ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ย้ำประชุม “ครม. สัญจร” ไม่หวังผลการเมือง – มติ ครม. ไฟเขียวเก็บ VAT “อีคอมเมิร์ซ” ต่างชาติ

นายกฯ ย้ำประชุม “ครม. สัญจร” ไม่หวังผลการเมือง – มติ ครม. ไฟเขียวเก็บ VAT “อีคอมเมิร์ซ” ต่างชาติ

17 กรกฎาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ซึ่งหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีแถลงและตอบคำถามสื่อมวลชน ดังนี้

ย้ำประชุม “ครม สัญจร” ไม่ได้หวังผลการเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงกรณีมีอดีตนักการเมืองที่ประกาศสนับสนุนรัฐบาลจะมาต้อนรับการลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร จ.อุบลราชธานีในสัปดาห์หน้า โดยยืนยันว่า การลงพื้นที่ประชุม ครม. นอกสถานที่เป็นการลงไปเพื่อขับเคลื่อนและติดตามความก้าวหน้าของงานที่รัฐบาลทำมาตลอดระยะเวลา 4 ปี  ไม่ได้มุ่งเพื่องานการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

“การลงพื้นที่ประชุม ครม. นอกสถานที่ ผมพูดไปหลายครั้งแล้วว่าวัตถุประสงค์ในการไปเพื่ออะไร อย่ามองเป็นเรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นการทำงานร่วมกันของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นว่าจะขับเคลื่อนงานอย่างไร เพราะมีหลายโครงการที่ทำมาตลอด 4 ปี ก็ต้องไปติดตามความก้าวหน้า ไปดูว่าความต้องการในท้องที่พอเพียงหรือยัง อะไรที่ติดปัญหาอุปสรรค เราก็ไปเพิ่มเติมให้ เป็นเรื่องของการติดตามงาน และคงไม่ใช่นายกฯ คนเดียว เพราะ ครม. ไปทั้งหมด แล้วแบ่งเป้าหมายในการไปทำงานหลายจังหวัด หลายพื้นที่ ส่วนนายกฯ ไปดูเรื่องการบูรณาการในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการระดับจังหวัด ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับภาคเพื่อจะไปเติมเต็มให้เขา เป็นการทำงานในรูปแบบประชารัฐ ดังนั้น ลองไปติดตามดูแล้วกันว่าอะไรที่เป็นความคืบหน้า ผมไม่อาจพูดได้ว่าที่ทำไปนั้นดีที่สุด แต่ก็คงไม่ใช่แย่ที่สุด รัฐบาลไม่มีเจตนาที่ไม่ดี และไม่ได้มุ่งงานการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ผมยืนยัน” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

แจงกบง.อนุมัติงบพันล้าน ตรึงราคาแก๊สหุงต้มถังละ 363 บาท

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนบัญชีก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ติดลบกว่า 100 ล้านบาทว่า ได้สอบถามไปยังกระทรวงพลังงานแล้ว โดยทางกระทรวงยืนยันว่าคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้อนุมัติวงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรักษาระดับราคาก๊าซแอลพีจีที่ 363 บาทต่อถัง และคาดว่าจะเพียงพอไปถึงสิ้นปี 2561 และในระหว่างนี้จะมีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาเพื่อลดภาระกองทุนน้ำมัน

ยืนยันกติกาเดิม – ไม่อนุญาตขรก.เข้าพักบ้านตุลาการ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ออกมาร้องเรียนอีกครั้งเกี่ยวกับอาคารชุด 9 หลังในโครงการบ้านพักตุลาการยังมีผู้อาศัยอยู่ว่า ในส่วนของอาคารชุดมีการอยู่อาศัยมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่มีข้อตกลงกันว่าเมื่อมีการก่อสร้างหลังใหม่ก็ต้องย้ายออก และปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม จึงอยากให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ที่อยู่มาก่อนด้วย

“ผมทราบแต่เพียงว่าบ้านพักทั้งหมด 45 หลัง ไม่มีใครอยู่อาศัยแล้ว เพราะไม่ได้ให้อยู่อาศัยอยู่แล้ว แต่ในส่วนอาคารชุดมีการอยู่อาศัยมาก่อน ซึ่งมีข้อตกลงกันแล้วว่าเมื่อมีการก่อสร้างหลังใหม่ก็ต้องย้ายออก และปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม เพราะฉะนั้นต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่เขาอยู่มาก่อน”

