ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “เรือนเก่ายังไม่ไขเรือนใหม่มาอีกแล้ว ‘Richard Mille’ อีกเรือนบนข้อมือบิ๊กป้อม” และ “เมียนมาจับสองนักข่าวรอยเตอร์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “เรือนเก่ายังไม่ไขเรือนใหม่มาอีกแล้ว ‘Richard Mille’ อีกเรือนบนข้อมือบิ๊กป้อม” และ “เมียนมาจับสองนักข่าวรอยเตอร์”

16 ธันวาคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 9-15 ธ.ค. 2560

  • เรือนเก่ายังไม่ไขเรือนใหม่มาอีกแล้ว “Richard Mille” อีกเรือนบนข้อมือบิ๊กป้อม
  • ผลชันสูตรรอบ 2 เชื่อ “น้องเมย” ถูกทำร้าย-ซี่โครงไม่ได้หักเพราะ CPR ด้านกองทัพยังแย้ง ตายเพราะปัญหาสุขภาพ
  • ปัญหาเยอะ-ไม่มีประสิทธิภาพ ขสมก. สั่งยุติติดตั้ง Cash Box จ่อแก้ไขสัญญาส่วนที่เหลือ
  • สอบ “ดุษฎี” หลังชุดทำงานถูกซัดทอดสร้างพยานเท็จกรณีครูจอมทรัพย์
  • เมียนมาจับสองนักข่าวรอยเตอร์
  • เรือนเก่ายังไม่ไขเรือนใหม่มาอีกแล้ว “Richard Mille” อีกเรือนบนข้อมือบิ๊กป้อม

    ที่มาภาพ: หน้าเฟซบุ๊ก CSI LA (http://bit.ly/2ktPEsB)

    ประเด็นฮอตเรื่องแรกอาทิตย์นี้ยังคงเกาะติดประเด็นนาฬิกาหรูและเพชรเม็ดโตของ “บิ๊กป้อม” พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่บัดนี้ปรากฏแก่สายตาประชาชนไปทั่วแต่กลับไม่เคยปรากฏอยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นแสดงต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้ทาง ป.ป.ช. ต้องส่งหนังสือขอให้ พล.อ. ประวิตร ชี้แจงเรื่องทรัพย์สินดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน (ครบกำหนด 8 ม.ค. 2561) ซึ่งแม้ในรอบสัปดาห์นี้จะมีกระแสข่าวออกมาว่าสถานะของทรัพย์สินอันเป็นที่โจษจันนั้นคือ “แหวนมารดา-นาฬิกาเพื่อน” มิใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของ พล.อ. ประวิตร ทว่า ข้อเท็จจริงก็คือ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการชี้แจงจาก พล.อ. ประวิตร ถึง ป.ป.ช. ตามที่ได้รับคำขอแต่อย่างใด

    แต่แล้ว ความ Richard Mille เดิมไม่ทันหาย ความ Richard Mille ใหม่ก็เข้ามาแทรก เมื่อหน้าเพจเฟซบุ๊ก CSI LA ได้เผยแพร่ภาพ พล.อ. ประวิตร กับนาฬิกา Richard Mille อีกเรือนหนึ่งซึ่งเป็นคนละเรือนกับเรือนแรก ทำให้ความสงสัยในใจประชาชนยิ่งทบทวี ซึ่งทางนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช. ได้กล่าวถึงกรณีใหม่นี้ว่า ถ้ามีประเด็นเพิ่มขึ้นมาก็อยู่ในข่ายที่ ป.ป.ช. จะตรวจสอบเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว เพราะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามในส่วนนาฬิกาหรูเรือนใหม่นั้น ยังไม่ทราบว่ามีการแจ้งในบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ คงต้องไปตรวจสอบดูบัญชีทรัพย์สินที่ พล.อ. ประวิตร ยื่นมาว่า มีการแจ้งมาหรือไม่

    ก็คงเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามกันต่อไป ว่าการยกมือบังแดดเพียงครั้งเดียวนั้นจะส่งผลให้ “พี่ใหญ่” ของน้องๆ ทั้งหลายกลายเป็นบุคคลที่ร้อนแรงข้ามปีหรือไม่ และหากมีความชัดเจนปรากฏขึ้นมาแล้ว สถานะของ พล.อ. ประวิตร จะเป็นอย่างไรต่อไป

    แต่อย่างน้อยๆ ณ ขณะนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี น้องที่แสนดีของพี่ใหญ่ผู้นี้ก็ได้ขอกับสื่อแล้วว่าให้ลดราวาศอกกับ พล.อ. ประวิตร บ้าง

    ชันสูตรรอบ 2 เชื่อ “น้องเมย” ถูกทำร้าย-ซี่โครงไม่ได้หักเพราะ CPR – กองทัพแย้งตายเพราะปัญหาสุขภาพ

    น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาว นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์อมรินทร์ทีวี (http://www.amarintv.com/?p=120187)

    จากกรณีการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ที่กลายเป็นคดีซับซ้อนซ่อนเงื่อนเมื่อทางครอบครัวติดใจในผลชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตจนต้องวางแผน “เผาปลอม” เพื่อแอบเอาร่างของ นตท.ภคพงศ์ ไปทำการชันสูตรซ้ำอีกครั้งและพบว่ามีการนำเอาอวัยวะภายในบางส่วนออกไปโดยไม่ได้แจ้งให้ญาติทราบ จนนำไปสู่การส่งคืนอวัยวะทั้งหมดและการชันสูตรซ้ำอีกครั้ง

    ล่าสุด เว็บไซต์อมรินทร์ทีวีรายงานในวันที่ 9 ธ.ค. 2560 ว่า น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของ นตท.ภคพงศ์ ได้เปิดเผยผลชันสูตรรอบล่าสุดที่ได้รับจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ว่า ผลการชันสูตรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับการชันสูตรร่างกายที่แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ผลการชันสูตรระบุชัดเจนว่าพบรอยช้ำตามร่างกายหลายแห่ง ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการถูกทำร้าย นอกจากนั้นยังระบุว่า ซี่โครงซี่ที่ 4 ที่หัก ไม่ได้เกิดจากการทำ CPR อย่างแน่นอน ส่วนผลการชันสูตรในชุดที่ 2 เกี่ยวกับการชันสูตรอวัยวะนั้นยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์

    ทั้งนี้ น.ส.สุพิชา ทางครอบครัวจะใช้ผลการชันสูตรที่ได้ทั้งหมดเป็นข้อมูลในการดำเนินคดีทางชั้นศาลกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชายอย่างแน่นอน

    ต่อมา วันที่ 13 ธ.ค. 2560 เฟซบุ๊ก Wassana Nanuam โพสต์ระบุว่า มีรายงานข่าว ว่า ในการประชุมคณะกรรมการสอบสวน ที่มี พล.อ.อ. ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธาน เมื่อเย็นวันที่ 12 ธ.ค. 2560 ได้สรุปผลการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย แล้วว่า เกิดจากปัญหาสุขภาพ ที่เกิดจากหลายสาเหตุ ส่งผลให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งคณะกรรมการฯ เข้าใจดีว่ากระแสสังคมเชื่อไปแล้วว่า น้องเมย ถูกซ่อม เสียชีวิต แต่คณะกรรมการฯ จะนำหลักฐานทางการแพทย์การตรวจรักษาและภาพวงจรปิดรวมทั้งการให้ปากคำมายืนยัน

    ต่อมา ได้มีการแถลงในวันที่ 15 ธ.ค. 2560 โดยสรุปว่า นตท.ภคพงศ์ เสียชีวิตเพราะภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ไม่ได้เกิดจากการถูกสั่งลงโทษหรือทำร้ายแต่อย่างใด

    ปัญหาเยอะ-ไม่มีประสิทธิภาพ ขสมก. สั่งยุติติดตั้ง Cash Box จ่อแก้ไขสัญญาส่วนที่เหลือ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=41674)

    จากกรณีที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ทำสัญญากับ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ในการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมอุปกรณ์ (e-Ticket) และเครื่องเก็บค่าโดยสาร หรือ Cash box บนรถโดยสาร 2,600 คัน มูลค่าโครงการ 1,665,000,000 บาท และมีระยะสัมปทาน 5 ปี

    ล่าสุด ผู้จัดการรายวัน 360 รายงานว่า นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) ให้ยุติการติดตั้งเครื่องเก็บค่าโดยสารบนรถโดยสารแล้ว หลังจากที่พบมีปัญหาทางเทคนิคทำให้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีข้อจำกัดในการใช้งาน เช่น ในชั่วโมงเร่งด่วน ที่อาจจะรองรับไม่ไหว จนทำให้เกิดปัญหาจราจรเพิ่ม อีกทั้งเทคโนโลยีจะพัฒนาไปเป็น e-Ticket และบัตรแมงมุม หรือตั๋วร่วมทั้งหมด ภายใน 2 ปี จะไม่มีการใช้เงินสด ทุกอย่างจะใช้บัตรหมด ซึ่งประชาชนจะมีการปรับตัวแล้ว

    ดังนั้น จากสัญญาที่ต้องติดตั้งบนรถเมล์ 2,600 คัน โดยขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการติดตั้งลอตแรก 800 คันอยู่ ก็จะต้องทำลอตแรกนี้ให้เสร็จภายในวันที่ 12 ธ.ค. 2560 ตามสัญญาไปก่อน ซึ่งหากไม่เสร็จในส่วนนี้จะปรับ ในขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 1,800 คันนั้นจะเร่งเจรจาเพื่อแก้ไขสัญญา

