ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ป.ป.ช. แจงปมนาฬิกาประวิตร สอบเอกชน 4 ราย – สอบทุกเรือน-ทุกประเด็น ” และ “Size does matter! ทรัมป์ โว ปุ่มกดนิวเคลียร์ ใหญ่-แรงกว่า คิม จองอึน”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ป.ป.ช. แจงปมนาฬิกาประวิตร สอบเอกชน 4 ราย – สอบทุกเรือน-ทุกประเด็น ” และ “Size does matter! ทรัมป์ โว ปุ่มกดนิวเคลียร์ ใหญ่-แรงกว่า คิม จองอึน”

6 มกราคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 30 ธ.ค. 2560 – 5 ม.ค. 2561

  • ป.ป.ช. แถลงปมนาฬิกาประวิตร เรียกสอบเอกชน 4 ราย – ยัน ตรวจสอบทุกเรือน-ทุกประเด็น – ตีตกคดีฮาวาย
  • ศรีสุวรรณร้อง ป.ป.ช. “ประยุทธ์” ซื้อ-แจก หมาบางแก้ว
  • คลังยัน ยังไม่ยอมรับเงินสกุลดิจิทัล แนะ ผันผวนสูง-ระวังก่อนลงทุน
  • ของขวัญปีใหม่ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 15 บาท
  • Size does matter! ทรัมป์ โว ปุ่มกดนิวเคลียร์ ใหญ่-แรงกว่า คิม จองอึน
  • ป.ป.ช. แถลงปมนาฬิกาประวิตร เรียกสอบเอกชน 4 ราย – ยัน ตรวจสอบทุกเรือน-ทุกประเด็น – ตีตกคดีฮาวาย

    พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
    ที่มาภาพ : https://social.tvpoolonline.com/

    หนึ่งในปมร้อนที่ตามกันมาตั้งแต่ปีไก่จนขึ้นปีใหม่ปีหมา ก็คือกรณีนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของน้องๆ แห่งกองทัพ ที่ในที่สุดก็ทำหนังสือชี้แจงเรื่องดังกล่าวกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ป.ป.ช. ก็ได้ออกแถลงผลการชี้แจงเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2560

    ในการแถลงนั้น นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. ยืนยันว่า พล.อ. ประวิตร ชี้แจงเรื่องนาฬิกาทุกเรือนที่เป็นข่าว โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรือนที่ 14 และ 15 ซึ่งปรากฏเป็นข่าวหลังจาก พล.อ. ประวิตร ทำหนังสือชี้แจงส่งให้ ป.ป.ช. ไปแล้ว นายวรวิทย์กล่าวว่า “มี 15 เรือนแล้วหรือครับ ก็ตรวจสอบทุกเรือนล่ะครับที่เป็นข่าว”

    ส่วนในเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการจงใจไม่ยื่นบัญชี ยื่นเท็จ หรือปกปิด หรือกรณีร่ำรวยผิดปกติ นายวรวิทย์ยืนยันว่า ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบในทุกประเด็น

    นอกจากนั้น นายวรวิทย์ยังบอกด้วยว่า มีการทำหนังสือให้ พล.อ. ประวิตร ชี้แจงเพิ่มเติมภายใน 15 วัน รวมทั้งจะมีการเชิญบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง 4 คน ซึ่งเป็นภาคเอกชนทั้งหมด เข้ามาให้ข้อมูล โดยบอกว่าจะพยายามสรุปผลให้ได้ภายในเดือน ม.ค.

    นอกจากเรื่องนาฬิกาของ พล.อ. ประวิตร แล้ว ในวันเดียวกันนี้ ป.ป.ช. ยังได้แถลงความคืบหน้าของคดีต่างๆ ที่อยู่ในการสอบสวนของ ป.ป.ช. ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการตรวจสอบคดีการเช่าเครื่องบินเหมาลำของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่า 20 ล้าน ของคณะที่ พล.อ.ประวิตร เป็นผู้นำไปประชุมที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 แล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานจากการแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบรายงานการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำผิดระเบียบแต่อย่างใด จึงมีมติไม่รับไว้ดำเนินการไต่สวนตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบคำกล่าวหา การแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน พ.ศ. 2560

    ศรีสุวรรณร้อง ป.ป.ช. “ประยุทธ์” ซื้อ-แจก หมาบางแก้ว

    โฉมหน้าลูกสุนัขพันธุ์บางแก้วทั้งสามตัวที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซื้อ
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (https://goo.gl/HKr8aa)

    เพียงเริ่มต้นปีหมาก็มีเรื่องหมาๆ ให้ได้ฮือฮากัน โดยเรื่องนี้มีมูลสืบเนื่องจากช่วงสัปดาห์สุดท้ายปลายปีที่แล้ว ที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีพิษณุโลก (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ณ บ้านวังส้มซ่า หมู่ที่ 1 ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก และได้ซื้อลูกสุนัขพันธุ์บางแก้วเพศผู้ 3 ตัว โดยจะนำไปเลี้ยงเอง 1 ตัว และอีก 2 ตัวนั้นจะมอบให้กับ พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ลูกสุนัขดังกล่าวมีราคาตัวละ 6,000 บาท (3 ตัว 18,000 บาท) แต่ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ให้เงินไปทั้งหมด 25,000 บาท โดยระบุว่าเงินที่เหลือนั้นให้เป็นเงินขวัญถุง

    ทว่า ความน่ารักทั้งของนายกฯ และน้องหมาอาจกลับกลายเป็นปัญหาในทางกฎหมายได้ เมื่อนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนเรื่องดังกล่าว เนื่องจากนับเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินกว่า 3,000 บาท อาจถือว่ามีความผิดตามมาตรา 103 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติมประกอบ ข้อ 5(2) ของประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2544 ซึ่งบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจาก บุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมายหรือกฎข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจํานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด”

    พอมาในรูปนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ก็ชี้แจงกับสื่อว่า “เรื่องหมาบางแก้ว เป็นเรื่องสุนัข ขออย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ตนยังไม่ได้ให้ใครสักคน วันนั้นก็ได้แต่ถามว่าใครจะเอา ที่จ่ายเงินไป ซึ่งในส่วนที่เกินให้เขาไปนั้น ส่วนหนึ่งถ้าหักลบก็จะเป็นค่าวัคซีนและค่าขนส่ง” พร้อมบอกอีกว่าตนเองก็ยังไม่ได้รับลูกสุนัข และ พล.อ. ฉัตรชัย กับ พล.อ. อนุพงษ์ ก็ยังไม่ได้รับปากว่าจะรับแต่อย่างใด เนื่องจากที่บ้านก็มีสุนัขอยู่หลายตัวแล้ว อีกทั้งนายกฯ ยังยืนยันว่าตนเองนั้นรู้กฎหมายว่าให้ใครเกิน 3,000 บาทไม่ได้

    และจากรายงานของเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจนั้น เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จ่ายเงินไปแล้ว นายกฯ จะเปลี่ยนใจไม่ซื้อหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “จ่ายตังค์ไปแล้ว แต่ถ้าใครจะซื้อก็มาซื้อต่อได้” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า แสดงว่านายกฯ พร้อมจะขายต่อใช่หรือไม่ นายกฯ ก็เดินเลี่ยงไปโดยไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

    ซึ่งในเวลาต่อมา นายศรีสุวรรณก็ได้ออกประกาศขอรับซื้อลูกสุนัข 2 ตัวจาก พล.อ. ประยุทธ์ ในราคาเดียวกับราคาขายคือตัวละ 6,000 บาท พร้อมระบุว่าจะตั้งชื่อให้สุนัขทั้ง 2 ตัวว่า “น้องปรองดอง” และ “น้องสมานฉันท์” เพื่อสะท้อนว่าเป็นสุนัขที่นายกฯ ขายให้ แต่ก็ได้ทิ้งท้ายว่าหากนายกฯ ไม่ขายให้จริงดังคำพูด ทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยก็จะแจ้งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบติดตามทั้งในระยะสั้นและระยาวต่อไปว่าสุดท้ายแล้วสุนัขดังกล่าวไปอยู่กับใคร

    นอกจากนี้ เว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์รายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ประกาศว่า “ถ้าคนนั้นไม่เอา คนนี้ไม่เอา ผมจะเอา และผมมีวิธีเอาโดยไม่ผิดกฎหมายด้วย แต่ผมไม่เปิดเผยวิธีการว่าทำอย่างไร” พร้อมทั้งบอกด้วยว่าทราบว่า ป.ป.ช. กำลังจะแก้ไขประกาศ ป.ป.ช. เรื่องห้ามให้และรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดมูลค่าเกิน 3,000 บาท เพื่อให้สอดรับกับ พ.ร.ป. ว่าด้วย ป.ป.ช. ที่จะมีผลบังคับใช้ และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ที่จะแก้ไขโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ

    คลังยัน ยังไม่ยอมรับเงินสกุลดิจิทัล แนะ ผันผวนสูง-ระวังก่อนลงทุน

    วันที่ 3 ม.ค. 2561 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีการนำสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เช่น Bitcoin, Ethereum, Litecoin เป็นต้น มาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งสำหรับการใช้จ่ายตามร้านค้าทั่วไป รวมไปถึงการชักชวนให้ร่วมลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าว จึงอาจทำให้เกิดข้อสงสัยแก่ประชาชนว่าเงินดิจิทัลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องนั้น ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ประกอบกับนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลแก่ประชาชนให้ถูกต้อง โดยให้เน้นย้ำถึงข้อควรระวังและความเสี่ยงในการลงทุนเงินสกุลดังกล่าวให้ชัดเจน และเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 กระทรวงการคลังและหน่วยงานกำกับดูแล อันได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกัน ดังนี้

    1. ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของสกุลเงินดิจิทัล (Blockchain) มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริการทางการเงินและสร้างนวัตกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ แต่ในประเทศไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ยังไม่ยอมรับเงินสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ เป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
    2. ปัจจุบันมูลค่าของเงินสกุลดิจิทัลมีความผันผวนมากเกิดจากความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขายเป็นหลัก จนอาจไม่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และบางกรณีมีลักษณะเก็งกำไรสูง ดังนั้น ผู้ที่ถือเงินสกุลดิจิทัลจึงมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงได้ด้วย ผู้ลงทุนจึงควรตระหนักว่าสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด
    3. ประชาชนควรใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงก่อนตัดสินใจลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเนื่องจากอาจมีผู้มีเจตนาทุจริตมีพฤติกรรมหลอกลวงเงินจากประชาชนโดยอ้างถึงการลงทุนในเงินสกุลดิจิทัลและจูงใจด้วยผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้นๆ เช่นเดียวกับกรณีแชร์ลูกโซ่ โดยอาจสังเกตเบื้องต้นจากวิธีการชักจูงด้วยการเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริง การกดดันให้ต้องรีบตัดสินใจลงทุน เป็นต้น ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย
    4. ในบางกรณี การทำธุรกรรมด้วยเงินสกุลดิจิทัลอาจไม่ได้ผ่านการระบุตัวตนหรือการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินอย่างครบถ้วนจึงอาจเป็นช่องทางให้ผู้มีเจตนาทุจริตใช้ทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินประชาชน เป็นต้น ประชาชนจึงอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าวโดยไม่ได้รู้เห็นมาก่อน
    5. หน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการติดตามพัฒนาการของสกุลเงินดิจิทัลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะทำงานระหว่าง กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงาน ก.ล.ต. และ ปปง. เพื่อพิจารณาทางเลือกเชิงนโยบายเพื่อดูแลสกุลเงินดิจิทัลอย่างเหมาะสมต่อไป

    ของขวัญปีใหม่ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 15 บาท

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงานฯ เปิดเผยว่าตนได้สั่งการให้ คณะกรรมการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำจากสามฝ่าย (ไตรภาคี) เรียกประชุมบอร์ดชุดใหญ่ไตรภาคี ที่มีปลัดกระทรวงแรงงานฯเป็นประธาน เพื่อมาหารือและมีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ภายในไม่เกินวันที่ 15 ม.ค. นี้โดยค่าแรงปรับใหม่มีผลทันทีสิ้นเดือนนี้ ตามข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ

    “ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 15 ม.ค. โดยอัตราขึ้นเท่าใดนั้นในที่ประชุมไตรภาคี จะพิจารณาจากหลายปัจจัยมาประกอบ เช่นความเป็นอยู่ของแรงงาน ค่าครองชีพ การได้รับการดูแลเป็นอย่างไร เมื่อขึ้นแล้วผู้ประกอบการ ยังมีกำไร และมีศักยภาพในการลงทุนแข่งขัน รวมถึงค่าแรงของประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีผลสามารถจ่ายได้สิ้นเดือนนี้ ซึ่งนายกฯ เน้นย้ำมาท่านให้ความสำคัญมาก” รมว.แรงงานฯกล่าว

    ด้านนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงานฯ กล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 3 ปี ซึ่งในปีที่แล้ว ได้ปรับขึ้นมา 310 บาท ก็ขึ้นเพียง 30 จังหวัด ซึ่งจะนัดประชุมบอร์ดไตรภาคีชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้า เพื่อมีมติไม่เกิน 15 ม.ค. โดยการพิจาณาถึงดัชนีผู้บริโภค อัตราความเจริญเติบโตในแต่ละจังหวัด และประเทศเพื่อนบ้าน ค่าครองชีพ ซึ่งครั้งนี้จะปรับขึ้นทั่วประเทศ โดยหัวใจสำคัญต้องการเพิ่มสัดส่วนแรงงานไทย และจัดทำแคมเปญต่างๆ เพื่อให้คนไทยทุกคนมีงานทำ 

    “ต้องดึงคนไทยเข้าสู่ตลาดแรงงานให้มากขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงเป็นปัจจัยหลัก รวมถึงจะกำหนดอัตราค่าแรงเป็นรายชั่วโมง ในลักษณะงานพิเศษ ที่สามารถจ้างผู้สูงอายุ คนพิการ และพนักงานทั่วไปหลังเลิกงานประจำ มาทำงานรายชั่วโมงได้อีก เปิดโอกาสคนไทยมีช่องทางหารายได้เพิ่ม ในส่วนค่าแรงขั้นต่ำเดิม 300 บาท ปรับมา 310 บาทในบางจังหวัด ซึ่งอัตราที่บอร์ดค่าจ้างไตรภาคี เคยพิจารณาปรับขึ้นระหว่าง 2-15 บาท ซี่งอาจขึ้นมากว่า 15 บาท โดยในครั้งนี้บอร์ดค่าจ้าง จะมาทำอัตราใหม่ เพราะไม่ได้ขึ้นค่าแรง 300 บาท มาตั้งแต่ปี 57 โดยจะปรับขึ้นทีเดียวทั่วประเทศ” นายจรินทร์กล่าว

    Size does matter! ทรัมป์ โว ปุ่มกดนิวเคลียร์ ใหญ่-แรงกว่า คิม จองอึน

    ที่มาภาพ: ทวิตเตอร์ Donald J. Trump (https://goo.gl/cvgyBJ)

    วันที่ 3 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า หลังเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันปีใหม่ระบุถึงความสำเร็จในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมทั้งระบุว่า ปุ่มกดนิวเคลียร์นั้นอยู่บนโต๊ะของตนเสมอ ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความตอบโต้ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือแล้ว โดยระบุว่า ปุ่มกดนิวเคลียร์ของตนใหญ่กว่าและรุนแรงกว่าของเกาหลีเหนือ โดยมีใจความดังนี้

    ‘คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือระบุว่า “ปุ่มกดนิวเคลียร์อยู่บนโต๊ะของเขาตลอดเวลา” ใครบางคนในประเทศแห้งแล้งอดอยากของเขาจะบอกเขาได้ไหมว่าผมก็มีปุ่มกดนิวเคลียร์เหมือนกัน แต่มันใหญ่กว่าและรุนแรงมากกว่าของเขา และปุ่มของผมนั้นทำงานได้จริง!

    ทั้งนี้ ในสุนทรพจน์ของคิม จองอึน เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมาระบุว่า “เกาหลีเหนือสามารถรับมือกับภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ทุกชนิดจากสหรัฐ และยังมีศักยภาพด้านนิวเคลียร์อย่างเต็มเปี่ยมที่จะป้องกันตนเอง หากสหรัฐต้องการเล่นกับไฟ ปุ่มกดนิวเคลียร์อยู่บนโต๊ะของเราเสมอ นี่ไม่ใช่คำขู่แต่เป็นเรื่องจริง” คิม จองอึน กล่าว อย่างไรก็ตาม ในข้อความของคิม จองอึน นั้นยังมีข้อเสนอที่จะลดความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีด้วยการเสนอที่จะมีการเจรจากับเกาหลีใต้ และแสดงความต้องการที่จะส่งนักกีฬาเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่จะจัดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ด้วย ขณะที่ทางการเกาหลีใต้เสนอให้มีการหารือในระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างสองประเทศในวันที่ 9 มกราคมนี้