“หลังจากมีกรณีศึกษา ก็ไม่ได้ให้ใครไปก่อสร้างสร้างเพิ่มเติม แต่คนที่เขาอยู่มาแล้ว ในช่วงที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ต้องให้เขาอยู่ไปก่อน เพราะเขาทำงานอยู่ ต้องเห็นใจกันทั้งสองฝ่ายนะ แต่ยืนยันว่ายังเป็นไปตามกติกาเดิมทุกประการ” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

ศธ.แจงแก้หนี้ครูได้ข้อยุติ – ออมสิน เตรียมลดดบ. – เบี้ยประกันฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกลุ่มวิชาชีพครูรวมตัวประกาศปฏิญญามหาสารคามเรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสินพักหนี้โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ลช.พ.ค. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และชักชวนให้ลูกหนี้ทั่วประเทศร่วมกันยุติการชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ว่าได้สอบถามกระทรวงศึกษาธิการแล้วโดยระบุว่าได้เจรจากับธนาคารออมสินแล้ว และได้ข้อยุติหลายประเด็น เช่น การลดดอกเบี้ย การแก้ไขเรื่องประกันชีวิต อย่างไรก็ตามจากการสอบถามพบว่าครูส่วนใหญ่ชำระหนี้ดี และไม่ได้เห็นด้วยกับการยุติชำระหนี้ ดังนั้นอย่าให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต จะได้เข้าใจกันทุกฝ่าย

ปฏิเสธข่าวปรับเกณฑ์รับเด็กมัธยมเข้าเรียนใหม่

พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงกรณีข่าวการปรับหลักเกณฑ์และแนวทางการรับนักเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่จะพิจารณาให้โรงเรียนมัธยมรับเด็กในเขตพื้นที่บริการ 100% โดยยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่มีนโยบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มีการหารือร่วมกันว่าจะทำอย่างไรใน 2-3 ประเด็น คือ 1. การสอบคัดเลือก 2. การคัดนักเรียนในพื้นที่  3. การจับฉลากหรือเกณฑ์พิเศษต่างๆ ซึ่งเป็นเกณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่จะทำอย่างไรให้เกิดการเข้าถึงการศึกษาอย่างเป็นธรรม

“มีสื่อหลายสื่อออกมาเผยแพร่ ผมไม่เข้าใจเอามาจากที่ไหนกัน รัฐบาลยังไม่มีนโยบายอะไรสักอย่าง แต่มีการหารือร่วมกันว่าจะทำยังไง ซึ่งเป็นเรื่องเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม ให้เข้าถึง สถานศึกษามีหน้าที่ในการทำให้ทุกคนลดความเหลื่อมล้ำลงไม่ใช่หรือเพราะฉะนั้น ก็ต้องให้สิทธิกับคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งคนเรียนดี คนในพื้นที่ แต่ต้องอยู่ในกรอบวิธีการที่คณะกรรมการเขาจะพิจารณามา เพราะฉะนั้นขอเตือนสื่อว่ากรณีที่เอาข่าวที่ยังไม่ชัดเจนออกไป แล้วเอาไปพูด แสดงถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

ยันแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ไม่เกี่ยวเลือกตั้ง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2561 จะมีผลต่อการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การเลือกตั้งอย่างไร ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง  เป็นไปตาม พ.ร.บ.การโยกย้ายประจำปี ส่วนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ก็เป็นคณะกรรมการหนึ่งคนในหลายๆ คนที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่ติดตามประเมินผลเท่านั้นเอง ทหารไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจบริหารของเขา

“ขอให้เชื่อมั่นว่าการที่เรามียุทธศาสตร์ชาติมันจะดีอย่างไร มันจะมีกรอบแม่บทในการพัฒนาอย่างไร มันถึงจะตามไปสู่แผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของแต่ละกระทรวงได้ว่ามันจะต้องตอบสนองกรอบยุทธศาสตร์ชาติว่าในอีก 5 ปี 10 ปี 20 ปี บ้านเมืองเราจะเป็นยังไง ก็เขียนกรอบใหญ่เอาไว้ แต่สามารถปรับได้ว่าตรงไหนจะทำก่อนหรือหลัง แต่ทั้งหมดต้องมองให้เห็นภาพว่าสิบปีข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้มุ่งไปสู่วิสัยทัศน์มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.โยกย้ายประจำปี ไม่มีปัญหา ทหารก็คือส่วนหนึ่งของประชาชนไม่ใช่หรือ เขาเจริญเติบโตมาในเส้นทางชีวิตราชการ เขาก็ต้องเป็นคนดีสิ เขาทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ ไม่ได้ทำเพื่อจะรักษาอำนาจให้กับใครที่ไหน เหมือนกับผมที่ผ่านมา ก็ทำหน้าที่ของผมจนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมก็ทำหน้าที่ตอบสนองรัฐบาลทุกรัฐบาลนั่นแหละ จะไปค้านรัฐบาลได้ยังไง ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

