ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เผยทุกฝ่ายเร่งค้นหา 13 ชีวิต ติดถ้ำหลวงทุกวิถีทาง – มติ ครม. ไฟเขียว ไทยออยล์เช่าที่ราชพัสดุต่อ 30 ปี 12,000 ล้าน

นายกฯ เผยทุกฝ่ายเร่งค้นหา 13 ชีวิต ติดถ้ำหลวงทุกวิถีทาง – มติ ครม. ไฟเขียว ไทยออยล์เช่าที่ราชพัสดุต่อ 30 ปี 12,000 ล้าน

27 มิถุนายน 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีเปิดเผยกับสื่อมวลชนกรณีโค้ชและนักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย จ.เชียงราย  13 คน หายไปในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ในขั้นตอนการค้นหาอย่างต่อเนื่องทุกวิถีทาง โดยทำงานในลักษณะศูนย์ปฏิบัติการร่วมแบบบูรณาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

เผย ร.10 รับสั่งดูแลช่วยเหลือ13 ชีวิตติดถ้ำหลวงให้ดีที่สุด – เชื่อทุกคนยังมีชีวิตอยู่

นายกรัฐมนตรี จดพระราชกระแสรับสั่งจากในหลวงถึงทีมฟุตบอล และทีมกู้ภัย ณ ถ้ำหลวง

พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า “สถานการณ์ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ในขั้นตอนการค้นหาอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ภายในค่อนข้างลำบาก เราทุกคนต้องช่วยกัน มั่นใจว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่และรอการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ขณะนี้ทุกคนทุ่มเทเสี่ยงชีวิตในการเข้าไปช่วยเหลือทั้ง 13 คน หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ขอให้คนไทยทั้งประเทศช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น สร้างแรงศรัทธา อย่าเสนอข่าวให้เสียขวัญ”

“สิ่งสำคัญที่สุดคือพระบารมีปกเกล้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงติดตามสถานการณ์โดยตลอด ได้รับสั่งผ่านท่านราชเลขาธิการในพระองค์ให้ดูแลให้ดีที่สุด ทั้งครอบครัว ทั้งการช่วยเหลือ ทั้งความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ต่างๆ ต้องมีแผนในการดำเนินการที่รัดกุม ไม่ให้เกิดการสูญเสียใดๆ ทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ขณะที่ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายยังคงทำงานต่อเนื่องแข่งกับเวลา โดยแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน คือ การสูบน้ำออกจากถ้ำ แต่มีอุปสรรคเรื่องน้ำในถ้ำมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นจากฝนที่ตกหนัก อีกส่วนหนึ่งคือ หน่วยซีลยังคงดำน้ำเพื่อหาช่องทางเข้าไปด้านในให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีแผนและตั้งเป้าว่าจะดำเข้าไปเป็นระยะ

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้เล่าในที่ประชุม ครม. ว่า ขณะที่อยู่ระหว่างเยือนต่างประเทศได้ติดตามเรื่องนี้ตลอด ซึ่งเมื่อเห็นภาพคนไทยในต่างประเทศ และคนต่างประเทศดูรายงานข่าวดังกล่าวจากเมืองไทย มีหลายอย่างที่ทำให้คนต่างประเทศที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเรามองภาพลักษณ์ไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดีนัก เช่น เรื่องไสยศาสตร์ และภาพที่ดูถึงความสับสนอลหม่าน

ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่างทำหน้าที่ ขณะที่สื่อมวลชนก็มีการกันพื้นที่ว่าตรงไหนสามารถเข้าได้ และไม่เข้าใกล้พื้นที่ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มากไป เพราะจะทำให้การปฏิบัติงานไม่เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ โดยภาพเหล่านี้ก็ไปปรากฏในต่างประเทศด้วย

“นายกรัฐมนตรีจึงฝากชี้แจงสื่อมวลชนว่าขอความกรุณาแจ้งทีมงานที่ลงไปในพื้นที่ว่าขอให้เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ จะได้ไม่เกิดความสับสนอลหม่าน และข้อมูลใดที่นำเสนอขอให้คำนึงด้วยว่าโลกการสื่อสารปัจจุบันเร็วมาก เมื่อไปต่างประเทศ หลายคนเขาไม่เข้าใจวิถีชีวิต ความเชื่อ อัตลักษณ์ ของคนไทย ก็จะทำให้เขาเสพข้อมูลที่ผลิตไป แล้วตีค่าประเทศเราเป็นผลที่เราอาจไม่พึงพอใจนัก” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เร่งแก้ปัญหา “บีทีเอส” ขัดข้องถี่

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีปัญหาระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้องว่า มีความเป็นกังวล เพราะมีปัญหามาโดยตลอด เนื่องจากใช้งานมานาน ซึ่งขณะนี้มีปัญหาเรื่องระบบอาณัติสัญญาณ กำลังให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประสานดำเนินการแก้ไขปัญหาอยู่

“กสทช. กำลังแก้ไขปัญหาอยู่ อาจจะต้องปรับแบนด์วิดท์คลื่นความถี่หรือไม่  เพราะมีการให้เช่าช่วงแบนด์วิดท์ คลื่นความถี่ต่างๆ ตอนนี้มีผู้ใช้แบนด์วิดท์คลื่นความถี่ 2300 เมกกะเฮิรตซ์ ซึ่งอาจใกล้กับคลื่นความถี่ของบีทีเอส” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เร่งพัฒนาการลงทุน-ตั้งศูนย์วิจัยพัฒนา-ดูแลสิ่งแวดล้อม

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่าสิ่งสำคัญขณะนี้คือจะต้องเร่งรัดการพัฒนาในระบบต่างๆ ของประเทศขึ้นมาเองให้ได้ การลงทุนใหม่ในทีโออาร์หรือการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา หรือมีการดูแลประชาชนอย่างไร ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไร

“นี่คือสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำ ไม่ใช่ให้สิทธิประโยชน์อย่างเดียว  ซึ่งต่างประเทศเขายังชอบและเห็นด้วยที่เราเขียนอย่างนี้ ในการดูแลสิ่งแวดล้อม การลดโลกร้อน การดูแลประชาชนให้ได้ประโยชน์”

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า “เพราะฉะนั้น ทำความเข้าใจอีกครั้งว่าการลงทุนมีทั้งการลงทุนในและต่างประเทศ แต่การลงทุนในประเทศขณะนี้นักลงทุนไทยอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะลงทุนมาช่วงระยะเวลานานพอสมควร แต่สินค้าขายออกได้น้อย ทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลงหรือหันไปลงทุนต่างประเทศแทน

ดังนั้น รัฐบาลจะส่งเสริมเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ผ่านกิจกรรมของโครงการอีอีซี หรือกิจกรรมของเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ เพราะฉะนั้น นี่คือการเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติเศรษฐกิจของเราที่สำคัญเป็นประวัติศาสตร์ มันต้องมีการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ”

“ไม่มีอะไรที่มันไม่ต้องลงทุนหรอกครับ ก็ดีกว่าใช้เงินไปโดยที่มันไม่มีผลตอบแทนในอนาคตกลับมา แล้ววันนี้ทุกประเทศยินดีที่จะสร้างงาน สร้างอาชีพ และรับคนไทยเข้าทำงานในบริษัทเขา แต่ปัญหาของเราคือผลิตคนได้เพียงพอหรือไม่ ก็ต้องไปดูระบบการศึกษา หลักสูตรต่างๆ ทั้งหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ไม่ได้สั่งห้ามขายนิตยสารไทม์ หน้าปกตัวเอง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีข้อเสนอเรื่องการเลือกตั้งของพรรคการเมืองว่า รัฐบาลและ คสช. กำลังพิจารณาเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น โปร่งใส ถูกต้อง ยุติธรรม ส่วนการให้เสรีในการหาเสียง มีกำหนดเวลาอยู่แล้ว คาดว่าน่าจะเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลหรือ คสช. ฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายต้องขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ส่วน คสช. มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องความมั่นคง ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองนิ่ง มีเสถียรภาพ  ขณะที่การนัดประชุมกับพรรคการเมืองครั้งต่อไปคาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณเดือนกันยายนนี้

ส่วนกรณีนิตยสารไทม์เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี และมีข่าวว่ารัฐบาลสั่งห้ามนำมาจำหน่ายในประเทศไทย พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้สนใจมาก และไม่ได้สั่งห้ามขายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่สนใจคือคนไทยเชื่อมั่นหรือไม่ว่าตนเข้ามาทำงานเพื่อคนไทยให้ดีที่สุด

“มันห้ามกันได้ไหม ผมไม่ได้ไปสนใจอะไรมากมาย เขามาสัมภาษณ์ผม ก็เป็นเรื่องของทางนิตยสาร มันอยู่ที่คนไทยเชื่อมั่นผมมากน้อยแค่ไหน เพราะผมคิดว่าผมเข้ามาทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เห็นชอบ ตั้งกองทุนพีพีพี – ตีตก กองทุนส่งเสริมถ่ายทำภาพยนตร์ฯ

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียน  กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และมีมติไม่เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

สำหรับกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เป็นการจัดตั้งเพื่อให้สอดคล้องกับร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. …. ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปัจจุบัน ซึ่งคณะกรรมการว่าด้วยนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนพิจารณาแล้วเห็นว่า กองทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับกฎหมายใหม่ที่กำลังจะออกมานั้นมีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ซึ่งทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน มีผลบังคับใช้ จะทำให้กำหมายและกองทุนเดิมหมดสภาพไป

“เนื่องจากกองทุนตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุน พ.ศ. 2556 ยังขาดเรื่องสำคัญ คือ เรื่องการใช้เงินในกองทุนสำหรับลงทุนหรือดำเนินการในโครงสร้างในเชิงสังคม ซึ่งเป็นโครงการที่อาจไม่ได้รับผลตอบแทนสูง แต่เป็นความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ เพื่อให้การบริการ และการใช้ชีวิตของประชาชนมีความสะดวกสะบายขึ้น จึงมีการจัดทำกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนขึ้น” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

สำหรับกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามร่าง พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ที่ดูแลโดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมที่ประชุม ครม. เห็นว่าปัจจุบันภารกิจนี้เป็นของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องดังกล่าว โดยเป็นการดูแลผ่านโครงการส่งเสริมและสร้างภาพยนตร์ต่างประเทศในรูปแบบมาตรการคืนเงิน ซึ่งเป็นการคืนเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับผู้สร้างภาพยนตร์จากต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย และได้รับงบประมาณสนับสนุนอยู่แล้ว

โดยในปีงบประมาณ 2560 กรมฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณมาแล้ว 100 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2561 ได้รับจัดสรร 119 ล้านบาท และในวงเงินนี้หากมีความจำเป็นก็สามารถมาของบประมาณเพิ่มเติมได้ อีกทั้งการส่งเสริมเรื่องนี้ยังเป็นไปตามนโยบายของรัฐในแต่ละช่วงเวลา จึงอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนตามร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว และจะเป็นการซ้ำซ้อนกับการทำงานของกรมการท่องเที่ยว

ไฟเขียว ไทยออยล์วางเงิน 12,000 ล้าน เช่าที่ราชพัสดุต่อ 30 ปี

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ บริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลบางพระ และตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แก่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เนื้อที่ 1,499 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา ซึ่งเป็นการเช่าต่อจากสัญญาเดิมที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 10 กันยายน 2565 ไปเป็นสิ้นสุดในวันที่ 10 กันยายน 2595 โดยให้จ่ายเงินค่าเช่า ณ เวลาปัจจุบัน ณ วันที่ 11 กันยายน 2565 เป็นเงิน 12,000 ล้านบาทเนื่องจากคณะกรรมการพิจารณาการให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัท ไทยออยล์ฯ ให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐคุ้มค่า และอัยการสูงสุดตรวจดูในร่างสัญญาเห็นว่ารัฐไม่เสียเปรียบและเป็นประโยชน์

โดยสาระสำคัญของสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุจะกำหนดระยะเวลาเช่าไว้เป็นเวลา 30 ปี ซึ่งกรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของที่ดินได้ดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุน พ.ศ. 2556 โดยว่าจ้างที่ปรึกษาในการคำนวณราคา คิดราคาตลาดเป็นมูลค่าปัจจุบัน ณ ปี 2565 รวมมูลค่า 11,701 ล้านบาท แบ่งเป็นผลตอบแทนในการเช่าที่ราชพัสดุฯ 8,756 ล้านบาท และมีผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มอีก 2,945 ล้านบาท ขณะที่ไทยออยล์ยินดีจ่ายค่าเช่าให้รัฐ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ผลตอบแทนในการเช่าที่ราชพัสดุฯ 8,756 ล้านบาท และผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่ม 3,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298 ล้านบาท

