ThaiPublica > เกาะกระแส > EIC เปิดมุมมองธุรกิจด้วย Big Data ระบุสร้าง insight – คาดการณ์แนวโน้มแม่นยำ แต่ไม่ใช่เครื่องมือแก้ทุกปัญหา

EIC เปิดมุมมองธุรกิจด้วย Big Data ระบุสร้าง insight – คาดการณ์แนวโน้มแม่นยำ แต่ไม่ใช่เครื่องมือแก้ทุกปัญหา

22 พฤศจิกายน 2017


EIC Insight ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้วิเคราะห์ เปิดมุมมองธุรกิจด้วย Big Data โดยระบุว่า Big Data เป็นข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลาย ไม่มีโครงสร้างและรูปแบบที่แน่นอน ซึ่งเกิดขึ้นและถูกรวบรวมได้อย่างรวดเร็วในโลกยุคดิจิทัล เช่น ข้อมูลที่ได้จาก call center, text message ข้อมูลในโซเชียลมีเดีย อย่าง Facebook, Instagram หรือ Twitter ซึ่งการเติบโตของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถส่งข้อมูลถึงกัน รวมไปถึงพฤติกรรมบนสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ที่คนชอบรีวิว กดไลค์ คอมเมนต์ ส่งผลให้ Big Data ในลักษณะข้อความ ภาพ เสียง วีดีโอถูกสร้างขึ้นตลอดเวลา ต่างจากข้อมูลแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นเพียงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ยอดขาย ฐานข้อมูลลูกค้า เป็นต้น

การวิเคราะห์ Big Data ช่วยให้ธุรกิจสามารถค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงและตัวแปรในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ในขณะที่ข้อมูลแบบดั้งเดิม มีโครงสร้างที่แน่นอนอาจนำมาใช้คาดการณ์ได้จำกัด ธุรกิจสามารถนำข้อมูลภายในบริษัทและข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่บนโลกออนไลน์ อย่างไลฟ์สไตล์ของลูกค้า สภาพอากาศ ข้อมูลของคู่แข่ง มาประกอบกันเพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ สร้าง insight ให้กับธุรกิจ และคาดการณ์แนวโน้มให้ถูกต้องแม่นยำ เช่น จะผลิตสินค้าอะไรให้ตรงใจลูกค้า ลูกค้าลักษณะแบบนี้จะซื้อสินค้าอะไรคู่กัน ซื้ออะไรก่อนหลัง ในขณะที่ข้อมูลแบบเก่าจะแสดงให้เห็นภาพสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระดับหนึ่ง แต่มีข้อจำกัดในการอธิบายสาเหตุ เช่น ข้อมูลจากการสำรวจสะท้อนเพียงความคิดเห็น และความตั้งใจ ไม่ใช่การวิเคราะห์จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ

บริษัทไทยส่วนใหญ่ที่เริ่มนำ Big Data มาใช้วิเคราะห์แล้ว มุ่งเน้นใช้ประโยชน์ในด้านพัฒนาการขายและการตลาด จากข้อมูลและความคิดเห็นของบริษัทชั้นนำไทยกว่า 60 แห่งพบว่า ธุรกิจเกินครึ่งนำ Big Data มาใช้แล้วราว 1-3 ปี ซึ่งทั้งภาคบริการและภาคการผลิตนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาการขายและการตลาดมากที่สุด เช่น การตั้งราคาและจัดโปรโมชั่นให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ขายสินค้าแบบเดียวกัน อย่างธุรกิจโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ จะใช้ประโยชน์จาก Big Data ในด้านการปรับปรุงสินค้าและบริการให้มีมูลค่าเพิ่ม ให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง ส่วนธุรกิจในภาคการผลิตอย่างอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน จะใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อเพิ่มผลิตภาพ มุ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

คาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า Big Data จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ในภาคธุรกิจไทยมากขึ้น เพื่อตามให้ทันเทรนด์ของผู้บริโภคที่เป็น Smart Consumer และพัฒนาธุรกิจให้ก้าวไปเป็น Smart Company กว่า 70% ของบริษัทที่ยังไม่ได้เริ่มใช้ Big Data วางแผนจะนำข้อมูลดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในอนาคต ซึ่งระยะเวลาเตรียมความพร้อมส่วนใหญ่อยู่ที่ราว 1-3 ปี ทั้งนี้ ธุรกิจสามารถสร้างและเก็บ Big Data มาวิเคราะห์เพื่อตอบสนองผู้บริโภคไทยยุคใหม่ที่มีพฤติกรรมการบริโภคซับซ้อนขึ้น คาดหวังสูง ภักดีต่อแบรนด์น้อยลง และได้รับอิทธิพลจากสื่อออนไลน์ในการเลือกซื้อ เปรียบเทียบสินค้า

นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้ Big Data ยังสามารถลดต้นทุน ยกระดับกระบวนการผลิต และพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อแก้ปัญหา “เงิน งาน คน” ภายในบริษัทท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอนาคต

การตัดสินใจของผู้บริโภคไทยยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น เป็นเหตุให้ธุรกิจต้องอาศัยข้อมูลใหม่ๆ เพื่อทำความเข้าใจที่มาของพฤติกรรมต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อพิชิตใจผู้บริโภค อีไอซีพบว่าผู้บริโภคไทยกว่า 80% คาดหวังให้สินค้าและบริการมีลักษณะตามที่ตนเองต้องการมากที่สุด โดยยกให้คุณภาพมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง และยังมีแนวโน้มที่จะมีความภักดีต่อแบรนด์น้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ทั้งนี้ Big Data นับว่าเป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึกมากขึ้น โดยเฉพาะจากการวิเคราะห์ข้อมูลในยุคดิจิทัลที่แสดงพฤติกรรมของลูกค้าที่เกิดขึ้นจริง เช่น การโพสต์ข้อความและรูปภาพในโซเชียลมีเดีย คำที่ใช้ค้นหาใน search engine และข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต (Internet of Things: IoT) เป็นต้น ทำให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ได้ตรงใจผู้บริโภคแต่ละรายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตลาดส่วนบุคคล (personalized marketing) การตั้งราคาให้เหมาะสม (price optimization) รวมไปถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (cross-selling) เป็นต้น

ธุรกิจสามารถพัฒนาองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่รวบรวมจากเซ็นเซอร์จุดต่างๆ ในสายการผลิต ข้อมูลการทำงานและพฤติกรรมของพนักงานเพื่อประโยชน์ในการรักษาพนักงานเดิมและการสรรหาพนักงานใหม่ ปัจจุบันความสามารถในการแข่งขันของบริษัทไทยกำลังเผชิญความท้าทายในหลายๆ ด้าน ทั้งในส่วนของต้นทุนการดำเนินงานที่พุ่งสูงขึ้น ผลิตภาพการผลิตมีอัตราการเติบโตถดถอยลง รวมไปถึงการเปลี่ยนงานบ่อยของคนรุ่นใหม่ ซึ่งการปรับปรุงระบบการผลิตและระบบงานภายในองค์กรให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบดิจิทัล เช่น การติดตั้งเซ็นเซอร์ในสายการผลิตเพื่อจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่และนำมาวิเคราะห์ จะทำให้ผู้ผลิตทราบและคาดการณ์ถึงจุดที่จะเป็นปัญหาและต้องการการแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ทำให้สามารถเข้าไปจัดการได้ทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียและเพิ่มผลิตภาพในสายพานการผลิต นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวพฤติกรรมและความสนใจของคนยังสามารถช่วยหาคนที่มีความเหมาะสมกับงานและมีแนวโน้มที่จะอยู่กับองค์กรในระยะยาว รวมถึงการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร

อีไอซีมองว่าธุรกิจที่มีโอกาสใช้ Big Data ได้ก่อน ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ขนส่งและโลจิสติกส์ โทรคมนาคมและสื่อ เนื่องจากข้อมูลมีความพร้อม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน สำหรับบริษัทที่ต้องการเริ่มเก็บ Big Data สามารถทำได้โดยปรับโฉมให้เป็นดิจิทัล อีไอซีใช้เครื่องชี้วัดสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมของข้อมูล ประโยชน์เชิงธุรกิจที่ได้รับ และระยะเวลาเตรียมตัว พบว่าธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ขนส่งและโลจิสติกส์ โทรคมนาคมและสื่อ มีโอกาสใช้ประโยชน์จาก Big Data ได้สูงกว่าธุรกิจอื่น เนื่องจากเป็นธุรกิจภาคบริการที่ใกล้ชิดกับลูกค้า ข้อมูลของธุรกิจถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ข้อมูลจากการซื้อของออนไลน์ จาก GPS จากการใช้บริการโทรศัพท์แบบ voice และ data เป็นต้น และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางกลยุทธ์การขายและการตลาด พัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ในส่วนของบริษัทที่เริ่มเห็นประโยชน์จาก Big Data ควรปรับตัวให้เป็นดิจิทัลเพื่อสร้างข้อมูล real-time มากขึ้น เช่น สร้างเว็บไซต์บริษัท ทำหน้าโซเชียลมีเดีย ติดตั้งเซ็นเซอร์ในสายพานการผลิต และนำข้อมูลภายนอกมาประกอบการวิเคราะห์กับข้อมูลภายในบริษัท เพื่อพัฒนาธุรกิจและคาดการณ์เทรนด์ให้ก้าวไปก่อนคู่แข่ง

ธุรกิจต่างๆ มีแนวโน้มมุ่งสู่การขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล (data-driven) มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ Big Data ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน มีโจทย์ที่ต้องการตอบอย่างแน่ใจ เลือกใช้ข้อมูลที่เหมาะสมและมีบุคลากรที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ แม้ในบางครั้งผู้ประกอบการจะใช้ประสบการณ์หรือสัญชาตญาณในการตัดสินใจดำเนินธุรกิจแต่ก็ควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อลดอคติส่วนบุคคล ซึ่งสิ่งสำคัญของการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ให้เกิดมูลค่าในเชิงธุรกิจอยู่ที่การเลือกข้อมูลที่ต้องการใช้ให้ถูกต้อง ใช้กระบวนการคิดและเครื่องมือการวิเคราะห์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้วางไว้

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ Big Data ไม่ใช่เครื่องมือเพียงชนิดเดียวที่การันตีความสำเร็จของธุรกิจ ผู้ประกอบการยังต้องมองรอบด้านแล้วปรับตัวไปตามเทรนด์ของอุตสาหกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน