ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ศาลปกครองตัดสิน คดี ‘ปู่คออี้’ จนท.ทำเกินกว่าเหตุให้ชดใช้ กะเหรี่ยงหมดสิทธิ์กลับบ้าน” และ “ทรัมป์-คิมลงนามปลดอาวุธนิวเคลียร์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ศาลปกครองตัดสิน คดี ‘ปู่คออี้’ จนท.ทำเกินกว่าเหตุให้ชดใช้ กะเหรี่ยงหมดสิทธิ์กลับบ้าน” และ “ทรัมป์-คิมลงนามปลดอาวุธนิวเคลียร์”

16 มิถุนายน 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 9-15 มิ.ย. 2561

  • ศาลปกครองตัดสิน คดี “ปู่คออี้” จนท.ทำเกินกว่าเหตุให้ชดใช้ ชาวกะเหรี่ยงหมดสิทธิ์กลับบ้าน
  • สุวพันธุ์ รับ มี ขรก. ชั้นผู้น้อยอยู่บ้านศาลเชิงดอย แต่ไม่ใช่ในบ้านเดี่ยว
  • เลขาฯ กสทช. เล็ง ยกเลิกเยียวยาดีแทค กร้าว “บอกว่าคลื่นพอ เราจะทำให้ไม่พอเอง”
  • ขึ้นทะเบียนคนจนใช้บัตรขึ้น รฟฟ. สายสีม่วง-น้ำเงิน – รฟม. แจกบัตรแมงมุม
  • ทรัมป์ทำได้ จับมือคิมลงนามปลดอาวุธนิวเคลียร์
  • ศาลปกครองตัดสิน คดี “ปู่คออี้” จนท.ทำเกินกว่าเหตุ-ให้ชดใช้ ชาวกะเหรี่ยงหมดสิทธิ์กลับบ้าน

    จากกรณีเมื่อวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554 ที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้พยายามผลักดันให้กลุ่มชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานย้ายออกจากพื้นที่ จนนำไปสู่การเผาทำลายทรัพย์สินและยุ้งฉางของชาวบ้าน ทำให้ในเวลาต่อมา นายโคอิ มีมิ หรือ “ปู่คออี้” กับพวกรวม 6 คน ฟ้องร้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) โดยเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยกลุ่มฟ้องเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นจำนวน 9,533,090 บาท และยินยอมให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 กลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่เดิมและให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาไท (https://prachatai.com/journal/2016/09/67829)

    พ.ศ. 2559 ศาลปกครองกลางตัดสินว่า กลุ่มผู้ฟ้องนั้นก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติและมีการล่าสัตว์ จึงมีความผิดตามมาตรา 16 (1) (2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แต่การรื้อถอนที่พักหรือยุ้งฉางของเจ้าหน้าที่นั้นถือว่าถูกต้องแล้ว เป็นการใช้อำนาจโดยชอบ เพราะหากเหลือทิ้งไว้ผู้กระทำผิดก็อาจนำไปใช้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาใหม่ได้ แต่ในส่วนของเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้ส่วนตัว ถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี จึงตัดสินให้ชดเชยในส่วนนี้ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำหนดค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท และกำหนดค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับของใช้ส่วนตัวของผู้ที่อาศัยอยู่ในเพิงพักแต่ละคนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนอน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และของใช้ประจำตัวอื่นๆ อีก เป็นเงินจำนวน 5,000 บาท รวมชดใช้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 แต่ละคนเป็นเงินคนละจำนวน 10,000 บาท

    ต่อมา วันที่ 12 มิ.ย. 2561 ศาลปกครองสูงสุดได้มีการตัดสินคดีนี้อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ ศาลเห็นว่า เจ้าหน้าที่สามารถจะใช้ดุลยพินิจไม่ใช้ความรุนแรงเช่นนั้นก็ได้ การกระทำของเจ้าหน้าที่นั้นมีความร้ายแรงและกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิในการดำรงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองกลางเป็นให้กรมอุทยานฯ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงิน 51,032 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นเงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นเงิน 45,302 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นเงิน 50,807 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 6 เป็นเงิน 51,032 บาท หากผู้ฟ้องคดีรายใดได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินกรณีนี้ไปแล้วให้หักออกจากค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษานี้ ทั้งนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

    แต่อย่างไรก็ดี ศาลไม่สามารถตัดสินให้ผู้ฟ้องกลับไปอยู่อาศัยในที่เดิมได้ เพราะที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และผู้ฟ้องคดีไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดินหรือหลักฐานแสดงการได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_1204932)

    นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 อุดรธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นความว่า น้อมรับคำพิพากษาที่ให้จ่ายค่าชดเชยเพิ่ม แต่ไม่คิดว่าจำเป็นต้องขอโทษชาวปกาเกอะญอ เพราะเป็นผู้ที่บุกรุกผืนป่า และศาลปกครองสูงสุดก็ชี้ขาดแล้วว่าบุกรุกจริง การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการรักษาธรรมชาติ และพร้อมที่จะถูกสอบวินัยกรณีที่ทำให้รัฐเสียหายจากการต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว อีกทั้งหากมีการนำเรื่องไปฟ้องศาลอาญาก็พร้อมสู้คดีต่อไป

    “ขอโทษคงไม่ขอโทษ คิดว่าเรื่องนี้ใครก็รู้ว่าใครบุกรุกป่า คำพิพากษาวันนี้ผมภูมิใจที่ต่อไปจะไม่มีใครสามารถบุกรุกป่าแก่งกระจานได้อีกแล้ว โดยเฉพาะ 6 คนนี้ ซึ่งในส่วนของผมทำอย่างเต็มความสามารถที่สุดแล้ว และผมคิดว่าคนที่ฟ้องกรม อุทยานฯก็รู้ดีว่าตัวเองมีความผิดหรือไม่” นายชัยวัฒน์กล่าว

    เรียบเรียงจาก
    เว็บไซต์ประชาไท: คำพิพากษา ‘ปู่คออี้’ สะท้อนอำนาจราชการผูกขาดทรัพยากรทวีความรุนแรง
    เว็บไซต์ไทยรัฐ: ปู่คออี้ ชนะคดี! ศาลฯสั่งชดใช้ ‘เผาบ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจาน’
    เว็บไซต์ข่าวสด: “ปู่คออี้” เศร้าศาลไม่ให้กลับคืนถิ่นเกิด แต่ชี้เจ้าหน้าที่บุกเผาบ้าน ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ
    เว็บไซต์ข่าวสด: ‘ชัยวัฒน์’ ลั่น ‘ไม่จำเป็นต้องขอโทษกะเหรี่ยง’ เพราะเป็นผู้ที่บุกรุกป่า

    สุวพันธุ์ รับ มี ขรก.ชั้นผู้น้อยอยู่บ้านศาลเชิงดอย แต่ไม่ใช่ในบ้านเดี่ยว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/804909)

    วันที่ 15 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหากรณีการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักข้าราชการตุลาการ ว่า นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ชี้แจงความคืยหน้าการดำเนินงานเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุม โดยที่ประชุมได้ให้แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อไปสานต่อ และพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทันตามกรอบเวลา ทั้งนี้ทางคณะกรรมการจะส่งผู้แทนลงไป 1 ชุด เพื่อลงไปดูพื้นที่กับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะมีการกำหนดวันเวลาอีกครั้ง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่ ปลูกป่า หรือการทำฝายชะลอน้ำ เรื่องนี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำไปบางส่วนบ้างแล้ว และจะมีแผนทำเพิ่มเติมอีก

    นายสุวพันธุ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวว่ามีข้าราชการเข้าไปอาศัยในบ้านพักนั้น ต้องเรียนว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยที่เข้าไปพักอาศัยในอาคารชุด ไม่ใช่บ้านเดี่ยว โดยเป็นการเข้าไปอยู่เกิดก่อนที่ตนจะเข้าไปดูในพื้นที่ และก่อนที่จะมีประเด็นนี้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของข้าราชการ ที่เมื่ออาคารที่พักเสร็จ และมีการตรวจเซ็นรับแล้วจะต้องเอาคนเข้าไปอยู่ โดยเรื่องนี้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จะเข้าไปดูและพูดคุยทำความเข้าใจ ทั้งนี้ สำหรับอาคารชุดหลังนี้ถ้ายึดตามแนวเขตป่าดั้งเดิมต้องถือว่าอยู่ในเขตป่า

    “ข้าราชการที่เข้าไปอยู่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เดิมเช่าที่พักอยู่ ซึ่งมีราคาสูงเกินกว่าที่จะเบิกกับทางราชการได้ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะต้องดูในมิติเรื่องความเดือดร้อนของข้าราชการชั้นผู้น้อยด้วย ขณะเดียวกัน เราเคารพในสิ่งที่เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพได้เรียกร้องเช่นกัน ซึ่งอยากให้ทั้งสองส่วนไปด้วยกันได้” นายสุวพันธุ์ กล่าว

    เมื่อถามถึงกรณีที่เครือข่ายฯ มีการขีดเส้นตายว่า 18 มิ.ย. 2561 จะต้องไม่มีคนอาศัยอยู่เลยนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เขาไม่ได้ขีดเส้นว่า 18 มิ.ย. 2561 จะไม่มีคนอยู่เลย แต่หมายถึงวันที่ต้องสิ้นสุดสัญญาการก่อสร้าง แต่ทางผู้รับเหมาได้ขอขยายสัญญาก่อสร้างออกไปถึงต้นเดือน ส.ค. 2561 ซึ่งตนยังไม่ทราบว่าศาลให้ขยายเวลาหรือไม่

    เมื่อถามอีกว่า จะต้องเอาข้าราชการชั้นผู้น้อยออกจากพื้นที่ก่อน เพื่อรอให้แก้ไขปัญหาเสร็จหรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รับไปคุยกับคนในพื้นที่แล้ว เพราะมีเรื่องความเดือดร้อนของข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องพิจารณาให้ครบถ้วน

    เลขาฯ กสทช. เล็ง ยกเลิกเยียวยาดีแทค กร้าว “บอกว่าคลื่นพอ เราจะทำให้ไม่พอเอง”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000059655)

    เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า วันที่ 15 มิ.ย. 2561 เป็นวันเปิดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ (โอเปอเรเตอร์) เข้ามายื่นซองประมูลคลื่น 1800 MHz แต่กลับไม่มีผู้ประกอบการรายใดเข้าร่วมประมูล ซึ่งบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ส่งจดหมายแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าไม่เข้าร่วมประมูล ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.

    รวมถึง บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ที่ได้ส่งจดหมายมาว่า ไม่เข้าร่วมประมูลในช่วงเช้าของวันนี้ ทำให้บรรยากาศการรับซองประมูลเงียบเหงา

    นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การที่ กสทช. สามารถเตรียมการประมูล วันที่ 4 ส.ค. 2561 ซึ่งทันก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในวันที่ 15 ก.ย. 2561 แต่กลับไม่มีใครมายื่นซองเพื่อเข้าร่วมประมูล 1800 MHz แม้แต่ดีแทค ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด มีลูกค้าอยู่ในระบบ 4.7 แสนเลขหมาย ยังไม่สนใจ เพราะหวังเข้าสู่มาตรการเยียวยาคลื่น กสทช. ต้องบอกว่า ตามหลักการของประกาศ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. 2556 จะต้องเกิดจากการที่ กสทช. จัดประมูลไม่ทัน แต่กรณีนี้ คือ ไม่มีคนเข้าประมูล ทั้งๆ ที่ กสทช. จัดประมูลล่วงหน้าได้ ดังนั้น กสทช. จะประกาศยกเลิกมาตรการเยียวยาดังกล่าว

    เมื่อช่วงเช้าตนจึงได้รายงานถึงผู้ใหญ่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เพื่อเตรียมเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากอะไร การที่ดีแทค ไม่ร่วมประมูล เพราะรอมาตรการเยียวยา กสทช. จึงต้องแก้ปัญหานี้

    ส่วนอีก 2 ราย คือ เอไอเอส และ ทรู เขาติดปัญหาเงินลงทุน 5G ไม่พอ หากต้องจ่ายค่าประมูลคลื่นก้อนใหญ่ โดยไม่สามารถขยายการชำระเงินค่าประมูลได้ คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 10 ก.ค.

    โดยจะนำเข้าที่ประชุม กสทช. ในวันที่ 27 มิ.ย. 2561 และเสนอให้รัฐบาลหาทางออก ทางไหนหาทางออกได้เร็วที่สุด ตนก็จะเลือกทางนั้น เพื่อให้มีการประมูลภายในปีนี้ ไม่เช่นนั้น ก็ต้องรอไปถึงปีหน้า

    การที่ดีแทค อ้างว่า มีคลื่นเพียงพอ แต่เมื่อไม่มีมาตรการเยียวยาคลื่น 850 MHz และ 1800 MHz ของดีแทค ก็จะไม่มี ดีแทคจะเหลือแค่คลื่น 2100 MHz และ 2300 MHz ซึ่งไม่เพียงพอ เพราะไม่มีคลื่น 1800 MHz ในการส่งให้ทั้งสองคลื่นทำงานได้ โดยเฉพาะคลื่น 2300 MHz ดีแทค ก็ไม่สามารถใช้งานด้านเสียงได้

    “ใครที่ฝันไม่ไกล ระวังจะไปไม่ถึง บอกว่าคลื่นพอ เราจะทำให้ไม่พอเอง จะอ้างว่าราคาแพง เราก็บอกแล้วว่าลดราคาไม่ได้ เพราะมันเป็นราคาที่ เอไอเอส และ ทรู จ่ายเงินมา 75% แล้ว กสทช. ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ แต่หากให้แก้หลักเกณฑ์เป็น 9 ใบ ตรงนี้ ทำได้” นายฐากรกล่าว

    ขึ้นทะเบียนคนจนใช้บัตรขึ้น รฟฟ. สายสีม่วง-น้ำเงิน – รฟม. แจกบัตรแมงมุม

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เนชั่นทีวี (http://www.nationtv.tv/main/content/378632322/)

    เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า มื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2561 บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM แจ้งกำหนดการเปิดรับขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อใช้บริการในระบบรถไฟฟ้า MRT

    โดยนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาขึ้นทะเบียนเพื่อรับสิทธ์ ณ จุดให้บริการทุกสถานี ภายในสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2561 เวลา 11.00-20.00 น. (วัน เวลา และสถานที่อาจมีความเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)

    ซึ่งบัตรสามารถใช้บริการในระบบรถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สาย ได้ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป

    ขณะเดียวกัน ด้านเฟซบุ๊กการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ก็ได้ประกาศในวันที่ 15 มิ.ย. 2561 ว่า กระทรวงคมนาคม รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมอบความสุขในการเดินทางด้วยบัตรโดยสารร่วม “แมงมุม” บัตรโดยสารที่สามารถใช้เดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง / MRT สายสีน้ำเงิน ได้ก่อน ต่อจากนั้นในเดือนตุลาคม 2561 จะขยายบริการไปใช้กับรถโดยสารประจำทาง ขสมก. / และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์

    โดยบัตรแมงมุม แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ บัตรบุคคลทั่วไป (สีน้ำเงิน) บัตรผู้สูงอายุ (สีทอง) และบัตรนักเรียน/นักศึกษา (สีเทา)

    สามารถติดต่อขอรับบัตรแมงมุมได้ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป โดยแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อขอรับบัตรแมงมุมได้ที่ห้องออกบัตรโดยสาร และเมื่อนำไปใช้ในระบบรถไฟฟ้า mrt จะต้องเติมเงินขั้นต่ำ 150 บาท โดยแบ่งเป็นค่ามัดจำบัตร 50 บาท และมูลค่าเงินสำหรับโดยสารรถไฟฟ้า 100 บาท ทั้งนี้ บัตรมีจำนวนจำกัด และจำกัดสิทธิ์ 1 คน/ใบ เท่านั้น

    ติดต่อสอบถาม : www.mrta.co.th https://l.facebook.com/l.php?u=http%3A%2F%2Fwww.mrta.co.th%2F&h=AT3p2oKAhBOxtT756IU_hiTJY0pzQEeexSffIt_wIuqQmYJzTe7Myc1sAgG3X9E5fPMqMbuHuzjM7qgqqlXccWdXkDrcWWAe1LmkQlMKYTNwy0xrf-wwqL11FSbsC0-ma951Psg5cg หรือโทร. 0 2624 5200

    ทรัมป์ทำได้ จับมือคิมลงนามปลดอาวุธนิวเคลียร์

    วันที่ 12 มิ.ย. 2561 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ จับมือกันครั้งประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะหารือกันและลงนามในข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี

    พวกเขาลงนามในเอกสารที่ระบุว่า ‘จะปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิงบนคาบสมุทรเกาหลี’

    ทั้งคู่พบกันที่โรงแรมหรูบนเกาะเซนโตซาของสิงคโปร์ ก่อนที่จะหารือกัน การหารือเพื่อลดความตึงเครียดและบรรลุการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เริ่มขึ้นอย่างมีความหวัง

    ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า “ผมรู้สึกยอดเยี่ยมมาก เราจะมีการหารือที่ยิ่งใหญ่ และผมคิดว่ามันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มันจะสำเร็จอย่างมหาศาล และนั่นเป็นเกียรติของผม เราจะมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม ผมไม่กังขาเลย”

    ส่วนผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ กล่าวว่า “หนทางกว่าที่จะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย อคติและการกระทำแบบเดิม ๆ เป็นอุปสรรคในหนทางของเรา แต่เราก็ก้าวข้ามมันมาได้ จนถึงมาที่นี่ในวันนี้”

    นอกจากนี้ ทั้งผู้นำทั้งสองยังได้ลงนามในเอกสารที่รับรองความสัมพันธ์ใหม่ของทั้งสองประเทศด้วย