”ทั้งนี้ มีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่ากรมธนารักษ์มีสิทธิที่จะปรับเพิ่มค่าเช่าหรือผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมได้ หากคู่สัญญามีการขยายหรือปรับปรุงทรัพย์สินที่ให้เช่า หรือดำเนินการในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการโรงกลั่นน้ำมันตามที่ได้แจ้งเอาไว้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับเพิ่มเติมในที่ประชุม ครม. ว่า ต้องทำให้สังคมเกิดความมั่นใจว่าในทุกโครงการที่มีการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน รัฐบาลได้คำนวณแล้วทุกมิติเพื่อความโปร่งใส” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นชอบโครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นฯ รับสุวรรณภูมิเฟส 2

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศภายในอาคารผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (DCAP) วงเงิน 990 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ 950 ล้านบาท และที่เหลืออีก 40 ล้านบาท จะมาจากเงินรายได้ของ DCAP เอง

“เมื่อมีการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 จะเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี จากเดิม 45 ล้านคนต่อปี ทำให้ต้องดำเนินการหลายอย่าง เช่น การสร้างอาคารเทียบเครื่องบิน ซึ่งก็ต้องมีความต้องการใช้ไฟฟ้าและระบบแอร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้น้ำเย็นในระบบปรับอากาศเพิ่มขึ้นอีก 9,000 ตันความเย็น ในขณะที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตน้ำเย็นเหลืออยู่ 7,340 ตันความเย็น จึงทำให้มีความจำเป็นต้องก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับใช้ในระบบปรับอากาศเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 12,000 ตันความเย็น” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

สำหรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอีก 38.5 เมกะวัตต์ เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็นนั้น ที่ประชุม ครม. เห็นว่าการลงทุนก่อสร้างโรงผลิตไฟฟ้าอาจจะไม่คุ้มค่า จึงอนุมัติให้มีการใช้งบประมาณจาก บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) โดยเป็นการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าขนาด 115 กิโลโวลต์ จากจุดเชื่อมโยงไฟฟ้าแรงดันสูงของการไฟฟ้านครหลวง ที่ถนนบางนา-ตราด เข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมทั้งการจัดสร้างอุปกรณ์รับไฟฟ้า และอาคารผลิตน้ำเย็น

เตรียมจับมือมะกัน แลกเปลี่ยนงานวิจัยกลาโหม หวังลดนำเข้าอาวุธ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมได้ขอความเห็นชอบในการทำความตกลงร่วมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ในการเเลกเปลี่ยนข้อมูลด้านงานวิจัยและพัฒนา ในส่วนของกระทรวงกลาโหมประเทศไทยจะขอให้เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมเป็นผู้ลงนาม ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ

อนึ่งไทยและสหรัฐฯ โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล แลกเปลี่ยนนักศึกษา สนับสนุนการฝึกซึ่งกันและกันมาเป็นระยะเวลานาน แต่ในด้านงานวิจัยและพัฒนา ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีป้องกันระเทศก็ยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลไม่มากพอ ดั้งนั้นจึงจำเป็นต้องจัดทำกรอบความร่วมมือดังกล่าวขึ้น ซึ่งเรื่องที่จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันจะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของทั้ง 2 ประเทศ โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนในลักษณะต่างตอบแทน ทั้งมูลค่า คุณภาพ และปริมาณ ในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 15 ปี นับแต่วันลงนาม

“ได้รับการชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า สหรัฐฯ ยอมรับประเทศไทยในเรื่องเทคโนโลยีระบบหุ่นยนต์  นอกจากนี้ ไทยยังมีความเชี่ยวชาญ และความรู้ในการจัดเตรียมอาหารสำเร็จรูปที่เป็นอาหารภาคสนาม ซึ่งสหรัฐฯ นั้นให้ความสำคัญเรื่องอาหารภาคสนามระหว่างปฏิบัติหน้าที่อย่างมาก จึงคาดว่าจะนำข้อมูลในด้านนี้ไปแลกเปลี่ยน ซึ่งตรงกับนโยบายที่นายกรัฐมนตรีเคยให้ไว้ว่า ไทยต้องเร่งรัดการวิจัยและพัฒนาในเรื่องอาวุธ เพื่อลดรายจ่ายของประเทศในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ และสามารถผลิตอาวุธเองได้ในอนาคต” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นพ้องเพิ่มจำนวนรองเลขาฯ สำนักงานศาล รธน.

