ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ไล่ออกจากราชการ ‘จุมพล มั่นหมาย’ ค้านประกันตัว” และ “สองสาวมือสังหารคิม จองนัม ยังปฏิเสธ มาเลย์ยุติผ่อนผันวีซาเกาหลีเหนือ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ไล่ออกจากราชการ ‘จุมพล มั่นหมาย’ ค้านประกันตัว” และ “สองสาวมือสังหารคิม จองนัม ยังปฏิเสธ มาเลย์ยุติผ่อนผันวีซาเกาหลีเหนือ”

4 มีนาคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 25 ก.พ. – 3 มี.ค. 2560

  • ไล่ออกจากราชการ “จุมพล มั่นหมาย” ประพฤติชั่วร้ายแรง-คุมตัวคดีรุกป่าทับลาน-ค้านประกันตัว
  • ผ่านมาหนึ่งปีไม่มียอด สรรพากรวืด ภาษีมรดกยังเป็นศูนย์
  • หนักกระเป๋า เบาตับ สายเมามือสั่น รัฐรื้อเพดานภาษีเบียร์-เหล้า
  • ศพแรกผ่านไป ศพสอง…กรณีม.44 บี้ธรรมกาย?
  • สองสาวมือสังหารคิม จองนัม ยังปฏิเสธ-รัฐบาลมาเลย์ยุติผ่อนผันวีซาเกาหลีเหนือ
  • ไล่ออกจากราชการ “จุมพล มั่นหมาย” ประพฤติชั่วร้ายแรง-คุมตัวคดีรุกป่าทับลาน-ค้านประกันตัว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์บีบีซีไทย (http://bbc.in/2my6VnI)

    2 มี.ค. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย ได้เดินทางมายังกองปราบปราม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีรุกป่าทับลาน จากกรณีที่มีการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศบุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา โดยมีรายงานว่า หลังจากตรวจร่างกายและสอบปากคำเสร็จ พล.ต.อ. จุมพล จะถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาโดยทันที

    ทั้งนี้ เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า ในการคุมตัว พล.ต.อ. จุมพล ไปขออำนาจศาลจังหวัดนครราชสีมา เพื่อผลัดฟ้องฝากขัง จะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่จะขอรับตัว พล.ต.อ.จุมพล กลับมาควบคุมตัวหรือไม่ ขอเวลาพิจารณาร่วมกับพนักงานสอบสวนอีกครั้ง

    อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ ได้มีคำสั่งจากสำนักพระราชวัง ที่ 183/2560 เรื่องลงโทษไล่ข้าราชการออกจากราชการ ลงนามโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ด้วย พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ ตำแหน่งบริหารระดับสูง ได้กระทำผิดวินัยฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่อยู่ใกล้ชิดติดพระองค์ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการไปในทางที่ไม่ถูกต้อง แสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง ฝักใฝ่ในเรื่องการเมืองเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย พฤติกรรมดังกล่าว จึงเป็นความผิดวินัยร้ายแรง สมควรรับโทษไล่ออกจากราชการ

    สำนักพระราชวังพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของ พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย เป็นความผิดวินัยฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดตามมาตรา 85 (4) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 จึงเห็นควรลงโทษไล่ออกจากราชการ

    ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 และ มาตรา 11 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในพระองค์ พ.ศ. 2552 ลงโทษไล่ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ออกจากราชการ

    อนึ่งการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษนี้ให้อุทธรณ์ต่อ อ.ก.พ.กระทรวงของสำนักพระราชวังใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง

    ผ่านมาหนึ่งปีไม่มียอด สรรพากรวืด ภาษีมรดกยังเป็นศูนย์

    เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจรายงานว่า หลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมายภาษีมรดกมาเป็นเวลา 1 ปี แต่มาจนถึงบัดนี้ กรมสรรพากรยังไม่สามารถเก็บภาษีมรดกได้แม้แต่บาทเดียว

    จากการรายงานของเว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจนั้น นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า ปัญหาการเก็บภาษีมรดกไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดวงเงินที่ต้องเสียภาษีไว้สูง และถึงมีการเก็บก็มีช่องทางในการจัดการมรดกเพื่อไม่ให้เสียภาษีได้ ซึ่งที่ผ่านมามีหลายครอบครัวมาปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการมรดก

    สำหรับภาษีมรดก เก็บจากผู้ได้รับมรดก ประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก ยานพาหนะ ตราสารทางการเงิน รวมกันมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท

    กรณีเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดาน เสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่าทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท แต่ถ้าไม่ใช่บุพการี หรือไม่ใช่ผู้สืบสันดาน ให้เสียภาษีอัตรา 10% ของมูลค่าทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท

    สำหรับ กฎหมายเรียกเก็บภาษีจากการรับมรดกและการยกให้โดยเสน่หา ถือเป็นกฎหมายประวัติศาสตร์ที่นานาอารยประเทศมีใช้กัน สำหรับไทยมีความพยายามมานาน แต่เพิ่งมาสำเร็จในรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อให้ไทยมีกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และเป็นกฎหมายที่จูงใจผู้มีฐานะดี บริจาคเงินเพื่อสาธารณประโยชน์ และลดการสะสมทรัพย์เพื่อมรดก

    หนักกระเป๋า เบาตับ สายเมามือสั่น รัฐรื้อเพดานภาษีเบียร์-เหล้า

    รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุรา ระหว่างปี 2545-2557 ที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่จะเห็นได้ว่ามีอยู่ 2 ปีที่เก็บภาษีได้ลดลง คือ ในปี 2549 ที่มีการเพิ่มอัตราภาษียาสูบ ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายยาสูบ และในปี 2552 ที่มีการขึ้นภาษีเบียร์จาก 55% เป็น 60% ทำให้การบริโภคเบียร์ลดลงเกือบ 4,000 ล้านบาท

    เว็บไซต์สปริงนิวส์รายงานว่า วันที่ 26 ก.พ.2560 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ สื่อในเครือสปริง กรุ๊ป ฉบับวันที่ 26 ก.พ. – 1 มี.ค. 2560 รายงานว่า ภาษีสรรพสามิตใหม่ที่ปรับวิธีการจัดเก็บจากราคาขายส่งหน้าโรงงานมาเป็นราคาขายปลีกแนะนำ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน หลังประกาศในราชกิจนุเบกษา ส่งผลให้กรมสรรพสามิตต้องเร่งดำเนินการทำกฎหมายลูกประกอบประมาณ 80 ฉบับ โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดพิกัดอัตราภาษีใหม่ในสินค้าหลักๆ ได้แก่ นํ้ามัน ยาสูบ รถยนต์เครื่องดื่ม ทั้งแบบที่ไม่มีแอลกอฮอล์และมีแอลกอฮอล์ คือ เบียร์ ไวน์ และสุรากลั่น

    กรมสรรพสามิตระบุว่า หลักการปรับโครงสร้างภาษีสุรา เบียร์ และไวน์ ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ ประกอบด้วย

    1. โครงสร้างภาษีใหม่จะเปลี่ยนฐานภาษีจาก ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็น ราคาขายปลีกแนะนำ ส่งผลให้ฐานภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีตามมูลค่ามีราคาสูงขึ้น ดังนั้นเพดานอัตราภาษีตามมูลค่าจึงลดลงและอัตราภาษีที่จะใช้ในการจัดเก็บ มีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่มีภาระภาษีมากไปกว่าเดิม นอกจากนี้โครงสร้างภาษีสุรา เบียร์ และไวน์ ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับปัจจุบัน มีราคาขายช่วงสุดท้ายเป็นฐานภาษี 

    ภาระภาษีตามมูลค่าจึงเปลี่ยนแปลงไปตามราคาขายที่ผู้ประกอบการแจ้ง ดังนั้นหากมีการแจ้งราคาขายไว้ตํ่าจะส่งให้ภาระภาษีตามมูลค่าและภาระภาษีโดยรวมตํ่าไปด้วย   ในขณะที่ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่ มีการเปลี่ยนฐานการคำนวณจากราคาขายส่งเป็นราคาขายปลีกแนะนำ ซึ่งเป็นราคาที่พบเห็นและตรวจสอบได้ในท้องตลาดโดยทั่วไป ส่งผลให้ระบบการจัดเก็บภาษีมีความโปร่งใสมากขึ้น และเป็นธรรมยิ่งขึ้น

    2. วิธีการคำนวณภาษีสุรา เบียร์ และไวน์ใหม่ จะคงเป็นระบบแบบผสมแต่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากวิธีปัจจุบัน คือ อัตราใหม่เท่ากับอัตราตามมูลค่าบวกด้วยอัตราตามปริมาณ (ดีกรีแอลกอฮอล์) แต่ไม่เก็บภาษีตามปริมาตร และขนาดของดีกรีที่เกินกว่ากำหนด

    3. โครงสร้างภาษีสุรา เบียร์ และไวน์ ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับปัจจุบัน จะมีสัดส่วนภาระภาษีตามมูลค่าสูงกว่าหรือใกล้เคียงกับภาระภาษีตามปริมาณ ขณะที่การกำหนดอัตราภาษีภายใต้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่จะมุ่งเน้นหลักสุขภาพมากขึ้น เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบต่อสุขภาพ โดยสุราที่มีราคาถูกและแรงแอลกอฮอล์ในระดับสูงจะต้องมีภาระภาษีที่สูงขึ้น

    4. เมื่อพิจารณาสุราทั้ง 3 ประเภท แรงแอลกอฮอล์หรือปริมาณแอลกอฮอล์ในสุราโดยทั่วไปแล้ว พบว่า สุรากลั่นมีดีกรีระหว่าง 28-45 ดีกรี เบียร์ 3-7 ดีกรี และไวน์ 13-17 ดีกรี ดังนั้นในการกำหนดอัตราภาษีใหม่เพื่อมุ่งเน้นหลักสุขภาพ เบียร์ และไวน์ ที่มีแรงแอลกอฮอล์ต่ำกว่าสุรากลั่น จึงมีเพดานอัตราภาษีตามปริมาณที่สูงขึ้นเพื่อให้ภาระภาษีสะท้อนแรงแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้น

    “โครงสร้างภาษีใหม่ เบียร์และไวน์ จะมีการปรับอัตราภาษีตามปริมาณจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 300 และ 2,000 บาทเป็น 3,000 บาท เพิ่มขึ้น 0.5 เท่า และปรับอัตราตามมูลค่าลดลงจาก 60% และ 50% เหลือ 30% ส่วนเพดานอัตราภาษีตามปริมาณของสุรา ปรับเพิ่มจาก 400 บาท เป็น 1,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า หรือ 150% ส่วนอัตราตามมูลค่า 30% ลดลงจาก 50%” แหล่งข่าวกรมสรรพสามิต กล่าว

    ขณะที่กฎหมายปัจจุบัน อัตราภาษีของเบียร์ตามมูลค่า เพดานสูงสุดที่ 60% แต่จัดเก็บจริง 48% ไวน์ เพดานอยู่ที่ 60% จัดเก็บจริงตั้งแต่ 0-36% และสุรากลั่น เพดานอยู่ที่ 50% จัดเก็บจริง 4-25%  

    แหล่งข่าวกล่าวว่า จากโครงสร้างภาษี สุรา เบียร์ และไวน์ใหม่ ทำให้เพดานอัตราภาษีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะขยับขึ้น เนื่องจากฐานที่นำมาใช้ในการคำนวณภาษีเพิ่มขึ้น เนื่องจากเปลี่ยนวิธีจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย มาเป็นราคาขายปลีกแนะนำ ส่วนอัตราการจัดเก็บจริงนั้น จะยึดหลักการว่า ภาษีใหม่จะไม่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะประกาศอัตราได้ 1 สัปดาห์ก่อนภาษีจะมีผลบังคับใช้

    โครงสร้างใหม่ ทำให้เพดานภาษีเบียร์ขยับขึ้น เช่น เบียร์ 3.5 ดีกรี ขนาด 0.62 ลิตร ขยับจากขวดละ 41.60 บาท เป็น 78.50 บาทโดยประมาณ เบียร์ 5 ดีกรี ขนาด 0.62 ลิตร ขยับจากขวดละ 42.10 บาท เป็น 108 บาท เบียร์ 5.8 ดีกรี ขนาด 0.62 ลิตร ขยับจากขวดละ 40.70 บาท เป็น 123 บาท เบียร์ 6 ดีกรี ขนาด 0.50 ลิตร ขยับจากขวดละ 40.20 บาท เป็น 132 บาท และเบียร์ 7 ดีกรี ขยับจากขวดละ 46.50 บาท เป็น 178 บาท

    ไวน์มีขนาดเดียวคือ  0.75 ลิตร ระดับดีกรีตั้งแต่ 12.5-14.5 ดีกรี อัตราเพดานตํ่าสุดในปัจจุบันขวดละ 225 บาท จะขยับขึ้นเป็นขวดละ 519 บาท และสูงสุดอยู่ที่ขวดละ 1,482 บาท โดยเป็นอัตราเพดานที่ลดลงจาก 2,100 บาท เนื่องจากแจ้งราคาขายส่ง 3,500 บาท

    ด้านสุราทุกประเภท เริ่มจากสุราขาวชุมชน ขนาด 0.625 ลิตร ดีกรีเริ่มต้นที่ 28 ดีกรี อัตราเพดานปัจจุบันอยู่ที่ขวดละ 98 บาท ปรับเพิ่มเป็นขวดละ 199 บาท ขนาด 35 ดีกรี ปรับเพิ่มจาก  121 บาท เป็น 244 บาท ส่วนสุราขาว 40 ดีกรี แจ้งราคาขายส่ง 75 บาท จากขวดละ 137.50 บาท เป็น 277 บาท

    สุดท้ายสุรากลั่นอื่นๆ ขนาด 0.70 ลิตร เริ่มจาก 35 ดีกรี แจ้งราคาขายส่ง 125 บาท เพดานขยับเพิ่มจากขวดละ 160 บาท เป็น 312 บาท 35 ดีกรี แจ้งราคาขายส่ง 128 บาท ขยับจากขวดละ 162 บาท เป็น 320 บาท ส่วน 40 ดีกรี 3 ชนิด ขยับจากขวดละ 216-366 บาท เป็น 357-447 บาท

    นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีคำสั่งในท้ายร่างกฎหมายฯเมื่อครั้งที่กรมสรรพสามิตเสนอว่า ภาษีใหม่จะต้องไม่เพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ และไม่กระทบต่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น

    “หัวใจของภาษีสรรพสามิตใหม่คือ เพื่อความเป็นธรรม โปร่งใส ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ไม่เพิ่มภาระให้ประชาชน ผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้าด้วยเหตุผลว่าภาษีเพิ่มขึ้นไม่ได้”

    อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า กรมสรรพสามิตจะมีฐานข้อมูลของราคาขายปลีกแนะนำของสินค้ากว่า 1,000 สินค้า ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับราคาขายปลีกแนะนำที่ผู้ประกอบการแจ้งเข้ามา โดยหากมีราคาที่ใกล้เคียงกันก็ไม่มีปัญหา กรมสรรพสามิตสามารถประกาศได้เลย 

    “หากราคากรมสรรพสามิตมีอยู่แตกต่างจากที่ผู้ประกอบการแจ้งเข้ามา ก็ต้องมาคุยกันหาข้อสรุป ถ้าคุยกันได้ก็จบ แต่หากไม่ลงตัวมีข้อโต้แย้ง กรมสรรพสามิตสามารถประกาศเองได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี” นายสมชาย กล่าว

    ศพแรกผ่านไป ศพสอง…กรณี ม.44 บี้ธรรมกาย?

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=233119)

    หลังจากรณีนายอนวัช ธนเจริญณัฐ อายุ 64 ปี ได้ผูกคอตายกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ทีโอที บริเวณแอล 2-3 หมู่ 7 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับตลาดกลางคลองหลวง ซึ่งเป็นจุดที่มวลชนที่สนับสนุนวัดพระธรรมกายรวมตัวกันอยู่ เมื่อตอนค่ำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และก่อนหน้านั้น นายอนวัชได้มีการชูป้ายที่เขียนถ้อยคำขอให้รัฐบาลยกเลิกการใช้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ในการดำเนินการเข้าตรววจค้นวัดพระธรรมกาย

    ต่อมา ในวันที่ 1 มี.ค. 2560 ได้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดขึ้นอีก เมื่อมีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตในวัดพระธรรมกายจากอาการหอบหืดกำเริบ โดยหน่วยกู้ชีพไม่สามารถเข้าไปรับตัวผู้ป่วยได้ทัน เนื่องจากต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง 10 นาทีในการประสานงานติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอเข้าไปรับตัวผู้ป่วย

    ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา ได้มีการเปิดเผยภาพหน้าจอที่แสดงการติดต่อจากผู้ตายไปถึงเพื่อนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อขอความช่วยเหลือเพราะอาการหอบหืดกำเริบและต้องการพ่นยาบรรเทาอาการ โดยการติดต่อกันนั้นเริ่มต้นในเวลา 11.29 น.

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=237395)

    ต่อกรณีดังกล่าว พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ชม. ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะได้รับการประสานจากญาติเพื่อขอรถพยาบาลนำตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งว่า พระมหานพพรประสานขอรถพยาบาลไปรับตัวผู้ป่วยเมื่อเวลา 13.31 น. เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้รับการติดต่อจากญาติในเวลาไล่เลี่ยกัน

    เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอร่วมกับพระมหานพพร พระสงฆ์อีก 1 รูป และญาติเดินทางไปยังที่พักคนงาน อยู่ในบริเวณโซนดีของวัด พบพนักงานสอบสวนและแพทย์ ณ จุดเกิดเหตุ กำลังชันสูตรศพผู้เสียชีวิตอยู่ก่อนแล้ว เบื้องต้นทราบว่าเสียชีวิตตั้งแต่เวลาประมาณ 09.00 น. ดังนั้น ข่าวที่เผยแพร่และส่งต่อกัน เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง อยากวิงวอนให้ประชาชนใช้วิจารณญาณแยกแยะ อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือน ต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวให้ถูกต้อง พร้อมทั้งขอให้ผู้ไม่หวังดี หยุดพฤติกรรมมุ่งร้าย สร้างความสับสน หรือเป็นชนวนของความแตกแยกในบ้านเมือง

    อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า หลังตรวจชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นแล้ว ทราบว่า ผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมงนับจากที่แพทย์ได้เข้าไปชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุเมื่อช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.

    สองสาวมือสังหารคิม จองนัม ยังปฏิเสธ-รัฐบาลมาเลย์ยุติผ่อนผันวีซาเกาหลีเหนือ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์บีบีซีไทย (http://bbc.in/2myce6O)

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นายอาหมัด ซาฮิด ฮามิดี รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เผยว่ารัฐบาลจะยุติมาตรการผ่อนผันวีซ่าเข้าประเทศแก่เกาหลีเหนือ เนื่องจากกังวลเรื่องความมั่นคงของชาติ หลังจากที่นายคิม จอง นัม พี่ชายของนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ถูกลอบสังหารที่สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2560 ที่ผ่านมา

    สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียรายงานว่า มาตรการผ่อนผันวีซ่าให้แก่ชาวเกาหลีเหนือจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มี.ค. 2560 และจะส่งผลให้พลเรือนชาวเกาหลีเหนือที่ต้องการเดินทางเข้ามาเลเซียหลังจากวันดังกล่าวต้องยื่นเรื่องขอวีซ่าเข้าประเทศและต้องรอการพิจารณาอนุมัติจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลมาเลเซีย

    ที่ผ่านมา ชาวเกาหลีเหนือได้รับการยกเว้นว่าไม่ต้องขอวีซ่าเข้ามาเลเซีย แต่หลังเกิดเหตุลอบสังหารนายคิม จอง นัม ด้วยสารพิษทำลายประสาท VX และรัฐบาลมาเลเซียยังคงตามล่าผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุดังกล่าวไม่พบ ทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมาเลเซียถึงกับเรียกตัวทูตมาเลเซียประจำเกาหลีเหนือกลับประเทศ และสั่งเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเรื่องวีซ่า

    ขณะที่ทางด้านสองสาวที่ถูกควบคุมตัวในฐานะมือสังหารนั้น ทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมนายคิม จองนัม ด้วยการป้ายสารพิษวีเอ็กซ์เข้าที่ใบหน้าของเขา และทั้งคู่ก็ยอมรับว่าป้ายของเหลวใส่หน้านายคิมจริง แต่ไม่คิดว่าเป็นสารพิษ เพราะเข้าใจว่าเป็นการถ่ายทำรายการแกล้งคนทางโทรทัศน์