ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ดีเอสไอโต้ ‘เอกสารตั้งธงฟ้องโอ๊ค’ ไม่รู้จริงหรือไม่ – ยันทำตามหลักฐาน” และ “มาเลย์สกัดก่อการร้ายเตรียมป่วนปิดซีเกมส์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ดีเอสไอโต้ ‘เอกสารตั้งธงฟ้องโอ๊ค’ ไม่รู้จริงหรือไม่ – ยันทำตามหลักฐาน” และ “มาเลย์สกัดก่อการร้ายเตรียมป่วนปิดซีเกมส์”

9 กันยายน 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 ก.ย. 2560

  • ดีเอสไอโต้ “เอกสารตั้งธงฟ้องโอ๊ค” ไม่รู้ของจริงหรือไม่ – ยัน ทำตามพยานหลักฐาน
  • เล็งปรับหมาบเลขโทรศัพท์บ้านเป็นสิบหลัก รับ “สมาร์ทซิตี้”
  • บชน. หารือกูเกิล ใช้ “กูเกิลแมป” แก้ปัญหาจราจร
  • ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเบสท์รินกรุ๊ป
  • มาเลย์สกัดก่อการร้ายเตรียมป่วนปิดซีเกมส์
  • ดีเอสไอโต้ “เอกสารตั้งธงฟ้องโอ๊ค” ไม่รู้ของจริงหรือไม่ – ยัน ทำตามพยานหลักฐาน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=499232)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2560 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่เอกสารร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) เพื่อร้องทุกข์คำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่สั่งย้าย พ.ต.ท. สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษ สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ โดยระบุว่าสาเหตุที่ถูกสั่งย้ายเป็นเพราะไม่ยอมแจ้งข้อหารับของโจรต่อนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าตรวจสอบแล้วพยานหลักฐานไม่ถึง ว่า สำหรับเอกสารที่มีการเผยแพร่อยู่ในขณะนี้ตนเห็นเพียงที่มีการนำมาเผยแพร่ผ่านสื่อเท่านั้น จึงยังไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ อีกทั้งที่ดีเอสไอก็ยังไม่ได้รับการร้องเรียนในเรื่องนี้ด้วย

    พ.ต.อ. ไพสิฐ กล่าวว่า ส่วนการดำเนินคดีฟอกเงินการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร นั้น ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการทุกอย่างไปตามพยานหลักฐานและตามขั้นตอนกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งมีเป็นจำนวนมาก จึงต้องให้เวลาพนักงานสอบสวนได้ทำงานก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คดีดังกล่าวยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใคร ส่วนคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในปี 2561 นั้น ตนเชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนที่คดีจะหมดอายุความ ทั้งนี้ หากมีความชัดเจนทั้งหมดแล้วจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบทันที

    ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเอกสารที่มีการเผยแพร่นั้น มีการระบุว่ามีข้าราชการระดับสูงของดีเอสไอสั่งให้ฟ้องคดีไปก่อน อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ขอชี้แจงว่า ตนยังไม่เห็นเอกสารดังกล่าว จึงยังไม่ทราบว่าเป็นของจริงหรือไม่ ส่วนการดำเนินคดีนั้น ดีเอสไอมีการทำเป็นคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย พนักงานอัยการ ที่ปรึกษาคดีพิเศษ และพนักงานสอบสวน ดังนั้น เราต้องฟังความเห็นของทุกฝ่ายในการที่จะมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องคดี ซึ่งจะเข้าไปก้าวก่ายการทำงานไม่ได้ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า ดีเอสไอดำเนินคดีตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐาน ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใคร เพราะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน

    เล็งปรับหมาบเลขโทรศัพท์บ้านเป็นสิบหลัก รับ “สมาร์ทซิตี้”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ PPTVHD 36 (https://goo.gl/fm3hRY)

    เว็บไซต์ PPTVHD 36 รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2560 มีการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีวาระสำคัญที่หารือกัน คือ การพิจารณาโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทซิตี้ และการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์บ้าน จาก 9 หลัก เป็น 10 หลัก เพื่อขยายหมายเลขโทรศัพท์บ้านอีก 100 ล้านเลขหมาย และรองรับหมายเลขโทรศัพท์มือถืออีก กว่า 760 ล้านเลขหมาย

    การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้หมายเลขโทรศัพท์บ้านที่ขึ้นต้นด้วย 02 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และต่างจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย 03, 05 และ 07 จะต้องใส่เลข 1 เพิ่มเข้าไปหลัง เลข 0  จะทำให้หมายเลขโทรศัพท์บ้านในกรุงเทพฯ ปริมณฑลขึ้นต้นด้วย 012 และต่างจังหวัดขึ้นต้นด้วย 013 , 015 และ 017 เป็นต้น

    บชน. หารือกูเกิล ใช้ “กูเกิลแมป” แก้ปัญหาจราจร

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://goo.gl/CysmXo)

    วันที่ 5 ก.ย. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า พล.ต.ต. จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ดูแลงานจราจร กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับบริษัทกูเกิลเพื่อนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ว่า  เนื่องจากบริษัทกูเกิลได้พัฒนาระบบกูเกิลแมป (google maps)ที่เป็นฟั่งก์ชันบอกเส้นทางและสภาพการจราจรอยู่ปัจจจุบันนี้ ให้มีความหลากหลายและมีความทันสมัยทันต่อสภาพการจราจรมากยิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่นั่นนอกเหนือจากการแจ้งสภาพการจราจรแต่ละเส้นทางแล้ว จะมีการบอกว่าแต่ละเส้นทางการจราจรหนาแน่นเพียงใด ใช้ความเร็วได้มากแค่ไหนหากวิ่งผ่าน พร้อมทั้งแจ้งกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสภาพการจราจร แจ้งอุบัติเหตุบนถนน และแจ้งเส้นทางเลี่ยงด้วย โดยที่ผ่านมากูเกิลได้ทดสอบระบบดังกล่าวที่ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย  ซึ่งเป็นประเทศที่มีสภาพการจราจรติดขัดไม่ต่างจากพื้นที่กรุงเทพมหานครมากนัก  และจากการทดลองพบว่ารถที่วิ่งในทั้งสองประเทศสามารถทำความเร็วได้ดีขึ้น 7-10 นาที นอกจากนี้ยังมีการทำฟังก์ชันดังกล่าวไปทดลองใช้กับประเทศบราซิลช่วงที่มีการจัดงานโอลิมปิก ซึ่งก็พบว่าการจราจรติดขัดน้อยลงแม้ว่าจะมีรถเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

    พล.ต.ต. จิรพัฒน์ กล่าวต่อว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลเห็นว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวจะสามารถนำมาแก้ปัญหารถติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้ ซึ่ง บช.น. และบริษัทเอกชนจะมีการทำงานร่วมกันเพื่อที่พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจราจรให้สามารถใช้ระบบดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพราะหากเจ้าหน้าที่ตำรวจราจรทุก สน. ใช้ระบบกูเกิลแมปแบบใหม่ก็จะให้ทราบปัญหาการจราจรในเส้นทางที่ดูแลรับผิดชอบได้ไวขึ้น ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนทราบข้อมูลข่าวสารการจราจรได้รวดเร็วกว่าปัจจุบัน เพราะจะทำให้มองเห็นข้อมูลปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสภาพการจราจรมากขึ้น ทำให้สามารถเลี่ยงเส้นทางหรือใช้ทางอื่นได้เร็วขึ้นด้วย

    ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากระบบกูเกิลแมปเดิม แต่จะมีความทันสมัยและรอบรู้ปัญหาการจราจรมากกว่าการแจ้งเส้นสีเพื่อบอกสภาพรถติด  อย่างไรก็ตาม บช.น. เห็นว่าฟังก์ชันดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อการบริหารจัดระบบการจราจรเป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทเอกชนได้แจ้งว่าตำรวจราจรหรือประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใช้ฟังก์ชันดังกล่าวได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นโดยทาง บช.น. ก็จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจราจรไปเรียนรู้ระบบและอบรมกับกูเกิลเช่นกัน

    ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเบสท์รินกรุ๊ป

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (https://goo.gl/es8fQY)

    วันที่ 7 ก.ย. 2560 เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษา สั่งให้ ขสมก.ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องเงินประกัน จากธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันของบริษัทเบสท์ริน กรุ๊ป กว่า 338 ล้านบาท จากกรณีบริษัทเบสท์ริน ถูกกล่าวหาผิดสัญญาส่งมอบรถโดยสารปรับอากาศ 390 คัน ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ขสมก.ทำผิดสัญญา และเมื่อ ขสมก.บอกเลิกสัญญากับบริษัทเบสท์รินแล้ว ย่อมมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญา

    นายวรพจน์ วณิชชานนท์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ จากบริษัทเบสท์ริน กล่าวว่า ยอมรับในคำสั่งศาล จากนี้ต้องรอผลในคดีหลัก หากบริษัทชนะ นอกจาก ขสมก.ต้องรับรถของบริษัท และยังต้องคืนเงินประกันที่ยึดไป รวมถึงต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทมีแนวคิดจะยื่นฟ้อง เรียกค่าเสียหายจาก ขสมก. และธนาคาร

    ขณะที่นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานบอร์ด ขสมก. กล่าวว่า ขสมก.จะรอดูว่าบริษัทเบสท์รินจะมีดำเนินการต่อไป แต่มั่นใจว่า ขสมก.ดำเนินการมาถูกทางแล้ว ส่วนขั้นตอนในการจัดหารถเมล์เอ็นจีวีใหม่ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่า จะสามารถเปิดประมูลแบบ อิเล็กทรอนิกส์ ได้ภายใน ต.ค. นี้

    มาเลย์สกัดก่อการร้ายเตรียมป่วนปิดซีเกมส์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=34406, ต้นทาง: kualalumpur2017.com.my)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานโดยอ้างสำนักข่าวเอเอฟพีว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน ทางการมาเลเซียออกมาเปิดเผยว่า สามารถสกัดแผนก่อการร้ายป่วนการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพและงานวันเฉลิมฉลองวันชาติของมาเลเซีย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้ โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 19 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติ 11 คน โดยหนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุมตัว เป็นชาวฟิลิปปินส์วัย 25 ปี ที่เป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธอาบูไซยาฟ ที่วางแผนจะก่อเหตุโจมตีพิธีปิดกีฬาซีเกมส์

    นายโมฮัมหมัด ฟูซี ฮารุน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ของมาเลเซีย เปิดเผยว่า การจับกุมตัวมีขึ้นในช่วงที่มีการบุกกวาดล้างทั่วประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม โดยผู้ที่ถูกจับกุมตัว เป็นชาวมาเลเซีย 8 คน และมีชาวบังกลาเทศ 1 คน จากมัลดีฟส์ 2 คน จากอิรัก 3 คน ปาเลสไตน์ 1 คน อินโดนีเซีย 2 คน และฟิลิปปินส์ 2 คน

    “ในช่วงวันที่ 4 กรกฎาคม ถึง 30 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายต่อต้านการก่อการร้ายหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ได้ปฏิบัติการบุกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายในรัฐสลังงอร์ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ รัฐกลันตัน และรัฐยะโฮร์ เพื่อสกัดแผนการก่อการร้ายที่จะขัดขวางการจัดกีฬาซีเกมส์ 2017 และงานเฉลิมฉลองวันชาติครบ 60 ปี”นายฟูซี ฮารุน กล่าว

    ทั้งนี้ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ มีพิธีปิดในวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ที่บูกิต จาลิล สเตเดียม ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีนายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและรัฐมนตรีระดับอาวุโสของรัฐบาลเข้าร่วมงานจำนวนมาก ส่วนงานเฉลิมฉลอง 60 ปีวันชาติมาเลเซีย มีขึ้นในวันถัดมาคือวันที่ 31 สิงหาคม โดยมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

    ฟูซีกล่าวด้วยว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดถูกควบคุมตัวเอาไว้ภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย ที่อนุญาตให้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายเอาไว้ได้ 28 วันโดยไม่ต้องดำเนินคดี