    สอบ “ดุษฎี” หลังชุดทำงานถูกซัดทอดสร้างพยานเท็จกรณีครูจอมทรัพย์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/x5U7Wh)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า วันที่ 14 ธันวาคม พล.ต.ต. ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เข้าสอบปากคำ พ.ต.อ. ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าชุดทำงาน การรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ในคดีขับรถชนคนตาย ที่กระทรวงยุติธรรม ภายหลังจากที่ชุดทำงานถูกผู้ต้องหาซัดทอดว่ามีส่วนรู้เห็นในการสร้างพยานหลักฐานเท็จประกอบการขอรื้อฟื้นคดี

    โดยรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวก่อนเข้าสอบปากคำ โดยระบุ ว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องสอบถามคือ ขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ชุดช่วยเหลือครูจอมทรัพย์ ในการขอรื้อฟื้นคดี

    ส่วนความคืบหน้าการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรม 14 คน ที่เรียกสอบปากคำขณะนี้สอบไปแล้ว 13 คน ส่วน ที่เหลือ 1 คน อยู่ต่างประเทศ ขณะที่ผลการสอบปากคำ ยังบอกไม่ได้ว่า มีความผิดหรือไม่ เพราะยังต้องผ่านการพิจารณาร่วมกันของคณะกรรมการชุดทำงานก่อน และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใด กับเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม

    สำหรับ การตรวจสอบคลี่คลายคดี มั่นใจว่า สามารถสรุปสำนวนคดีได้ภายใน 20 ธันวามคมนี้

    พล.ต.ต. ธนาศักดิ์ เผยว่า ส่วนประเด็นเรื่องข้อมูลการเข้าเครื่องจับเท็จนั้น ผลรายงานการเข้าเครื่องจับเท็จของนายสับ วาปี ผู้ที่รับว่าเป็นคนขับรถชนคนตาย และนายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง เพื่อนสนิทครูจอมทรัพย์ ที่กระทรวงยุติธรรม มีรายงานว่าทั้ง 2 คน รับว่ามีการสร้างหลักฐานเท็จ ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวชุดสอบสวน ได้รับหลังจากศาลมีคำสั่งยกคำร้องรื้อฟื้นคดี

    ด้าน พ.ต.อ. ดุษฎี อารยวุฒิ ยืนยันในวันเดียวกันว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องของการสร้างพยานหลักฐานเท็จเพราะเชื่อโดยสุจริตใจว่าครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ในคดีและมีสิทธิ์ที่จะมาขอรื้อฟื้นคดีได้ ซึ่งทุกอย่างเจ้าหน้าที่ทำไปบนพื้นฐานของพยานหลักฐาน

    เมียนมาจับสองนักข่าวรอยเตอร์

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ทางการเมียนมา จับกุม 2 ผู้สื่อข่าวจากรอยเตอร์ ฐานครอบครองเอกสารสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคง ตามกฎหมายความลับทางการ ซึ่งมีโทษหนักจำคุกนานถึง 14 ปี

    กระทรวงข่าวสารของเมียนมาออกแถลงการณ์ ว่าเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายว้า โล่น วัย 31 ปี และนายจ่อ โซ โอ วัย 27 ปี ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยเตรียมดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายความลับทางราชการ ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 ในช่วงอาณานิคม ฐานลักลอบถือครองเอกสารลับราชการ เกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ และมีเจตนาแจกจ่ายข้อมูลให้กับสื่อต่างประเทศอีกหลายแห่ง

    ทั้งนี้ นอกจากนักข่าวสองรายนี้ ทางการเมียนมายังจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 ราย คือร้อยตำรวจโท โม ยานนาย และสิบตำรวจเอก คิน หม่อง ลิน ถูกควบคุมตัว ฐานกระทำผิดตามกฎหมายฉบับเดียวกัน

    ด้านนายสตีเฟน เจ. แอดเลอร์ บรรณาธิการบริหารของสำนักข่าวรอยเตอร์ พูดถึงกรณีนี้ว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชนอย่างร้ายแรง โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาปล่อยตัวผู้สื่อข่าวทั้งสองคนอย่างเร็วที่สุด

    ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงย่างกุ้ง ออกแถลงการณ์แสดง “ความวิตกกังวลอย่างยิ่ง” และเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐอนุญาตให้มีการเข้าเยี่ยมผู้สื่อข่าวที่ถูกจับกุม เเละสำนักงานผู้แทนสหภาพยุโรป ( อียู ) ประจำเมียนมา ที่ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

    “ประชาธิปไตยจะบรรลุผลสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อนักข่าวสามารถทำงานได้อย่างเสรี เราเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาชี้แจงเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ และอนุญาตให้เข้าพบนักข่าวได้ทันที” แถลงการณ์สถานทูตสหรัฐฯ ในย่างกุ้งระบุ

    ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหประชาชาติและประชาคมโลก ได้กดดันรัฐบาลเมียนมาให้ยุติการใช้กำลังทางทหารที่เกินกว่าเหตุต่อชาวมุสลิมโรฮีนจา ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา จนส่งผลให้ชาวโรฮีนจาต้องอพยพข้ามพรมแดนไปยังบังกลาเทศกว่า 620,000 คน