ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 28 ม.ค. – 3 ก.พ. 2560: “ผบ.ทบ. เชื่อ ‘ขู่ลอบสังหารบิ๊กป้อม’ ผ่านโซเชียลฯ – ย้ำ มั่นใจรักษาความปลอดภัยผู้นำรัฐ” และ “‘ทรัมป์’ ปลดรักษาการอัยการสูงสุด สังเวยขัดแบน 7 ชาติมุสลิม”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 28 ม.ค. – 3 ก.พ. 2560: “ผบ.ทบ. เชื่อ ‘ขู่ลอบสังหารบิ๊กป้อม’ ผ่านโซเชียลฯ – ย้ำ มั่นใจรักษาความปลอดภัยผู้นำรัฐ” และ “‘ทรัมป์’ ปลดรักษาการอัยการสูงสุด สังเวยขัดแบน 7 ชาติมุสลิม”

4 กุมภาพันธ์ 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 28 ม.ค. – 3 ก.พ. 2560

  • ผบ.ทบ. เชื่อมี “ขู่ลอบสังหารบิ๊กป้อม” ผ่านโซเชียลฯ – ย้ำ มั่นใจรักษาความปลอดภัยผู้นำรัฐ
  • บังคับแล้ว “พ.ร.บ.กยศ. 2560” นายจ้างหักเงินเดือนคืนกองทุนได้
  • สปส. เตือน คลินิกทำฟัน “คิด-เก็บเงินเกินราคา” โดนแน่
  • ล่าช้า-ส่อสะดุด รถไฟเร็วสูงไทย-จีน ติดข้อกฎหมาย-แบบไม่มาตรฐาน
  • “ทรัมป์” ปลดรักษาการรมช.ยุติธรรม ขัดแบน 7 ชาติมุสลิม
  • ผบ.ทบ. เชื่อมี “ขู่ลอบสังหารบิ๊กป้อม” ผ่านโซเชียลฯ – ย้ำ มั่นใจรักษาความปลอดภัยผู้นำรัฐ

    พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการกองทัพบก ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=205531)
    พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการกองทัพบก
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=205531)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ก.พ. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่ามีคนโพสต์จะลอบสังหารผ่านโซเชียลมีเดียว่า เป็นเรื่องของโซเชียลมีเดีย ถามว่ามีคนคิดเรื่องนี้หรือไม่ ก็อาจจะมีและที่ผ่านมาเรามีการดำเนินการ ในเรื่องของการวางระบบการรักษาความปลอดภัย ค่อนข้างเข้มงวด ใครที่มีมุมที่เป็นเป้าหมาย เราก็ดูแลในเวลานี้คิดว่าเราเต็มที่ในการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญในรัฐบาล

    เมื่อถามว่า ข่าวที่ออกมานั้นเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะเรื่องการลอบสังหารมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย พล.อ. เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนไม่ทราบเนื่องจากไม่ใช่คนที่ถูกขู่ ต้องถาม พล.อ. ประวิตร แต่ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องจากในโซเชียลมีเดีย ในเวลานี้ใครคิดอะไรก็เขียนได้ แต่ในเรื่องของความปลอดภัยทุกคนที่ทำงานให้กับรัฐบาล เราก็วางระบบในเรื่องการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดกวดขัน

    เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่ามีการตรวจพบกรณี มีคนโพสต์ขู่สังหาร พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเป็นเจ้าของร้านในห้างชื่อดังแห่งหนึ่ง พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า หากมีประเด็นเราก็ตาม และถ้าเจออะไร อย่างไรก็ว่ากันไป แต่ตนก็มั่นใจว่าเราสามารถรักษาความปลอดภัยผู้นำสำคัญในรัฐบาลได้ เราเข้มงวดกวดขันอยู่แล้ว

    เมื่อถามว่า ต้องมีการตรวจสอบต้นตอที่มาของข่าวดังกล่าวหรือไม่ พล.อ. เฉลิมชัย กล่าวว่า คิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีสั่งการไปแล้ว ซึ่งปกติก็มีกระบวนการในด้านการข่าวก็จะมีสิ่งบอกเหตุอยู่ แต่ขณะนี้ตนยังไม่มีข้อมูล แต่ทางรองนายกรัฐมนตรีท่านรู้ว่าถูกข่มขู่ทางโซเชียลฯ ท่านก็สั่งดำเนินการส่วนในเรื่องของระบบการวางแผนการรักษาความปลอดภัยเราเข้มงวดมาโดยตลอด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และตนก็มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เมื่อถามว่า ในอดีตการเมืองไม่ได้เล่นกันรุนแรงถึงขนาดนี้ ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่ พล.อ. เฉลิมชัย กล่าวว่า ยังไม่เปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ประมาท และสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดูแล้ว อยู่ในเกณฑ์ที่ทุกคนอยากให้บ้านเมืองสงบเพื่อเดินไปข้างหน้า ตนเชื่อว่าไม่มีอะไร คนขู่ก็ขู่แต่ เมื่อขู่แล้ว ถ้าเป็นการขู่ที่ล่วงเกินและทำผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการตามนั้น ส่วนที่ พล.อ. ประวิตร กลายเป็นเป้านั้นมองว่า ท่านเป็นหัวใจของความมั่นคง