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สำนักงานรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอ โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญสามารถกำหนดตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและการบริหารงานของสำนังงานศาลรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้น

“เดิม พ.ร.บ.สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2542 กำหนดให้มีรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ 2 คน โดยการแก้ไขใหม่นี้เป็นการปรับแก้ให้ไม่มีการกำหนดจำนวนคน เนื่องจากภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าควรจะมีรองเลขาธิการสำนักงานศาลฯ กี่คนในแต่ละช่วงเวลา เพราะเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ และมีค่าตอบแทนค่อนข้างสูง นอกจากนั้น สำนักงบประมาณได้มีข้อเสนอว่า การจะมีรองเลขาธิการสำนักงานศาลฯ กี่คนนั้น ควรต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับการกำหนดตำแหน่งระดับสูงของหน่วยงานอิสระ ที่มีภาระกิจและปริมาณงานในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ซึ่ง ครม. ก็เห็นพ้องด้วย” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

“บิ๊กป้อม” รายงานผลถกพรรคการเมือง ส่งต่อนายกฯ ผ่อนคลายบางมาตรการ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รายงานผลการหารือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในแวดวงการเมืองทั้งตัวแทนจากพรรคการเมือง ตัวแทนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมชี้แจงทำความเข้าใจด้วย

โดยในวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมานั้น มีพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมทั้งเก่าและพรรคที่คาดว่าเป็นพรรคที่จดทะเบียนใหม่กว่า 70 พรรค และผู้แทนจากพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งสิ้น 227 คน มีการหารือกันในประเด็นต่างๆ เช่น ปัจัยจัยในการพิจารณาจัดการเลือกตั้ง กรอบเวลาตามโรดแมป หรือแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป รวมทั้งเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองได้ซักถาม แสดงความคิดเห็น

”ผลจากการหารือ ท่านรองนายกรัฐมนตรีสรุปว่าเป็นประโยชน์กับพรรคการเมือง และ กกต. เชื่อว่าจะสามารถช่วยผ่อนคลายปัญหาความไม่เข้าใจแก่พรรคการเมืองและประชาชนได้ นอกจากนั้น จะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง กกต. ในการที่จัดเตรียมการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นตามโรดแมป ท่านบอกว่าท่านได้นำรายละเอียดประเด็นปัญหาต่างๆ ทั้งหมดที่ได้พูดคุยมานำเรียนต่อนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้นายกรัฐมตรีพิจารณาผ่อนคลายมาตรการทางการเมืองให้ กกต. และพรรคการเมืองสามารถจะดำเนินการในบางเรื่องที่คิดว่ามีความจำเป็นสำหรับเตรียมการหรือเตรียมความพร้อมไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแมป” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นชอบร่างกรอบการเจรจา FTA ระหว่างไทย-ปากีสถาน และไทย-ตุรกี

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตลกลงการค้าเสรีเพิ่มเติม สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ปากีสถาน และไทย-ตุรกี สืบเนื่องจาก ครม. ได้เคยมีมติเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 ในการเห็นชอบร่างกรอบการเจรจา FTA ระหว่างไทย-ปากีสถาน และไทย-ตุรกี ซึ่งเป็นประเด็นเฉพาะเรื่องการค้า เช่น การค้าสินค้า วิธีการศุลกากร หรือกฎว่าด้วยถิ่นสินค้า

“ในปี 2561 ที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติม จึงมีการเสนอให้มีประเด็นครอบคลุมไปกว่าเรื่องการค้าสินค้า โดยปากีสถานเสนอเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม FTA ระหว่างไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ 4 (เพิ่มเติม) ส่วนประเทศไทยได้เสนอเป็นเจ้าภาพในการประชุม FTA ระหว่างไทย-ตุรกี ครั้งที่ 4 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการร่างกรอบเจรจาเพิ่มเติมขึ้น” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ เป้าหมายการเจรจาจะเป็นประโยชน์ให้กับไทย ปากีสถาน และตุรกี โดยจะคำนึงถึงระดับการพัฒนา หลักการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และความพร้อมของกฎหมายไทยมารองรับ ซึ่งจะครอบคลุมใน 11 ประเด็น ได้แก่ การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ สิ่งแวดล้อม แรงงาน ความร่วมมือทางวิชาการและการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการ การคุ้มครองผู้บริโภค และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 27 มิถุนายน 2561 เพิ่มเติม