เตรียมเยือน “ภูฏาน” – ชี้ต่างชาติให้ความร่วมมือดีมาก

พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยว่า เตรียมไปเยือนประเทศภูฏานระหว่างวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2561 ตามคำเชิญของประเทศภูฏาน โดยวันนี้ความร่วมมือของประเทศไทยกับต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ในระดับที่น่าพึงพอใจ ในฐานะที่เป็นรัฐบาลแบบนี้ ได้รับการตอบรับในเรื่องการค้า การลงทุน และความร่วมมือหลายอย่าง เพราะเราจับประเด็นสำคัญออกมาแล้วเน้นถึงศักยภาพของประเทศและอาเซียน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี

ขอบคุณทุกฝ่ายช่วยเหลือ ทีมหมูป่า – เรือล่มภูเก็ต

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายอีกครั้งที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี่ รวมทั้งกรณีเรือท่องเที่ยวล่มที่ จ.ภูเก็ต โดยระบุว่าทั้งสองเหตุการณ์เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส ที่ต้องกลับมาทบทวนกระบวนการทั้งหมด เพื่อจะได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

“ผมอยากขอบคุณทุกฝ่ายอีกครั้งไม่ว่าจะช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่า หรือเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเรือล่มที่มีการเสียชีวิตมากมากพอสมควร เราก็เสียใจ แต่ก็ต้องกลับมาทบทวนกระบวนการทั้งหมด มันต้องมีส่วนร่วมกันหลายฝ่าย ไม่อาจจะโทษใครได้ แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลก็ต้องมาแก้ปัญหาในภาพรวม ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ บริษัททัวร์ต่างๆ ทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยปละละเลยก็ต้องถูกพิจารณาการลงโทษ อะไรที่เป็นส่วนดีๆ ก็ขยายกันออกไป ส่วนที่ไม่ดีเราก็ต้องแก้ไข ไม่อาจจะโทษใครได้เพราะมันเกิดในประเทศของเรา และวันนี้ต้องขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เขาเข้าใจและเห็นถึงความเอาใจใส่ ความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ปัญหา แต่เราก็จะต้องไม่ทำให้เกิดขึ้นอีก ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเสียที”  พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

ไฟเขียวเก็บ VAT อีคอมเมิร์ซต่างชาติ

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ โดยมีสาระสำคัญในการวางหลักเกณฑ์จัดเก็บภาษีฯ จากผู้ประกอบการที่อยู่นอกประเทศทั้งผู้ที่จำหน่ายสินค้าและผู้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือตัวกลางที่เป็นช่องทางทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น กูเกิล หรืออะเมซอน เป็นต้น เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ

โดยกำหนดให้ ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในประเทศไทย หากมีรายรับจากการให้บริการดังกล่าวเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายรับเกิน

หากผู้ประกอบการมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่มีความประสงค์จะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ให้สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยกำหนดให้การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการต่างประเทศดำเนินการผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรสำหรับผู้ประกอบการในต่างประเทศที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร และให้นำเงินส่งกรมสรรพากรผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์

อนึ่งปัจจุบันกฎหมายได้กำหนดให้คนที่ซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อแสดงตนว่าจะเอาสินค้ามาจ่ายภาษีฯ แต่ไม่ได้มีการดำเนินการจริงในทางปฏิบัติ ขณะที่บริษัทที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการแพล็ตฟอร์มต่างๆ ในต่างประเทศก็ไม่เสียภาษีฯ เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย กฎหมายดังกล่าวจึงเป็นหลักการที่จะกำหนดให้บริษัทเจ้าของสินค้า หรือแพลตฟอร์มในต่างประเทศต้องมาตั้งบริษัทตัวแทน และขึ้นทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย

“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาเพื่อเป็นหลักการก่อน แม้ว่าในรายละเอียดการปฏิบัติอาจจะมีปัญหาทางเทคนิกอยู่บ้าง เพื่อให้มีโอกาสในการพัฒนาต่อไปในอนาคต โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ชี้แจงในที่ประชุม ครม. ว่าถึงแม้จะมีกฎหมายออกมาแต่จะบังคับให้บริษัทมาดำเนินการดังกล่าวได้ค่อนข้างยาก จะทำการปรับหรือลงโทษหากไม่จดทะเบียนแวตก็ไม่ได้เพราะอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศได้เกิดปัญหาในลักษณะนี้เช่นกัน หากจะกำหนดให้ผู้ซื้อของ ที่อยู่ในประเทศไทยที่ซื้อของจากต่างประเทศระบบออนไลน์ ไม่สามารถเอาวงเงินที่ซื้อมาหักภาษีฯ ได้ แต่ก็ยังมีผลกระทบตามมา เช่น ผู้ขายอาจเพิ่มราคา เป็นผลักภาระภาษีให้ประชาชน และอาจจะมีประชาชนบางส่วนไม่พอใจรัฐบาล จึงยังไม่มีผลชัดเจนว่าจะมีผลในเชิงบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เสนอว่า ควรมีการศึกษาถึงข้อจำกัดและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยได้เคยผูกพันไว้กับหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หลักการดังกล่าวมีความละเอียดอ่อนที่จะกระทบกับข้อกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศ มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เห็นควรต้องพิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง

ยืดเวลาขึ้นทะเบียนคนจนรับเงินอุดหนุนบุตรถึง 30 ก.ย. นี้

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลจากฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) และฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนที่ พม. นำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดํเด็กแรกเกิด รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ของผู้เข้าร่วมโครงการเงินอุดหนุนฯ

จากการตรวจสอบพบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการเงินอุดหนุนฯ บางรายยังไม่มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย เป็นจำนวนกว่า 211,000 ราย ซึ่ง พม. ได้เปิดให้บัคคลเหล่านี้ไปดำเนินการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา แต่พบว่า มีผู้มาลงทะเบียนเพียง 62,565 ราย คิดเป็นร้อยละ 29 จากทั้งหมดเท่านั้น

“ทาง พม. ได้ขอขยายระยะเวลาให้ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 จึงต้องเรียนให้พี่น้องประชาชนผู้ที่ได้รับเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น่อย หรือก็คือพ่อแม่ที่รับเงินอุดหนุนฯ แต่ยังไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปรายงานตัวที่ พม. ในกำหนดเวลาดังกล่าว มือฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ในเงินอุดหนุนฯ” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

นายกฯ สั่งฟันร้านค้าโกงบัตรคนจน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุมยังรับทราบความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากการตรวจสอบของของกระทรวงการคลังพบว่า ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2560 – 11 มิถุนายน 2561 จากผู้มีสิทธิจำนวน 11.46 ล้านราย มีผู้มารับบัตรฯ แล้วจำนวน 11.06 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 96

และสำหรับร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องมีการว่างเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ทั้งหมด 45,655 เครื่อง ปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้ว 30,460 เครื่อง หรือร้อยละ 66 มีการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าไปแล้วรวม 30,716 ล้านบาท

“เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนสามารถให้บริการได้เร็วขึ้น ร้านค้าที่ยังไม่ได้ทำการติดตั้งเครื่อง EDC สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงินประชารัฐ’ ของธนาคารกรุงไทยมาใช้ให้บริการก่อนได้” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบของกระทรวงการคลังในระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา พบมีร้านธงฟ้าประชารัฐทำผิดหลักเกณฑ์ เช่น ร้านธงฟ้าฯ จังหวัดเชียงรายที่ฉวยโอกาสเรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรสวัดิการฯ โดยเจ้าของร้านอ้างว่าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 และร้านค้าในตลาดนัดจังหวัดอำนาจเจริญ ที่มีการยึดบัตรสวัสดิการฯ ของลูกค้าไว้แล้วนำไปรูดซื้อสินค้าที่ร้านธงฟ้าฯ ซึ่งเป็นร้านค้าส่งในจังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น

“เรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการกับร้านค้าที่ทำผิดอย่างจริงจัง นอกเหนือไปจากการเพิกถอนการเป็นร้านธงฟ้า และการถอนเครื่อง EDC แล้วจะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายแก่ร้านค้าต่างๆ เหล่านี้ด้วย เนื่องจากเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อกันทำให้นโยบายของรัฐถูกมองไปในทางไม่ดี” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นชอบ “บัตรคนจน” จ่ายค่ารถไฟฟ้าเกินได้ 1 เที่ยว-เริ่ม 20 ก.ค. นี้

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยอนุญาตให้การจ่ายเงินด้วยบัตรสวัสดิการฯ จะสามารถใช้ชำระค่าโดยสารได้เกินวงเงิน 500 บาท 1 ครั้งต่อเดือน โดยวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงิน 500 บาทในเดือนถัดไป

ตัวอย่างคือ เมื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าราคา 42 บาท ไปแล้วจำนวน 11 เที่ยว คิดเป็นเงิน 462 บาท จะคงเหลือเงินในบัตรสวัสดิการฯ อีก 38 บาท จะยังคงโดยสารรถไฟฟ้าได้อีก 1 เที่ยว ส่วนที่เกินนั้นจะนำไปหักในเดือนถัดไป

ทั้งนี้ การใช้สิทธิบัตรสวัสดิการฯ กับรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที จากที่ได้เปิดให้ผู้มีสิทธินำบัตรมาลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 ที่สถานีเอ็มอาร์ที โดยจะเริ่มใช้ชำระค่าโดยสารกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีม่วงตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป และจะขยายการให้บริการครอบคลุมไปถึงระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

“ภายในเดือนธันวาคม 2562 จะมีการนำเทคโนโลยีบัตร EMV contactless smart card มาใช้กับระบบตั๋วร่วมแมงมุม เพื่อให้ครอบคลุมรถไฟฟ้าทุกสาย (ยกเว้นบีทีเอสที่เป็นคู่สัญญากับ กทม. ไม่ใช่กระทรวงคมนาคม) รถประจำทาง ขสมก. และทุกบริการการขนส่ง ทั้งเรือโดยสาร และรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

หั่นงบ “เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020” เหลือ 950 ล้าน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการปรับสาระสำคัญและการปรับลดงบประมาณ การเข้าร่วมงาน “เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020” ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากเดิมที่กำหนดสาระสำคัญไว้ 5 หัวข้อ ได้แก่ 1. ระบบคมนาคมอัจฉริยะ 2. ระบบการขนส่งอัจฉริยะ 3. ระบบการท่องเที่ยวอัจฉริยะ 4. การดูแลสุขภาพอัจฉริยะ และ 5. การบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ วงเงินงบประมาณ 1,542 ล้าน โดยมีการปรับลดวงเงินงบประมาณลดลงเหลือเพียง 950 ล้านบาทบาท

และปรับรูปแบบใหม่ให้เป็น 7 สาระสำคัญที่มีความเชื่อมโยงกัน ได้แก่ 1. พระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 2. ศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลาง ทางเศรษฐกิจของอาเซียน 3. ความมหัศจรรย์ของอาหารไทย 4. แหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงในประเทศไทย 5. ศักยภาพด้านการเกษตร และ 6. วิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย และ 7. ศาลาไทยมิตรภาพ เพื่อแสงให้เห็นถึงมิตรไมตรีของคนไทย

เคาะห้ามนำเข้ามะพร้าวชั่วคราว 3 เดือน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหามะพร้าว โดยห้ามการนำเข้ามะพร้าวชั่วคราวเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2561 เพื่อพยุงราคามะพร้าวภายในประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตมะพร้าวของไทยออกสู่ตลาดมาก

อนึ่งก่อนหน้านี้ประเทศไทยต้องนำเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศเนื่องจากผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามในปี 2561 คาดว่าผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ปริมาณ 0.833 ล้านตัน และ 754 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 0.860 ล้านตัน และ 783 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.27 และร้อยละ 3.85 ตามลำดับ คาดว่ามีปริมาณความต้องการใช้ 1.1 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 22.05 จากปี 2560 (1.413 ล้านตัน)

