ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “คาเนื้อคาหนัง รวบ ‘บิ๊กอิตาเลียนไทย’ คาป่าทุ่งใหญ่ฯ” และ “ศาลโลกเตรียมสอบสวนสงครามยาเสพติดฟิลิปปินส์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “คาเนื้อคาหนัง รวบ ‘บิ๊กอิตาเลียนไทย’ คาป่าทุ่งใหญ่ฯ” และ “ศาลโลกเตรียมสอบสวนสงครามยาเสพติดฟิลิปปินส์”

10 กุมภาพันธ์ 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 3-9 ก.พ. 2561

  • คาเนื้อคาหนัง รวบ “บิ๊กอิตาเลียนไทย” คาป่าทุ่งใหญ่ฯ
  • “สมยศ” รับ ยืมเงิน “เสี่ยกำพล” 300 ล้าน แจง คืนหมด-ยื่น ป.ป.ช. แล้ว – ขอโทษ ปมบอก “อาชีพหลักทำธุรกิจ ตำรวจเป็นไซด์ไลน์”
  • คพ. เตือน กรุงเทพฯ ฝุ่นหนาแน่น แม้มีแนวโน้มลดลงแต่ 4 พื้นที่ยังเกินมาตรฐาน
  • ประจิน แจง ยังไม่ชัดเรื่องพื้นที่ปลูกกัญชา ย้ำ ต้องมีแผนเป็นขั้นตอน มาตรการต้องชัด
  • ศาลโลกเตรียมสอบสวนสงครามยาเสพติดฟิลิปปินส์
  • คาเนื้อคาหนัง รวบ “บิ๊กอิตาเลียนไทย” คาป่าทุ่งใหญ่ฯ

    ที่มาภาพ: หน้าเฟซบุ๊ก คนอนุรักษ์ (http://bit.ly/2BNBVrC)

    กลายเป็นข่าวใหญ่ที่กลบทุกข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อหน้าเฟซบุ๊ก คนอนุรักษ์ ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความในวันที่ 6 ก.พ. โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. เวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก รับแจ้งว่าพบนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งตั้งแคมป์พักในบริเวณจุดห้ามตั้ง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีนักท่องเที่ยว 4 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือนายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการก่อสร้างที่มีงานขนาดใหญ่จำนวนมากทั้งจากภาครัฐและเอกชน

    ยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อตรวจสอบบริเวณเต็นท์ที่พัก เจ้าหน้าที่พบซากสัตว์ป่าคุ้มครอง คือ เสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง จึงได้ทำการขยายพื้นที่ตรวจสอบพบอาวุธปืนลูกกรดติดลำกล้อง 1 กระบอก ปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 1 กระบอก และปืนลูกซองแฝด 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนอีกมากใกล้กับที่พบอาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ จึงทำการจับกุมตัวนายเปรมชัยและพวกเพื่อส่งไปยังสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ และเมื่อเข้าตรวจสอบพื้นที่เพิ่มเติมในวันที่ 5 ก.พ. 2561 ก็พบซากเสือดำถูกชำแหละและถลกหนัง รวมทั้งพบเครื่องกระสุนปืนเพิ่มอีกมากบริเวณใกล้เคียง

    ตั้ง 6 ข้อหา “รุก-ล่า-ครอบครอง” – จ่อแจ้งติดสินบนเพิ่ม

    ทั้งนี้ ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหานายเปรมชัยกับพวก 6 ข้อหา ดังนี้

    1. ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 36 และมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    2. ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 16 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    3. ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 19 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    4. ฐานนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ 1 (1) ของกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    5. ฐานรวมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
    6. สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490

    อนึ่ง เมื่อนำตัวไปฝากขัง ศาลจังหวัดทองผาภูมิได้ให้ประกันตัวนายเปรมชัยและพวกในวงเงินคนละ 150,000 บาท แต่ในเวลาต่อมา วันที่ 9 ก.พ. 2561 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำนายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดจับกุมในครั้งนี้ นายวิเชียรยืนยันว่ามีการพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ จึงได้แนะนำให้นายวิเชียรกับพวกร้องทุกข์กับตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อกล่าวโทษนายเปรมชัยกับพวกในข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงานเพิ่มเติมอีกข้อหาหนึ่งด้วย

    ทนายแจง ขออนุญาตเข้าแล้ว-ไม่ได้ล่า – จนท. ลุยค้นบ้าน ไร้เงาเปรมชัย-ซากสัตว์ พบปืน-งาช้าง ระบุมีทะเบียน

    อย่างไรก็ดี ด้านนายเปรมชัยนั้น หลังจากได้รับการประกันตัวก็ยังไม่พบการปรากฏตัวในที่ใดๆ และยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ในขณะนี้ แต่ในช่วงเวลาหลังจากได้รับการประกันตัวและเดินทางกลับมาให้ปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิในวันเดียวกันนั้น ทนายความของนายเปรมชัยบอกกับผู้สื่อข่าวว่านายเปรมชัยแค่เดินทางไปพักผ่อน รวมทั้งมีการขอเข้าพื้นที่และได้รับอนุญาตแล้ว แต่การไปอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นเพราะหลงทางไป ส่วนเรื่องล่าสัตว์นั้นปฏิเสธว่าไม่ทราบ และนายเปรมชัยก็ไม่ได้เป็นคนยิง ส่วนเรื่องปืนเป็นของใครขอให้การกับพนักงานสอบสวนและในชั้นศาล

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (https://goo.gl/1cwort)

    ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ก.พ. 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของนายเปรมชัย ในกรุงเทพฯ แต่ไม่พบตัวนายเปรมชัยและซากสัตว์ป่าคุ้มครองอื่นๆ แต่อย่างใด รวมทั้งไม่พบร่องรอยการเคลื่อนย้ายของออกจากบ้าน แต่พบอาวุธปืนถึง 43 กระบอก โดยในจำนวนนี้เป็นฟืนไรเฟิล 28 กระบอก อีกทั้งยังพบงาช้าง 2 คู่ ซึ่งจากรายงานของเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ ในส่วนของงาช้างนั้นพบว่ามีการจดทะเบียนครอบครองอย่างถูกกฎหมาย

    “สมยศ” รับ ยืมเงิน “เสี่ยกำพล” 300 ล้าน แจง คืนหมดแล้ว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (https://goo.gl/7CUHNp)

    จากกรณีที่มีการบุกทลายสถานบริการวิคตอเรีย ซีเครท และเมื่อหรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตรวจสอบเส้นทางการเงินดีเอสไอพบเส้นทางการเงินของนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของสถานบริการดังกล่าว แล้วกลับพบว่าไปพัวพันกับ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

    วันที่ 6 ก.พ. 2561 เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า พล.ต.อ. สมยศ ยอมรับว่าเคยยืมเงินจำนวนดังกล่าวจากนายกำพลจริง โดยไม่ทราบว่าเงินนั้นมาจากธุรกิจใด แต่ตนก็ได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้นายกำพลไปแล้วโดยเป็นการทำธุรกรรมผ่านธนาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งยืนยันว่าได้แจ้งเรื่องนี้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้วด้วย

    แต่แล้ว ก็กลับเป็นเรื่องต่อเนื่องกันขึ้นมา เมื่อ พล.ต.อ. สมยศ ให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งถึงเรื่องเงินดังกล่าว โดยมีคำให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งระบุว่า “ต้องเรียนแบบนี้ก่อนว่าตลอดชีวิตรับราชการของผม เกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจนี่ถือว่าเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลักๆ ผมคือทำธุรกิจ” ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของคำพูดดังกล่าว จนในที่สุด พล.ต.อ. สมยศ ต้องออกมาชี้แจงและกล่าวขอโทษ

    เว็บไซต์วอยซ์ทีวีได้รายงานถึงคำชี้แจงของ พล.ต.อ. สมยศ ซึ่งยืนยันว่าได้ตอบคำถามที่ต้องการให้สื่อเข้าใจว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากการทำธุรกิจและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก ส่วนรายได้ที่ได้รับจากอาชีพตำรวจเป็นรายได้รอง ซึ่งตัวเองไม่เคยรับส่วยจากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และไม่เคยรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา

    “ด้วยอารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น จึงทำให้มีคำพูดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกหรือความเข้าใจไปต่างๆนานา โดยผมไม่ได้มีเจตนาในเชิงลบตามที่เป็นข่าว หรือจะทำให้เกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจของเพื่อนข้าราชการตำรวจแต่อย่างใด ผมขอยืนยันว่า ตลอดชีวิตการรับราชการของผม ผมรักและภาคภูมิใจในอาชีพ ตำรวจ ไม่เคยคิดดูถูก ดูหมิ่น ดูแคลนในอาชีพตำรวจแต่อย่างใด มีความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ในสายเลือดของผม ผมต้องขออภัยต่อเพื่อนตำรวจมา ณ ที่นี้ หากการให้สัมภาษณ์ของผม ทำให้มีผู้เข้าใจผิดหรือกระทบกระเทือนจิตใจเพื่อนข้าราชการตำรวจ” พล.ต.อ. สมยศ ระบุ

    คพ. เตือน กรุงเทพฯ ฝุ่นหนาแน่น แม้มีแนวโน้มลดลงแต่ 4 พื้นที่ยังเกินมาตรฐาน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ Worldwide Air Quality (https://goo.gl/9srsLj)

    วันที่ 8 ก.พ. 2561 หน้าเฟซบุ๊กกรมควบคุมมลพิษได้รายงานสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ประจำวันในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ตรวจวัดได้ระหว่าง 69-94 มคก./ลบ.ม. เกินเกณฑ์มาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) 5 สถานี ได้แก่ บริเวณเขตบางนา เขตวังทองหลาง ริมถนนอินทรพิทักษ์ ริมถนนพระราม 4 และริมถนนลาดพร้าว โดยปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่า ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หากจำเป็นต้องออกจากอาคาร ควรใส่หน้ากากอนามัย และหากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ รวมทั้งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการกำกับดูแลกิจกรรมต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละอองในพื้นที่ โดยเฉพาะการใช้ยานพาหนะ การเผา และการก่อสร้าง เพื่อที่จะช่วยลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ลงได้

    ต่อมาในวันที่ 9 ก.พ. 2561 ได้รายงานว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตรวจวัดได้ระหว่าง 39-61 มคก./ลบ.ม. ปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มลดลงทุกพื้นที่ โดยพบเกินเกณฑ์มาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) ได้แก่ บริเวณเขตวังทองหลาง ริมถนนพระรามสี่ ริมถนนอินทรพิทักษ์ และริมถนนลาดพร้าว

    อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจเช็คกับเว็บไซต์ Worldwide Air Quality พบว่า ดัชนีคุณภาพอากาศของกรุงเทพฯ ที่อัปเดตเมื่อเวลา 00.00 น. ของวันเสาร์ที่ 10 ก.พ. 2561 นั้นอยู่ที่ 149 ซึ่งตามเกณฑ์ของเว็บไซต์แล้วถือว่าไม่ดีต่อสุขภาพของกลุ่มเปราะบาง เช่น คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ

    ประจิน แจง ยังไม่ชัดเรื่องพื้นที่ปลูกกัญชา ย้ำ ต้องมีแผนเป็นขั้นตอน มาตรการต้องชัด

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=114602)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์  ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเปิดการประชุมวิชาการและปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การวิจัยและพัฒนาสารสกัดกัญชาทางการแพทย์เพื่อการพัฒนาประเทศ” ซึ่งจัดโดยองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ร่วมกับหน่วยงานวิจัย และนักวิจัยที่สนใจเรื่องนี้เข้าร่วมมากมาย  ว่า ประเทศไทยมีพืชยาเสพติดหลายตัวที่มีทั้งคุณประโยชน์ และความเป็นโทษ สามารถนำไปวิจัยต่อยอดองค์ความรู้ได้ อย่างเช่น กัญชง และกัญชา เป็นต้น อะไรที่เป็นประโยชน์รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีการศึกษาวิจัยตามหลักวิชาการ ให้ได้องค์ความรู้ เกิดเป็นเทคโนโลยี นำสู่การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำได้สำเร็จ

    พล.อ.อ. ประจิน กล่าวว่า เรื่องกัญชานั้นตนติดใจมานานว่าเมื่อไหร่จะมีการสังคายนา มีการศึกษาวิจัยทางวิชาการ วันนี้ในการประชุมวิชาการที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเดินหน้าสู่การวิจัย คือเป็นการตั้งต้นที่ดี หากสำเร็จน่าจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้เยอะ เพราะปัจจุบันมีการนำเข้ายาจากต่างประเทศในภาพรวมปีละกว่า 1.6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามจะต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน จะทำอะไร 1, 2, 3, 4 สิ่งสำคัญคือในการทำงานต้องชี้ให้ชัด 2-3 มาตรการ คือ 1. มาตรการการวิจัย 2. มาตรการควบคุมกัญชาตั้งแต่พื้นที่ปลูก การเก็บไปวิจัย การทำวิจัยในห้องแล็บต่างๆ ไม่ให้มีการเล็ดลอดออกไป และ 3. มาตรการทางกฎหมาย ที่อยู่ระหว่างการปรับแก้เพื่อรองรับการศึกษาวิจัยอยู่ในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนี้ ขอย้ำการหาแนวทางป้องกันการนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดชนิดอื่นๆ ด้วย เหมือนก่อนหน้านี้ที่มีการเอายาแก้ไข กาว ไปเป็นสารตั้งต้น

    เมื่อถามถึงพื้นที่เพาะปลูกกัญชาจะเริ่มเดินหน้าได้เมื่อไหร่ พล.อ.อ. ประจิน กล่าวว่า เรื่องพื้นที่เพาะปลูกที่มีการออกมาพูดก่อนหน้านี้นั้น ยังไม่ได้เป็นข้อสรุป เป็นเพียงข้อเสนอหนึ่งเท่านั้นที่อาจจะไม่สอดรับช่วงเวลา เพราะมาตรการต่างๆ ยังไม่ชัดเจน ตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดถึงการเพาะปลูกเลย การประชุมวันนี้ก็จะไม่มีการพูด หรือเสนอเรื่องนี้ ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการลงพื้นที่ดูพื้นที่เตรียมการเพาะปลูกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นั้นตนไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่น่าจะมี

    เมื่อถามต่อว่าความล่าช้าจะทำให้เสียโอกาสหรือไม่ พล.อ.อ. ประจิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็ผ่านมากี่ปีแล้ว ถามว่าถ้าจะช้าไปอีก 3-4 เดือน ดีกว่าเสี่ยงทำอะไรตอนนี้ ดังนั้นต้องรอบคอบ

    ด้าน ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม  กล่าวว่า ตอนนี้มีบางหน่วยงานที่ขออนุญาตศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์จากกัญชาไปแล้ว ส่วนการประชุมครั้งนี้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา จากนั้นจะสรุปข้อเสนอแนะว่าจะมีการเดินหน้าศึกษาวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างไรบ้าง  เบื้องต้นมีการใช้กัญชาทางการแพทย์ในหลายๆ ประเทศ ในบางกลุ่มโรคแล้ว อาทิ ใช้เพื่อการลดปวดจากการรักษาโรคมะเร็ง โรคพาร์กินสัน เป็นต้น

