ThaiPublica > คอลัมน์ > การปั่นราคาเงินดิจิทัล

การปั่นราคาเงินดิจิทัล

28 พฤษภาคม 2018


พิเศษ เสตเสถียร

สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า อัยการของสหรัฐและ Commodity Futures Trading Commission (CFTC) กำลังสืบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการสร้างราคาเงินดิจิทัลที่เรียกกันว่า Spoofing และ Wash trading

Spoofing คือการสร้างคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก ๆ แล้วยกเลิก ส่วน Wash trading คือการสั่งซื้อเงินดิจิทัลจากคำสั่งขายของตนเองทำให้ดูเหมือนว่ามีการซื้อขายเพื่อจูงใจให้คนอื่นซื้อตาม ความจริงก็คล้ายกับการสร้างราคาหุ้น

ในขณะที่บ้านเรากำลังฮือฮากับการออกพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลฉบับแรกของประเทศไทย น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในพระราชกำหนดฉบับนี้ก็มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการสร้างราคาสินทรัพย์ดิจิทัลหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “การปั่นราคา” นั่นเอง

ตามพระราชกำหนดฉบับนี้บอกไว้ว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล” หมายความว่า “คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล” ซึ่งก็คือเงินดิจิทัลทั้งหลายและ Token ที่มาขายเวลาทำ ICO

ในการซื้อขายเงินดิจิทัลหรือ Token ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล มาตรา 46 ของพระราชกำหนดดังกล่าวก็ได้กำหนดว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดกระทําการดังต่อไปนี้

(1) ส่งคําสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทําให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล

(2) ส่งคําสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในลักษณะต่อเนื่องกันโดยมุ่งหมายให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลหรือปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด”

ลักษณะการกระทำความผิดตามมาตรานี้แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ

1. ส่งคำสั่งซื้อหรือขาย หรือทำการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะที่เป็นการทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลในปริมาณมาก ๆ หรือซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลในราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีเหตุผล

2. ส่งคำสั่งซื้อหรือขาย หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะต่อเนื่องกัน(continuity) คือไม่ใช่การซื้อขายเพียงครั้งหรือสองครั้ง การซื้อขายต่อเนื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด

ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 46 (1) ก็จะต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5 แสนบาทถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ส่วนใครที่ฝ่าฝืนมาตรา 46 (2) ก็ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 ล้านบาทถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นอกจากนี้ กฎหมายยังได้ให้บทสันนิษฐานไว้ในมาตรา 48 ว่าการซื้อขายอย่างไรที่เป็นกรณีที่คนทั่วไปจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หมายความว่า ถ้าใครทำการซื้อขายที่เข้าลักษณะที่กฎหมายสันนิษฐานไว้แล้ว ก็จะถือก่อนว่าบุคคลนั้นกระทำความผิด แล้วบุคคลนั้นมีหน้าที่พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้กระทำ เป็นการยกภาระการพิสูจน์จากฝ่ายโจทก์(คือฝ่ายรัฐ)มาเป็นของฝ่ายจำเลยแทน

โดยในมาตรา 48 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าการกระทําดังต่อไปนี้ เป็นการกระทําอันเป็นการทําให้ตามมาตรา 46(1) หรือ 46(2) แล้วแต่กรณีคือ

(1) ซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งในที่สุดบุคคลที่ได้ประโยชน์จากการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงเป็นบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งก็คือ Wash trading นั่นเอง

(2) ส่งคําสั่งซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเองหรือบุคคลซึ่งร่วมกันกระทําการได้สั่งขายหรือจะสั่งขายสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวกัน ในจํานวนใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน และภายในเวลาใกล้เคียงกัน

(3) ส่งคําสั่งขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเองหรือบุคคลซึ่งร่วมกันกระทําการ ได้สั่งซื้อหรือจะสั่งซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวกัน ในจํานวนใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน และภายในเวลาใกล้เคียงกัน

กรณี (2) กับ (3) เป็นลักษณะเดียวกัน ต่างกันตรงที่ “ซื้อ: กับ “ขาย” คือ อาจจะตนเองหรือบุคคลที่ร่วมกันจะสั่ง “ขาย” หรือ “ซื้อ” อยู่อีกด้านหนึ่ง วิธีการนี้เรียกกันว่า Matching Orders ความผิดนี้อาจจะทำคนเดียวหรือร่วมกับผู้อื่นก็ได้

(4) ส่ง แก้ไข หรือยกเลิกคําสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงก่อนเปิดหรือช่วงก่อนปิดศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมุ่งหมายให้ราคาเปิดหรือราคาปิดของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นสูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอาจมีการทำราคาเปิด(ราคาซื้อขายที่เป็นราคาแรกของวัน) หรือราคาปิด(ราคาซื้อขายที่เป็นราคาสุดท้ายของวัน)ได้ กฎหมายจึงได้กำหนดไว้ให้การทำราคาเช่นนี้เป็นความผิด

(5) ส่ง แก้ไข หรือยกเลิกคําสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบุคคลอื่น ซึ่งมีผลทําให้บุคคลอื่นต้องส่งคําสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในราคาที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

นอกจากนี้ก็ยังมีบทสันนิษฐานตัวผู้กระทำความผิดไว้ในมาตรา 49 อีกว่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าใครกระทําการดังต่อไปนี้ก็จะถือว่าเป็น “ตัวการ” ในการกระทําความผิดตามมาตรา 46 คือ

    (1) เปิดบัญชีธนาคาร บัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หรือบัญชีอื่นใดร่วมกันเพื่อการชําระราคาหรือรับชําระราคาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเช่น เปิดบัญชีร่วมระหว่างนายดำกับนายแดง เพื่อใช้เป็นบัญชีเพื่อการจ่ายเงินซื้อหรือรับเงินที่ขายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัล
    (2) ยอมให้บุคคลอื่นใช้ประโยชน์จากบัญชีธนาคาร บัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหรือบัญชีอื่นใดของตนเพื่อการชําระราคาหรือรับชําระราคาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
    (3) ยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของตน เช่น นายดำเปิดบัญชีซื้อขาย Token กับโบรกเกอร์ของสินทรัพย์ดิจิทัล แต่คนสั่งซื้อสั่งขายในบัญชีนั้นกลับเป็นนายแดง
    (4) ชําระราคาหรือรับชําระราคาค่าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแทนกัน
    (5) นําเงินหรือทรัพย์สินอื่นมาวางเป็นประกันในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแทนกัน
    (6) ยอมให้บุคคลอื่นรับประโยชน์หรือรับผิดชอบในการชําระราคาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของตน หรือ
    (7) โอนหรือรับโอนสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกัน

กฎหมายนี้มีบทสันนิษฐานอยู่หลายชั้น ใครที่ถูกกล่าวหาก็เหนื่อยหน่อยที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ฝ่ายรัฐก็คงสบายหน่อยที่ไม่ต้องพิสูจน์มากใครที่คิดจะมาปั่นราคาสินทรัพย์ดิจิทัลก็คงจะต้องเตรียมตัวพบกับกฎหมายนี้