“ราคามะพร้าวผลปี 2561 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ราคามะพร้าวเฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.74 บาท ล่าสุดราคามะพร้าวในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 5.96 บาท ลดลงจากปี 2560 ในเดือนเดียวกันที่ราคากิโลกรัมละ 14.10 บาท หรือลดลงร้อยละ 58 ที่ประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชจึงมีมติให้ใช้มาตรการดังกล่าวเป็นการชั่วคราว” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ไฟเขียวงบกลาง 390 ล้าน พัฒนาบุคลากรฯ อีอีซี 14 โครงการ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 งบกลาง เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการเร่งด่วน ภายใต้แผนปฏิบัติการ การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 3 กลุ่มงาน 14 โครงการ วงเงิน 390 ล้านบาท ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรและการส่งเสริมทักษะบุคลากร การพัฒนาการศึกษาและหลักสูตรขั้นพื้นฐาน การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ (สถาบันการศึกษาในประเทศ สถาบันวิจัย ภาคเอกชน) เพื่อให้เกิดนักวิจัยและผลงานวิจัย เช่น โครงการพัฒนาบุคลากรครูเพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านการบินและอวกาศอู่ตะเภา โครงการพัฒนาสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับเขต EEC ด้านภาษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการประกอบอาชีพ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โครงการสนับสนุนอาจารย์ นักวิจัยชั้นนำ จากสถาบันที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศมาปฏิบัติงานในสถาบันวิจัยในประเทศไทย

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ ด้านการเงินและด้านกฎหมายตามที่คณะกรรมการตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมการลงทุน ในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ

จับมือเมียนมาส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างข้อตกลงการส่งตัวผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดน งบประมาณจำนวน 3.5 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

จากการสำรวจ พบว่าประเทศไทยมีผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบในประเทศเมียนมา ที่อาศัยอยู่ในแหล่งพักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดน 9 แห่ง ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน 4 แห่ง จ.ตาก 3 แห่ง จ.กาญจนบุรี 1 แห่ง และ จ.ราชบุรี 1 แห่ง

โดยมีผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบทั้งหมด ประมาณ 99,700 คนตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดแนวทางสำหรับส่งตัวผู้หลบหนีภัยกลับไปยังประเทศต้นทาง โดยได้มีการดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้ว 2 ครั้ง ทั้งหมด 164 ราย ครั้งที่ 1 จำนวน 71 ราย และครั้งที่ 2 จำนวน 93 ราย

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 มีมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา คณะทำงานกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระหว่างคณะทำงานของทั้ง 2 ประเทศ โดยได้ออกข้อตกลงร่วมสำคัญ ได้แก่ 1. ทั้งไทยและเมียนมาจะทำงานร่วมกันในลักษณะเป็นมิตร เพื่อส่งตัวผู้หลบหนีภัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ด้วยความสมัครใจ ปลอดภัย และยั่งยืน 2. ทางเมียนมาจะจัดกลุ่มผู้หลับหนีภัยแยกเป็นประเภท เพื่อลดขั้นตอนในกระบวนการพิสูจน์

ทั้งนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีถิ่นกำเนิดที่สามารถยืนยันอย่างชัดเจน กลุ่มที่มีจุดหมายปลายทางอย่างชัดเจน และกลุ่มที่มีความต้องการด้านวิชาชาชีพ โดยฝ่ายไทยจะเป็นผู้แจกจ่ายแบบฟอร์มสำหรับผู้หลบหนีภัยแต่ละประเภท และ 3.สำหรับกลุ่มที่จะกลับไปตั้งถิ่นฐานในเมียนมาแน่นอน ได้มีการกำหนดให้ใช้จุดผ่านแดนที่ใกล้พื้นที่พักพิงให้ได้มากที่สุด ได้แก่ จุดผ่านแดนแม่สอด-เมียวดี จ.ตาก และจุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี

จัดประกวดออกแบบโลโก้ รับไทยเจ้าภาพอาเซียนปี 62

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในปี 2562 ไทยจะรับตำแหน่งการเป็นประธานอาเซียนซึ่งรัฐบาลได้ กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยไทยมีการกำหนดเป็นเจ้าภาพจะจัดประชุมอาเซียนมากกว่า 160 การประชุมตลอดทั้งปี

“รัฐบาลเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของเยาวชนไทยในการเป็นประเทศประธานอาเซียนในครั้งนี้ ก็ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากรพร้อมเครือข่ายจัดโครงการประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์หรือโลโก้การเป็นประธานอาเซียนของไทย โดยตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ การเป็นประธานอาเซียนของไทยตามสื่อต่างๆทั้งในและต่างประเทศตลอดทั้งปี” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับรายละเอียดผู้ที่จะเข้าร่วมออกแบบต้องเป็นเยาวชนอายุไม่ เกิน 25 ปี สามารถส่งผลงานเข้าประกวดโดยมี คณะกรรมการคัดเลือกผลงานที่ โดดเด่นและสอดคล้องการเป็นประธานอาเซียนของไทยจำนวน 10 ผลงานเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี คัดเลือกผลงานที่ชนะการประกวด ผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท รองชนะเลิศ 4 รางวัลๆละ 30,000 บาท รางวัลชมเชย 5 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท เยาวชนที่สนใจสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 ส.ค. สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่ เว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศได้

นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ อุบลฯ – อำนาจเจริญ 23-24 ก.ค. นี้

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีมีภารกิจที่จะเดินลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดอำนาจเจริญและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2561 ณ จังหวัดอุบลราชธานี

โดยวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 จะไปตรวจเยี่ยมศูนย์การเรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์แพทย์แผนไทยพนา ตำบลพระเหลา อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ จากนั้นเดินทางไปยังวัดหนองป่าพง ตำบลโน้นผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อกราบสักการะพระอัฐิธาตุของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงและพระลูกศิษย์หลวงพ่อชา แล้วเดินทางต่อไปยังสวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และพบประประชาชน พร้อมเป็นประธานสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 และจากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดงานเทศกาลประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี ประจำปี 2561 “ฮีตศรัทธา ราชธานีแห่งเทียน” ณ ลานเทียน มณฑลพิธีทุ่งศรีเมือง

สำหรับวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 ในช่วงเช้า เวลาประมาณ 08.30 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (ราชธานีเจริญศรีโสธร: อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และจังหวัดยโสธร) ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมยูเพลส มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ก่อนจะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ 5/2561 2 โรงแรมยูเพลส มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเช่นกัน ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางไปเยี่ยมชมแอ่งท่องเที่ยวชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี และจะเดินทางกลับถึงกรุงเทพมหานครในเย็นวันเดียวกัน เวลาประมาณ 18.00 น.

จัดหมู่ป่าฯ พบสื่อผ่านรายการ “เดินหน้าประเทศไทย”

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของโค้ชและนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมี หลังจากออกจากโรงพยาบาล ผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทย เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประสานขอความร่วมมือกรมประชาสัมพันธ์ว่าจะจัดให้มีการพบปะกันระหว่างทีมหมูป่ากับสื่อมวลชน

ทั้งนี้ได้มีการจะจัดสรรเวลาให้ประมาณ 45 นาที ตั้งแต่ 18.00 น.ซึ่งช่อง 5 , 9 , 11 จะถ่ายทอดจนจบ ส่วนช่องอื่นไม่ได้บังคับว่าจะเกาะเกี่ยวสัญญานจนจบหรือไม่

“รูปแบบรายการจะมีผู้ดำเนินรายชาย 1 คน ที่เป็นสื่อมวลชนและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีอาวุโสพอสมควร เพื่อพิจาณาได้ว่าจะใช้คำถามอย่างไรที่เหมาะสม เพราะจะให้สื่อมวลชนอื่นๆ ส่งคำถามผ่านผู้ว่าฯ เชียงราย และจะมีนักจิตวิทยาคอยคัดกรองคำถามด้วยว่าคำถามใดเด็กควรตอบ ก็จะอนุญาตให้ตอบ แต่ตอนนี้ยังไม่กำหนดว่าผู้ดำเนินรายการจะเป็นใคร ซึ่งในรายการจะมีทั้งแพทย์ นักจิตวิทยา ครอบครัว และหน่วยซีล ร่วมพูดคุยด้วย” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

อย่างไรก็ตามหลังจบรายการเด็กๆทีมหมูป่า จะกลับบ้านทันที ซึ่งเป็นเรื่องตามอัธยาศัยของแต่ละคนที่จะสัมภาษณ์ต่อ แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเด็ก และสังคม อีกทั้ง แพทย์จิตวิทยาจะอาจจะมีอะไรฝาก เพื่อเป็นข้อคิดข้อสังเกตว่าอะไรที่จะดูเป็นการกดดันเด็กไป หรืออะไรที่พอจะไปได้ อย่างไรก็ตาม สถานที่จัดรายการ อาจเป็นห้องประชุมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือสนามฟุตบอล ซึ่งเราต้องการให้เป็นบรรยากาศแบบสบายๆนั่งคุยกัน ไม่ใช่เหมือนแถลงข่าว

ต่ออายุ “รื่นวดี” นั่งเก้าอี้อธิบดีกรมบังคับคดี อีก 1 ปี

พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบระทรวงยุติธรรมเสนอ ให้ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2562

อ่านมติ ครม.วันที่ 17 กรกฎาคม 2561