ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 มิ.ย. 2561: ไม่สนคนตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ ‘สุเทพ’ ร่วมพรรครวมพลังประชาธิปไตย และ กูเกิลประกาศหลักการพัฒนาเทคโนโลยี ‘7 จะทำ – 4ไม่ทำ’

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 มิ.ย. 2561: ไม่สนคนตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ ‘สุเทพ’ ร่วมพรรครวมพลังประชาธิปไตย และ กูเกิลประกาศหลักการพัฒนาเทคโนโลยี ‘7 จะทำ – 4ไม่ทำ’

9 มิถุนายน 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 มิ.ย. 2561

  • ไม่สนคนตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ “สุเทพ” ร่วมพรรครวมพลังประชาธิปไตย
  • ยธ. ขยายเวลา “ตั๊น” พิสูจน์ความจน
  • หาม “อดีตพุทธะอิสระ” ส่ง รพ. ตรวจเลือดออกในกระเพาะ
  • กยศ. เผย ยอดคนเบี้ยวหนี้พุ่ง ฟ้องแล้ว 1.2 ล้านราย คาด-สถานการณ์จะดีขึ้นหลังเริ่มระบบหักบัญชี
  • กูเกิลประกาศหลักการพัฒนาเทคโนโลยี “7 จะทำ – 4ไม่ทำ”
  • ไม่สนคนตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ “สุเทพ” ร่วมพรรครวมพลังประชาธิปไตย

    วันที่ 3 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จัดประชุมผู้ก่อตั้งพรรคและผู้สนับสนุนพรรค เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 มิ.ย. 2561 ที่อาคารสุริยะเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล, นายธานี เทือกสุบรรณ, นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง, นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยรัฐกิจ ม.รังสิต, นายสำราญ รอดเพชร, นายประสาร มฤคพิทักษ์, นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และนายสาธิต เซกัล ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมทั้งมีประชาชนจากจังหวัดต่างๆ เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย

    นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ย้ำจุดยืนของผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ โดยบอกว่าพรรคในประเทศมีมากมาย แบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ พรรคทหาร พรรคที่ทำรูปแบบธุรกิจการเมือง และแบบพรรคที่มีนักการเมือง คาดหวังการเป็นรัฐมนตรี รวมถึงต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี 

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (http://bit.ly/2LxmWCZ)

    นายเอนกย้ำว่า “ขอยืนยันกับมิตรทั้งหลายประชาชนทั้งหลาย ผมไม่ได้ทำพรรคอยากเป็นหัวหน้า ไม่ได้อยากเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้อยากทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น การทำพรรคครั้งนี้เพราะผมได้พบผู้ก่อตั้งเป็นสิบเป็นร้อยหลายเดือนมาแล้ว ทำงานยังไงให้บ้านเมืองมีทางรอด การเมืองอย่างไหนทำให้เกิดแสงสว่าง”

    นายเอนกยืนยันว่า พรรครวมพลังของชาติไทยเป็นพรรคใหม่ ที่ไม่เป็นรูปแบบเดิมๆ ส่วนตัวย้ำ การเข้าร่วมทำพรรคครั้งนี้ ไม่ต้องการเป็นหัวหน้าพรรคหรือเป็นรัฐมนตรี เมื่อได้พูดคุยกับผู้ร่วมก้อตั้งหลายคน ต้องการทำงานเพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย แบบธรรมาธิปไตย

    “เราจะปฏิรูป เราจะไม่ปฏิวัติ เราจะไม่โค่นล้มอะไร เราไม่มีความชิงชังอะไรทั้งสิ้น เราจะทำการเมืองแห่งความรู้รักสามัคคี”

    นายเอนกย้ำด้วยว่า อุดมคติพรรค นอกจากเป็นพรรคประชาชนแล้ว สิทธิชายหญิงจะต้องมีความเท่าเทียม และจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังเพื่อประเทศ และจากนี้ จะไม่ใช่การหลั่งเลือดเพื่อชาติ แต่ต้องลงมือทำเพื่อประเทศ โดยไม่กลัวว่าจะแพ้ เพราะเป็นการทำเพื่อทดแทนแผ่นดินไทยที่รักและภูมิใจ ภายใต้สถาบันที่สูงส่ง โดยพรรคจะปฎิรูป แต่ไม่ปฎิวัติ และจะทำการเมืองแบบรู้รักสามัคคี เพื่อให้ประเทศ อย่างสงบ มีสติ เพื่อลูก หลานในอนาคต