    ศาลโลกเตรียมสอบสวนสงครามยาเสพติดฟิลิปปินส์

    วันที่ 9 ก.พ. 2561 เว็บไซต์สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รายงานว่า หลังมาตรการกวาดล้างยาเสพติดในประเทศของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ซึ่งนำโดยประธานาธิบดี โรดริโก ดูแตร์เต เป็นที่ถกเถียงกันมานานในเรื่องของความถูกต้องและเหมาะสมจากการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด รวมถึงการสังหารคนบางกลุ่มทันทีที่ถูกต้องสงสัย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง

    ล่าสุด ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC (International Criminal Court) ได้ตอบรับเจตนารมณ์ของผู้สังเกตการณ์ทั่วโลก ที่ต้องการให้เปิดการสอบสวนมาตรการกวาดล้างของรัฐบาลฟิลิปปินส์ว่า “เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องสงสัยเกินขอบเขตหรือไม่”


    นาง ฟาโต้ เบนโซดา (Fatou Bensouda) อัยการจาก ICC ให้รายละเอียดว่า ICC ได้เริ่มการสอบสวนในขั้นต้นตั้งแต่เมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 2561) โดยจะติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยืนยันด้วยว่า จะตรวจสอบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้านและเป็นกลาง โดยอาศัยข้อมูลที่รวบรวมได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามกวาดล้างยาเสพติดปะทุขึ้นจนได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก และเป็นช่วงหลังประธานาธิบดีดูแตร์เตขึ้นรับตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์เพียงไม่นาน


    โดยกระบวนการสอบสวน ไม่เพียงมีผลจากความตึงเครียดที่ทั่วโลกจับตามอง แต่ยังมาจากความเคลื่อนไหวของทนายความของผู้ที่เสียชีวิตจากการปรามปรามอย่างไม่เป็นธรรม ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่และการใช้ความรุนแรงขึ้นฟ้องร้องต่อ ICC จนนำไปสู่การตีแผ่สถานการณ์ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง  


    ผลจากการปราบปรามทั้งผู้ค้าและผู้เสพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่งผลให้ปัจจุบันมีรายงานผู้เสียชีวิตจากมาตรการดังกล่าวไปแล้วอย่างน้อย 7 พันคน ซึ่งไม่เพียงแต่เสียชีวิตจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มอาชญากรภายในแก๊ง แต่ตามรายงานยังระบุว่าเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงด้วย 


    อัยการจาก ICC ชี้ด้วยว่า สถานการณ์ในฟิลิปปินส์สร้างความกังวลให้แก่ประชาคมโลก และจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสถานการณ์อาชญากรรมการรุกราน (Crime of Aggression), การก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ รวมถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก 


    ด้านนาย Harry Roque โฆษกของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ปธน. ดูแตร์เต ทราบถึงความเคลื่อนไหวของ ICC เบื้องต้นแล้ว โดยยอมรับว่าไม่พอใจที่ถูกประชาคมโลกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ แต่ยินดีให้ ICC เปิดการสอบสวน โดยเห็นด้วยว่าเป็นโอกาสดีที่อาจช่วยแก้ต่างคำกล่าวหาได้ 


    ด้านองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ซึ่งทำงานเพื่อพิทักษ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ก็ออกมาตอบรับ คำประกาศของ ICC ด้วยความยินดี 


    โดยนาย James Gomez ผู้อำนวยการองค์กร แถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้ว่า นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทั่วโลกจะเห็นความยุติธรรมและการแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ พร้อมเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของศาลโลกครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนทุกประเทศทั่วโลกถึงการมีสิทธิ์ถูกตรวจสอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเท่าเทียมกัน

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ข้อมูลจากรัฐบาลฟิลิปปินส์เผยว่า มีผู้เสียชีวิตจากมาตรการกวาดล้างยาเสพติด จำนวน 3,987 ราย แต่กลุ่มพันธมิตรสนับสนุนสิทธิมนุษยชนจากหลายประเทศยืนยันว่า ตัวเลขผู้ถูกสังหารที่แท้จริงอาจมีมากกว่า 12,000 ราย