก่อน ตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน- นครราชสีมา โดยในช่วงเย็น นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในงาน “One Transport Station for All: ระบบคมนาคมหนึ่งเดียว เพื่อประชาชนทุกคน” และเป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัย ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พร้อมกล่าวมอบนโยบาย

ยกเว้นสรรพสามิตบนสินค้าที่นำเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนดิวตี้ฟรี

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) โดยให้ยกเว้นภาษีสรรพสามิตเฉพาะสำหรับสินค้าที่นำเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เท่ากับปริมาณของสินค้าหรือมูลค่าของสินค้าที่ได้รับการยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

ทั้งนี้ ให้ผู้ขอยกเว้นภาษีแสดงเอกสารหลักฐานว่าได้ส่งสินค้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร และหากสินค้าสูญหายหรือขาดจำนวนไป ให้ถือว่าไม่ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต เว้นแต่สินค้าที่ขาดจำนวนไปนั้นได้นำกลับเข้าโรงงานอุตสาหกรรม กรณีที่สินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิตเกิดความรับผิดในอันจะต้องเสียอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้ถือว่าสินค้านั้นไม่ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต และให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นแบบรายการภาษีและชำระภาษีสรรพสามิตพร้อมกับการชำระอากรขาเข้า โดยใช้อัตราภาษีที่ใช้อยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีสำหรับสินค้านั้นเกิดขึ้น

ยกเลิกควบคุมนำเข้าทูน่าครีบเหลือง

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 103) พ.ศ. 2537 พ.ศ. …. จากเดิมที่กำหนดให้ปลาทูน่าชนิดครีบเหลืองและผลิตภัณฑ์จากปลาทูน่าชนิดครีบเหลืองเป็นสินค้าควบคุม ที่ต้องมีหนังสือรับรองจากกรมประมงไปแสดงประกอบพิธีการนำเข้าต่อกรมศุลกากร เนื่องจากปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีมาตรการควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสินค้าดังกล่าวภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการเฉพาะแล้ว

ยุบคณะกรรมการขับเคลื่อน e-Payment เข้าสู่หน่วยงานปกติ

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. มีมติรับทราบผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาตร์ National e-Payment โดยผลการดำเนินการที่ผ่านมา สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และได้รับการยอมรับในระดับสากล และเห็นชอบให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เนื่องจากผลสำเร็จการดำเนินการของคณะกรรมการฯเป็นจุดเริ่มต้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถผลักดันและพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยภายใต้กรอบภารกิจของตนเองให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างครบวงจรและไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนในรูปแบบของคณะกรรมการอีกต่อไป

ทั้งนี้ ผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ National e-Payment สรุปได้ ดังนี้

1) ระบบการชำระเงินแบบ Any ID และการขยายการใช้บัตร ผลสำเร็จคือมีระบบพร้อมเพย์ ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ทุกประเภทแล้ว จำนวน 47 ล้านราย (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2561) นอกจากนี้ การขยายการใช้บัตร โดยการยกเว้นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) โดยปัจจุบันได้มีการติดตั้งเครื่อง EDC แล้วทั้งสิ้นจำนวน 768,103 เครื่อง สำหรับการดำเนินการในระยะถัดไป ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการจัดทำแผนกลยุทธระบบการชำระเงินฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 – 2564) ที่จะมุ่งส่งเสริมให้ Digital Payment เป็นทางเลือกหลักในการชำระเงิน โดยมีกรอบการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน, ด้านนวัตกรรมการชำระเงิน, ด้านการเข้าถึงและใช้บริการ, ด้านการกำกับดูแลและบริหารความเสี่ยง และด้านข้อมูลการชำระเงิน

2) ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กรมสรรพากรได้ดำเนินการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านพร้อมเพย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 และมีการจัดทำระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt สำหรับประเด็นด้านกฎระเบียบได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment และในระยะถัดไปกรมสรรพากรจะดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นแผนการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เสียภาษี

3) e-Payment ภาครัฐ ในโครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม กรมบัญชีกลางได้แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การจ่ายเงินสวัสดิการสังคมด้วยพร้อมเพย์ (เช่น เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) การจ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐโดยบัตร (มีผู้มีสิทธิ 14.5 ล้านคน มีการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 67,759.45 ล้านบาท) และการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ขณะที่โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้หน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคใช้บริการด้านการจ่ายเงิน การรับเงินและการนำเงินส่งคลังผ่านระบบ KTB Corporate Online พร้อมทั้งติดตั้งเครื่อง EDC แล้ว จำนวน 6,807 หน่วยงาน

สำหรับการดำเนินงานในระยะถัดไปกรมบัญชีกลางจะผลักดันให้เกิดการขยายการใช้บัตรอย่างครบวงจร โดยการเชื่อมโยงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับ Basic Account และ Mobile Payment รวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลสวัสดิการที่โอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เข้ากับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)

4) การให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์โครงการ ต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ National e-Payment และจัดทำโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตโดยขอรับเงินรางวัลจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนชำระเงินโดยใช้บัตรเดบิตหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านเครื่อง EDC มากขึ้น โดยได้มีการจ่ายเงินรางวัลไปแล้วทั้งสิ้น 69.9 ล้านบาท ให้กับผู้ได้รับรางวัล จำนวน 8,872 ราย (คงเหลือเงินในส่วนที่ไม่มีผู้มารับรางวัล จำนวน 14,123,000 บาท)

ในระยะถัดไปกรมสรรพากรและกรมบัญชีกลางจะดำเนินการตามแผนประชาสัมพันธ์โครงการ National e-Payment ประจำปี พ.ศ. 2562 และสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของระบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป ทั้งนี้ กค. จะขอให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพิจารณาเห็นชอบในการนำเงินของโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตในส่วนที่ไม่มีผู้มารับรางวัล จำนวน 14,123,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการตามแผนประชาสัมพันธ์ฯ ต่อไป

อนุมัติ 356 ล้านบาท ชดเชยดอกเบี้ยผู้ค้าข้าวเก็บสต็อก

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่าครม.มีมติเห็นชอบให้กรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 356,202,698.35 บาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกเพื่อให้การดำเนินโครงการฯบรรลุเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกและสร้างความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่มีต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล