ThaiPublica > คอลัมน์ > วาไรตี้สารคดี

วาไรตี้สารคดี

22 มิถุนายน 2018


1721955

สารคดีเป็นรูปแบบการนำเสนอเรื่องราวที่มีมาพร้อมๆกับกำเนิดภาพยนตร์โลก และตลอด 125ปีมานี้ สารคดีมีพัฒนาการไปมากมาย โดยเฉพาะในรายการทีวี และความน่าสนใจในยุค4.0 คือ เดี๋ยวนี้ทีวีมีให้เลือกหลายช่องทาง บางรายการของประเทศอื่น ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็สามารถหาคลิกดูได้ไม่ยาก ในคราวนี้จึงขอหยิบรายการวาไรตี้ทีวีที่น่าสนใจ ที่ใช้กลวิธีทางสารคดีในการนำเสนอ หาดูได้ไม่ยากทางออนไลน์ พร้อมคำบรรยายไทย บางรายการก็ดูฟรี บางรายการก็ไม่แพงเกินจะจ่าย อาทิ

รายการท่องเที่ยว On the Border

เป็นที่รู้กันว่าเกาหลีถูกแบ่งแยกเป็นเหนือใต้ แล้วเพิ่งจะปลายเมษานี้เองที่ผู้นำเกาหลีเหนือข้ามพรมแดน มาลงนามเจรจาสันติภาพใน ‘ปฏิญญาพันมุนจอม’ แล้วรายการท่องเที่ยวแบบไหนหรือที่จะกุมหัวใจชาวกิมจิ ซึ่งถวิลหาการรวมชาติได้อย่าง On The Border ที่มีคอนเส็ปต์สุดเก๋ ว่าด้วยการเดินทางไปยังพรมแดนประเทศที่ขัดแย้งกัน เริ่มตั้งแต่แม็กซิโก-อเมริกา, ฝรั่งเศส-เยอรมัน, อิสราเอล-จอร์แดน ฯลฯ

“หลังจากทำลายอำนาจเบ็ดเสร็จ ประชาชนรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว มีสภาผู้แทนฯที่สร้างจากสามัญชน ผู้คนคิดว่าหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส โลกใหม่จะเกิดขึ้น แต่นักเคลื่อนไหวคนสำคัญในช่วงต้นแห่งการปฎิวัติ กลับกลายเป็นเผด็จการไปเสียอย่างนั้น ฌ็อง ปอล มารากล่าวว่า ‘ให้ฉันประหารคนแสนคนภายในไม่กี่เดือน แล้วฉันจะเปลี่ยนโลกให้ดู’ ไม่นานเขาเลยถูกลอบฆ่าโดย ผู้หญิงธรรมดาชื่อ ชาร์ล็อต กอร์แด …ตอนเธอถูกสอบสวนว่าใครสั่งให้ทำ เธอตอบว่า ‘ฉันฆ่าคนหนึ่งคนเพื่อช่วยชีวิตคนอีกนับแสน’ การตายของมารา ทำให้มักซีมีเลียง รอแบ็สปิแยร์ใช้อำนาจเผด็จการรุนแรงกว่าเดิม จนถูกขนานนามว่าเผด็จการจอมกระหายเลือด เขาสั่งประหารผู้คนด้วยกิโยตินในนามของประชาธิปไตย แต่สุดท้ายหัวเขาเองก็ถูกตัดด้วยเช่นกัน เหมือนกับที่เกาหลีในการปฎิวัติ 19 เมษา 1960 พวกเราคิดว่าโลกจะเปลี่ยนใหม่หลังจากนั้น ทว่าในวันที่ 16 พฤษภาก็มีกองกำลังรัฐประหารออกมา กว่าจะได้เลือกตั้งกันก็ปาไปปี1987 แต่ประธานาธิบดีก็ดันเป็นพวกทหารไปเสียอีก”

นี่คือวิธีเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ระหว่างการเดินทาง โดย ซอลมินซ็อก ศาสตราจารย์คนดังผู้รู้ลึก หนึ่งในผู้นำเที่ยวของรายการนี้ ที่ไม่เพียงแต่จะเล่าความรู้ได้อย่างลื่นไหล และสนุกสนานแล้ว ยังมีการเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของชาติตนให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วย แต่ก็ใช่จะเอาแต่เล่าอดีตอยู่ตลอดเวลา ตัวรายการยังพาไปพบเจอวิถีชีวิตข้างทางในปัจจุบัน เราจะได้เห็นภาพความตึงเครียดของการข้ามพรมแดนจากแม็กซิโกไปอเมริกา ภายหลังจากการกั้นกำแพงชายแดน ตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์

หรือการข้ามพรมแดนแบบชิลๆ จากฝรั่งเศสไปเยอรมัน ไปจนถึงพรมแดนที่สงครามยังคงคุกรุ่นในดินแดนปาเลสไตน์ แถมด้วยบางตอนก็มีดาราเคป๊อปหนุ่มใสกิ๊งมาร่วมเดินทาง ที่ทำเอาคนดูตื่นตาตื่นใจคาดไม่ถึงว่า แม้แต่จอร์แดนเองก็ยังมีติ่งเกาหลีกลุ่มใหญ่ไม่แพ้ชาติใดในโลก และดาราพวกนี้เองที่ทำให้โลกรู้จักวัฒนธรรมเกาหลี

เรียลิตี้จับคู่ REA(L)OVE

จะมีเรียลิตี้นัดบอดเกมไหนน่ารังเกียจได้เท่านี้อีก แต่ขณะดูๆไปจู่ๆก็เล่นเอาหัวใจสลายได้เลย นี่คือรายการทีวีสัญชาติญี่ปุ่น ประเทศที่ผู้คนหาทางแก้เครียดด้วยวิธีสุดแหวกแสนพิศดารหลากหลาย เป็นรายการที่ไม่เหมาะกับพวกหมกตัวแต่ในทุ่งลาเวนเดอร์ ว่าด้วยหนุ่มสาว 18 คนอาภัพรัก ต้องมาสลับคู่เดทกันภายใน 3 วัน ที่ความเผ็ดอยู่ตรงแต่ละวันจะมีคนถูกสุ่มออกมาเผยปมอดีตสุดดาร์ก วัดใจกันไปเลยว่าจะรักหรือจะยี้คู่เดทที่ภายนอกดูเป็นคนใสใส

ตัวอย่างเบาะๆก็เช่น “ฉันเคยมีอะไรกับผู้ชายไม่ต่ำกว่า 300 คน ฉันเป็นแบบนี้เพราะแฟนเก่าโรคจิตของฉัน ฉันเลยกลายเป็นโรคกลัวความรัก ฉันคบกับแฟนเก่าคนนี้มาตั้งแต่ม.5 เขาตบตีฉันและพยายามบังคับให้ฉันกินอุจจาระของเขา เมื่อฉันไม่ยอมทำ เขาคิดว่าฉันไม่รักเขา และไม่ยอมจูบฉันอีกเลย นั่นเป็นบาดแผลในใจฉันอย่างมาก ฉันไม่คบใครจริงจังอีกเลย กลายเป็นคนมั่วไม่เลือก”

ความเดือดของเกมที่แบ่งออกเป็น 9 อีพี คือแต่ละคนจะค่อยๆรู้ความลับด้านมืด ขณะที่ตัวเองก็อาจมีคนอื่นที่มีด้านที่มืดตื๋อกว่าหลายเท่า การสลับจับคู่จึงเกิดขึ้นเมื่อคู่เดทบางคนรับอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ในวงก็ยังมีคนอื่นอีกที่ไม่แคร์อะไร เพราะมีอดีตต่ำตมครือๆกัน แม้ในด้านหนึ่งตลอดทุกช่วงพิธีกรชายฝีปากร้ายจะใช้ภาษาเหยียดๆ ส่วนพิธีกรหญิงก็ชอบทำสีหน้ารับไม่ได้เกินเหตุ จนเจ้าของความลับวางตัวไม่ถูก แต่ก็ให้ประหลาดใจเมื่อบรรดาคนบาดเจ็บมารวมตัวกัน พวกเขากลับเยียวยากันและกันได้อย่างอัศจรรย์ และความกล้าหาญของพวกเขาที่เล่าอย่างตรงไปตรงมาออกสื่อขนาดนี้ ก็กลับเป็นอุทธาหรณ์ให้กับคนดูต้องกลับมาย้อนดูตัวเองบ้าง

สิ่งที่คนไทยอาจไม่รู้คือพิธีกรหญิง มาริ ยากุจิ เป็นอดีตไอดอลเกิร์ลกรุปยุคบุกเบิก Morning Musume เธอเคยมีข่าวฉาวเมื่อปี2013 หลังจากแต่งงานได้แค่สองปีกับดาราหนุ่มหล่อรุ่นน้อง มาซายะ นากามูระ ฝ่ายชายก็จับได้คาเตียงว่าเธอเล่นชู้กับ เคนโซ อุเมดะ นายแบบหนุ่มรุ่นน้องกว่า จนต้องหย่าร้างกัน (ข่าวบางสำนักเล่นแรงว่า ฝ่ายชู้วัยละอ่อนถึงกับล่อนจ้อนร้องไห้ขอโทษขอโพยพระเอกหนุ่ม) ซึ่งล่าสุดปีนี้เองเธอก็เพิ่งประกาศแต่งงานกับนายแบบคนนั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และนี่เองที่ทำให้เธอมักจะถูกแขวะเป็นประจำว่ามีอดีตดาร์กๆไม่น้อยหน้าผู้ร่วมรายการ

สถานการณ์จำลอง Derren Brown: The Push

“ผม แดร์เรน บราวน์ ผมทำงานในแวดวงทีวีอังกฤษ ด้วยการแสดงมายากลในรูปแบบจิตวิทยา ตลอดสองทศวรรษนี้ผมได้นำผู้ชมไปสู่ข้อสงสัยสุดหยั่งลึกว่าความเป็นมนุษย์คืออะไรกันแน่ และรายการที่ท่านกำลังชมนี้ เป็นการทดลองจริงในเรื่องการจำนนทางสังคม โดยเราทดลองกับคนทั่วไปที่เขาจะไม่รู้ว่ากำลังร่วมรายการทีวีอยู่ คำถามที่เราสนใจนั้นง่ายมาก ‘เราสามารถถูกบงการด้วยความเคยชินต่อแรงกดดันทางสังคมให้ทำการฆาตกรรมได้หรือไม่’

จากนั้น แดร์เรน ก็จำลองเหตุการณ์หนึ่งที่สามารถบงการคนแปลกหน้าทางโทรศัพท์ให้ทำบางอย่างที่สุ่มเสี่ยงได้ “นี่คือตัวอย่างสุดขั้วของการจำนนทางสังคม การทำตามคำสั่ง ยอมทำบางอย่างเพียงเพราะมีคนบอกว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องดีงาม(แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ผิด) อำนาจสั่งการนี้อาจมาจากคนเพียงคนเดียว หรือจากกลุ่มคนที่มีความคิดเหมือนๆกันก็ได้ (ภาพตัดไปเหมือนการประชุมลัทธิคลั่งศาสนา, บริจาคทาน, ทหารเกาหลีเหนือ, การจราจล ฯลฯ) มันสามารถทำให้บ้านเมืองสงบได้ หรือผลักดันให้คนทำเรื่องเลวร้ายก็ได้ด้วย การจำนนทางสังคมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา วิวัฒนาการสอนเราว่าการเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนนั้นปลอดภัยกว่า แต่อันตรายของมันก็เป็นสิ่งที่เราควรตระหนักด้วยเช่นกัน”

และสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดคือ แดร์เรนท้าทายคนดูว่า “เขาสามารถใช้การยอมจำนนทางสังคม ผลักดันให้คนธรรมดา ผลักคนแก่ตกจากตึกลงไปตายได้”

แผนของเขาคือจัดงานบริจาคการกุศลขึ้น ที่มีผู้ร่วมงานเต็มฮอลล์ มีคนดังมาพูดสนับสนุนทางทีวีวงจรปิด แต่ทั้งหมดนี้คือการเล่นใหญ่จัดเต็มของสถานการณ์ปลอม ที่มีใครคนหนึ่งถูกหลอกเข้ามาร่วมงานนี้ โดยปลายทางสุดท้ายคือ เขาคนนี้จะผลักคนแก่ตกตึกตาย!?

นี่คือสารคดีจำลองสถานการณ์แบบตอนเดียวจบ ฉายเป็นพิเศษทางทีวีอังกฤษเมื่อปี2016 และความน่าสนใจคือตัว แดร์เรน เอง ที่เพิ่งเปิดตัวว่าเป็นเกย์เมื่อปี2007 ที่ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะสิ่งนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ในการทำความเข้าใจและทำมาหากินกับอำนาจสะกดจิต เนื่องจากพ่อของเขาเป็นคริสเตียนสายเคร่ง ที่บังคับให้เขาเข้าชั้นเรียนไบเบิลตั้งแต่ 5 ขวบ ทำให้เขากลายเป็นพวกข่มใจตนให้ตายด้านในเรื่องเพศ และยอมจำนนต่อความเชื่อทางศาสนา โดยไม่โต้แย้ง ไม่ตั้งคำถาม

กระทั่งปี2004 เขาตัดสินใจเลิกถือศาสนา ทำให้เขาสนใจในประเด็นการครอบงำบงการคนด้วยอำนาจทางจิตใจ จากใครบางคน หรือจากกลุ่มคน อันทำให้เขาหยิบไอเดียเหล่านี้มาทำเป็นรายการทีวี, โชว์บนเวที, เขียนหนังสือ, ทำคลิปออนไลน์ เกี่ยวกับจิตวิทยาจนโด่งดังคว้ารางวัลมามากมาย อาทิ ชนะเลิศรางวัล BAFTA ประเภทรายการบันเทิง จากรายการซีรีส์ The Experimental (2011), รางวัล ลอเรนซ์ โอลิเวียร์ จาก Svengali (2012) ฯลฯ

นอกจากจะหาดูไม่ยากแล้ว สารคดีเหล่านี้ยังบันเทิงสนั่นด้วย แต่เหนืออื่นใด มันกำลังบอกเราว่า…มนุษย์ทำอะไรไว้บ้างในอดีต มนุษย์มีความซับซ้อนอย่างไรในรูปแบบความสัมพันธ์ และมนุษย์สามารถทำอะไรที่ยากจะหยั่งถึงได้บ้าง