    และยังกล่าวด้วยว่า

    “เราจะเป็นพรรคของพลเมือง แต่พลเมืองนี้จะต้องเป็นพสกนิกรที่รักภักดีและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะต้องปกป้องสิ่งที่ดีงามที่บรรพชนไทยได้ทำเอาไว้ อย่าให้ใครมากวาดมันทิ้ง ข้ามศพพวกเราไป”

    ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศจุดยืนส่วนตัวทั้งน้ำตาต่อที่ประชุมพรรคว่า “นึกถึงผู้เสียชีวิต พี่น้องประชาชนที่เสียสละตัวเองเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ใฝ่ฝันจะเห็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ใฝ่ฝันเห็นประเทศไทย คนไทยทุกเชื้อชาติทุกศาสนา ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข รู้คุณค่า จงรักภักดีต่อแผ่นดิน คนไทยเหล่านั้นได้เสียสละออกเงินส่วนตัว เสียสละความสุขนอนกลางดินกินกลางถนน ถูกยิง ถูกขว้างระเบิด เจ็บเป็นพันคน ตายหลายสิบคน อยากให้พวกเขาเห็นภาพวันนี้ วันที่พวกเรานึกถึงเขาด้วยความเคารพ ความเสียสละ และวันที่คนอย่างพวกเราลุกขึ้นมาประกาศอุดมการณ์ สืบสานปณิธานผู้เสียสละเหล่านั้น แม้จะถูกดูถูกว่าพรรคเพื่อประชาชนไม่มีทางเกิดขึ้นได้”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (http://bit.ly/2LxmWCZ)

    นายสุเทพ ยืนยันว่า “ผมจะไม่กลับไปเป็น ส.ส. อีกแล้ว ผมไม่ต้องการมีตำแหน่งในทางการเมือง แต่เมื่อพี่น้องร่วมอุดมการณ์มาบอกผมว่าจะต้องตั้งพรรคการเมืองของประชาชน ผมรู้แล้วครับว่าต้องร่วมกับพรรคนี้”  

    และยังกล่าวด้วยว่า “ผมรู้ว่าผมเป็นจุดอ่อน จุดด้อยของพรรคนี้ให้โดนโจมตี โจมตีว่าผมตระบัดสัตย์ไหนว่าไม่ยุ่งทางการเมือง วันนี้ขอประกาศที่นี่ ผมไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองนี้ แต่ผมจะยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนผู้มีอุดมการณ์ และผมไม่สนใจคำวิจารณ์ ก็เพราะผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งบัญชีรายชื่อ ผมอาสาขอเป็นขี้ข้าประชาชน”

    อนึ่ง พรรครวมพลังประชาธิปไตยนั้นพรรคตั้งเป้าจะหาสมาชิกให้ได้ 120,000 คน โดยจะต้องมีอย่างน้อยจังหวัดละ 100 คน

    ยธ. ขยายเวลา “ตั๊น” พิสูจน์ความจน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วิกิพีเดีย (http://bit.ly/2LATQm9)

    วันที่ 7 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร หรือตั๊น แนวร่วมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวจากกองทุนยุติธรรม ว่า น.ส.จิตภัสร์ ได้ยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ขั้นตอนหลังจากนี้กระทรวงจะขอความร่วมมือจากผู้ขอรับความช่วยเหลือ ให้แสดงหลักฐานเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจ ตามที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม ร้องขอตามเวลาที่กำหนด คือ ภายใน 15 วันนับจากที่ยื่นคำร้อง หรือต้องยื่นเอกสารหลักฐานมาให้สำนักงานกองทุนยุติธรรม ภายในวันที่ 11 มิ.ย. 2561

    นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่าส่งเอกสารมาให้พิจารณาโดยเอกสารหลักฐานหลักๆที่ต้องนำมาแสดงคือ รายการบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อของผู้ร้อง หากเข้าข่ายเป็นผู้อยู่ในบัญชีเครดิตบูโร อยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล รายการเสียภาษีย้อนหลัง 5 ปี นอกจากนี้ผู้ต้องหาหรือจําเลยต้องไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ก็สามารถได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้ โดยกองทุนยุติธรรมจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง ยืนยันไม่เลือกปฏิบัติยินดีให้ความช่วยเหลือทุกกลุ่มทุกฝ่าย หากเข้าข่ายยินที่ช่วยเหลือทุกคน ทั้งนี้จากสถิติที่ผ่านมาผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม กรณีเป็นบุคคลที่อยู่ในฐานะพอที่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ด้วยตนเอง แต่ยังเข้ามาขอรับความช่วยเหลือ มักจะไม่ส่งเอกสารแสดงสถานะทางการเงินต่อเจ้าหน้าที่ตามเวลาที่กำหนด หรือไม่ยอมส่งเอกสารตามที่ขอ ซึ่งกองทุนยุติธรรมก็จะยุติเรื่องภายใน 15 วัน แต่ทั้งนี้จะไม่ตัดสิทธิในการขอซ้ำอีกครั้ง

    “หลักการของกองทุนฯ ทุกคนสามารถมาขอได้ แต่วัตถุประสงค์หลักคือต้องการช่วยเหลือคนจนเป็นอันดับแรก โดยเรื่องนี้คนทั่วไปทราบดี แต่ตัวเขาอาจจะไม่ทราบก็ได้ การพิจารณาจากชื่อเสียงในสังคมของเขาอาจจะไม่สามารถพิสูจน์ทรัพย์ได้เสมอไป เขาอาจเคยเป็นคนมีเงิน หรืออาจจะมีหลักทรัพย์ไม่พอจริงก็ได้ ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกรายที่ร้องขอมา โดยต้องรอตรวจสอบจากหลักฐานก่อน” รองปลัดยุติธรรมกล่าว

    นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า ล่าสุด ได้รับรายงานจากสำนักงานกองทุนยุติธรรมว่า วันที่ 5 มิ.ย. 2561 ได้มีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการไปยัง น.ส.จิตภัสร์ ถึงเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่ต้องใช้ รวมทั้งแจ้งขยายเวลาการยื่นหลักฐานเอกสารทางการเงิน จากเดิม 11 มิถุนายนนี้ ขยายเพิ่มไปอีก 15 วันนับจากวันที่ 7 มิ.ย. 2561 หรือก็คือไปเป็นวันที่ 21 มิ.ย. 2561 นี้

    หาม “อดีตพุทธะอิสระ” ส่ง รพ. ตรวจเลือดออกในกระเพาะ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (https://www.thairath.co.th/content/1290689)

    วันที่ 7 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2561 นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ มีอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงจากการรับประทานยารักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งแพทย์ประจำโรงพยาบาลได้เปลี่ยนเป็นยาฉีด และยังพบว่าอดีตพระพุทธะอิสระมีระบบขับถ่ายอุจจาระเป็นสีดำมาหลายวัน จึงนำไปตรวจอาการอย่างละเอียด พบว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร

    ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 พ.ต.อ. ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงความคืบหน้าอาการป่วยอดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ ซ่องโจรและปลอมพระปรมาภิไธยว่า ในวันนี้เรือนจำจะนำตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพื่อไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดด้วยวิธีการส่องกล้องเข้าไปในระบบทางเดินอาหาร เพื่อหาสาเหตุเลือดออกในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจจะต้องมีการวางยาสลบตามขั้นตอนทางการแพทย์ ทั้งนี้ ไม่อะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งทาง ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะรายงานความคืบหน้ามาโดยปกติอยู่แล้ว

    กยศ. เผย ยอดคนเบี้ยวหนี้พุ่ง ฟ้องแล้ว 1.2 ล้านราย คาด-สถานการณ์จะดีขึ้นหลังเริ่มระบบหักบัญชี

    วันที่ 6 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กยศ. อยู่ระหว่างการดำเนินการฟ้องร้องสำหรับผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ กยศ. ปีนี้ราว 1.2 แสนคน โดยคิดเป็นวงเงินค้างชำระต่อคนอยู่ที่ 1 แสนบาท โดยหากดูข้อมูล ผู้ที่ผิดนัดชำระ กยศ. ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่กว่า 2 ล้านคน และได้ดำเนินการฟ้องร้องแล้วทั้งสิ้น 1.2 ล้านราย หรือคิดเป็นวงเงิน 4.8 หมื่นล้านบาท หากเทียบกับลูกหนี้ กยศ. ทั้งระบบที่อยู่ที่ 5.4 ล้านราย หรือคิดเป็นวงเงินกู้ยืมที่ 5.7 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้ปิดบัญชีไปแล้ว 8 แสนราย และมีผู้ที่เสียชีวิต พิการอยู่ราว 5 หมื่นราย

    อย่างไรก็ตาม คาดว่าการชำระหนี้คืน กยศ. ในอนาคต น่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากธนาคารมีหลายช่องทางให้ผู้กู้ได้ชำระเงินสะดวกขึ้น เช่น การชำระเงินผ่าน QR Code ที่เปิดบริการแล้ววันนี้ และปีนี้จะมีแผนบังคับชำระหนี้ ผ่านบริษัทหรือผู้ว่าจ้าง โดยหากหันจากบัญชีเงินเดือน โดยปีนี้จะนำร่องหักข้าราชการก่อน และอนาคตจะเริ่มไปสู่บริษัทเอกชนต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำ เช่น บริษัทซีพี ลูกจ้างการไฟฟ้า เป็นต้น ทำให้เหล่านี้จะหนุนให้การชำระคืนในอนาคตเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง

    “สถานการณ์การชำระหนี้เราคิดว่า อนาคตจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อไหร่ที่หักผ่านบัญชีได้ ก็จะทำให้มีเงินคืน กยศ. ต่อปีมากขึ้น เราคาดว่าปีนี้จะมีวงเงินที่ชำระคืน กยศ. ไม่ต่ำกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท และปีหน้าเมื่อเริ่มหักผ่านบัญชีเงินเดือนข้าราชการและเอกชน จะมีวงเงินชำระคืนไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท”

    กูเกิลประกาศหลักการพัฒนาเทคโนโลยี “7 จะทำ – 4ไม่ทำ”

    วันที่ 8 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์บล็อกนันรายงานว่า กูเกิลออกประกาศเป้าหมายการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ โดยประกาศระบุถึง 7 เป้าหมายที่กูเกิลพยายามมุ่งไป และ 4 สิ่งที่กูเกิลจะไม่พยายามพัฒนาเทคโนโลยี
    เป้าหมาย 7 ประการ ได้แก่

    1. เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั้งด้านการดูแลสุขภาพ, ความมั่นคงปลอดภัย, พลังงาน, ระบบขนส่ง, และความบันเทิง
    2. ไม่สร้างหรือสนับสนุนความลำเอียง ปัญญาประดิษฐ์อาจจะสะท้อนความลำเอียงในสังคม และอาจจะเพิ่มหรือลดความลำเอียงนั้นได้ เป้าหมายของกูเกิลคือการหลีกเลี่ยงการสร้างผลกระทบต่อบุคคลอย่างไม่ยุติธรรม จากลักษณะส่วนตัวของแต่ละคน เช่น เชื้อชาติ, เพศ, สัญชาติ, รายได้, รสนิยมทางเพศ, ความพิการ, และความเชื่อทางการเมืองหรือศาสนา
    3. สร้างและทดสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะสร้างแนวทางการพัฒนาและทดสอบเพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่คาดคิด ทดสอบปัญญาประดิษฐ์ในสภาพแวดล้อมจำกัด และตรวจสอบการทำงานขณะใช้งานจริง
    4. รับผิดชอบต่อผู้คน ปัญญาประดิษฐ์ควรรับเสียงสะท้อน, คำอธิบาย, และการโต้แย้ง และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์
    5. เคารพความเป็นส่วนตัว การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ต้องเคารพความเป็นส่วนตัว แจ้งเตือนและขออนุญาตเมื่อมีการใช้ข้อมูล และผู้ใช้ต้องควบคุมการใช้ข้อมูลของตัวเองได้
    6. ยึดมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สูง ปัญญาประดิษฐ์อาจถูกใช้ในงานวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยา, เคมี, การแพทย์, หรือวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ก็ต้องมีมาตรฐานที่สูงแบบเดียวกันด้วย
    7. การนำเทคโนโลยีไปใช้ต้องมีหลักการตรงกัน ข้อนี้คงเป็นข้อที่สำคัญที่สุด โดยกูเกิลระบุว่า แม้เทคโนโลยีจะสามารถนำไปใช้ได้หลายงาน แต่กูเกิลพิจารณาให้ใช้งานเทคโนโลยีจาก วัตถุประสงค์หลัก, เทคโนโลยีนั้นมีอยู่ทั่วไปหรือไม่, ผลกระทบสูงเพียงใด, และกูเกิลต้องเข้าไปเกี่ยวข้องมากเพียงใด

    นอกจากนี้ยังมีปัญญาประดิษฐ์ที่กูเกิลจะไม่พยายามทำอีก 4 ประการ ได้แก่

    1. เทคโนโลยีที่อาจอันตรายต่อสังคมรวม
    2. อาวุธและเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บได้
    3. เทคโนโลยีสำหรับสอดส่องที่เกินกว่ามาตรฐานที่ยอมรับได้โดยทั่วไป
    4. เทคโนโลยีที่ขัดต่อกฎหมายสากลและสิทธิมนุษยชน

    อนึ่ง มีการคาดเดาว่า คำประกาศนี้เป็นผลมาจากการที่กูเกิลเข้าร่วมโครงกรร Maven ที่วิเคราะห์ภาพวิดีโอจากโดรน จนถูกพนักงานประท้วง ทั้งด้วยการลาออกและเรียกร้องให้ถอนตัว ด้วยแนวทางประกาศนี้ก็เป็นไปได้ว่ากูเกิลจะทำโครงการคล้ายกันอีก หากกูเกิลไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงมากนัก และเทคโนโลยีสามารถซื้อจากที่อื่นได้