    บังคับแล้ว “พ.ร.บ.กยศ. 2560” นายจ้างหักเงินเดือนคืนกองทุนได้

    วันที่ 30 ม.ค. 2560 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กูยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 หรือ พ.ร.บ.กยศ. 2560 ได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิก พ.ร.บ.กยศ. 2541 และใช้มาตรการที่เข้มงวดในการชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา หลังจากที่ผ่านมาต้องประสบปัญหากับการไม่ยอมชำระคืนเงินกู้เป็นจำนวนมหาศาล จนเกิดผลกระทบต่อผู้ปรารถนาจะกู้ยืมในรุ่นต่อๆ ไป

    ทั้งนี้ ในหมวด 4 มาตรา 42 ของ พ.ร.บ.กยศ. 2560 ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงินโดยเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ในการบริหารกองทุนและการติดตามการชำระเงินคืนกองทุน โดยผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ดังนี้ 

    (1) ให้ความยินยอมในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อให้ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร หักเงินได้พึงประเมินของตนตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบเพื่อชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาคืนกองทุน 
    (2) แจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินต่อหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชนที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วันนับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน และยินยอมให้หักเงินได้พึงประเมินของตนเพื่อดำเนินการตามมาตรา 51 
    (3) ยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ในครอบครองของบุคคลอื่น รวมทั้งยินยอมให้กองทุนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุน

    โดยผู้กู้ยืมจะต้องแสดงฐานะการเป็นผู้กู้ยืม กยศ. ของตนให้นายจ้างทราบ และยินยอมให้นายจ้างหักเงินเดือนเพื่อส่งคืนหนี้ กยศ. ด้วย โดยมาตรา 51 กำหนดให้ผู้ที่เป็นนายจ้างจะต้องหักเงินดังกล่าวนำส่งให้กรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด หากนายจ้างไม่หัก ไม่ส่ง หักแต่ไม่ส่ง ส่งไม่ครบ หรือส่งเกินกำหนดเวลา จะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนฯ แจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังไม่ได้นำส่ง หรือตามจำนวนที่ยังขาดไป แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ นับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดต้องนำส่งตามวรรคหนึ่ง

    อนึ่ง ตาม พ.ร.บ.กยศ. ฉบับเดิม การให้นายจ้างหักส่งนี้เป็นการขอความร่วมมือ แต่ตาม พ.ร.บ.กยศ. ฉบับใหม่ที่เพิ่งบังคับใช้นี้ การให้นายจ้างหักส่งดังกล่าวจะเป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

    สปส. เตือน คลินิกทำฟัน “คิด-เก็บเงินเกินราคา” โดนแน่

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงกรณีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทันตกรรมเป็น 900 บาทต่อคนต่อปี โดยไม่ต้องสำรองจ่ายในคลินิกทันตกรรมเอกชน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวยอมรับว่ายังไม่ครอบคลุมคลินิกหลายแห่ง ขณะนี้มีคลินิกทันตกรรมเอกชนที่เข้าร่วมแล้วกว่า 530 แห่ง และคาดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะเพิ่มเป็น 800 แห่ง ทั้งนี้ ก่อนรับบริการให้สังเกต “สติกเกอร์” สัญลักษณ์ประกันสังคม ที่จะติดไว้ที่คลินิกที่ร่วมโครงการ หมายถึงสามารถรับบริการโดยไม่ต้องสำรองจ่ายได้ แต่หากมีสติกเกอร์แล้วและยังเก็บเงินอีกสามารถเอาผิดได้ โดยผู้ประกันตนต้องโทร.แจ้งเข้ามายังสายด่วย สปส. โทร. 1506 โดยขั้นตอนอาจมีการพิจารณาคืนเงิน หรือให้คลินิกดังกล่าวออกจากระบบประกันสังคม

    “ปัญหาหนึ่งเมื่อมีการให้สิทธิเพิ่มค่ารับบริการทันตกรรมเป็น 900 บาทต่อคน บางรายกลับพบว่าคลินิกบางแห่งมีการขึ้นค่าทันตกรรม แต่ไม่ได้ประกาศราคาชัดเจน ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนคนใดประสบปัญหาดังกล่าวให้แจ้งมายัง สปส. ซึ่งเราจะรวบรวมข้อมูลและส่งให้กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ต่อไป ซึ่งผิดทั้งเรื่องการแสดงราคาและยังเข้าข่ายผิดจรรยาบรรณทันตแพทย์ด้วย” เลขาธิการ สปส. กล่าว

    นพ.สุรเดช กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลรัฐที่จะเข้าร่วมโครงการไม่ต้องสำรองจ่ายนั้น มีทั้งโรงพยาบาลสังกัด สธ. และโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ สังกัดกระทรวงกลาโหม และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเดิมจะเข้าร่วมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ แต่เพื่อความพร้อมเพียงกันในการประกาศบริการทันตกรรมไม่ต้องสำรองจ่าย จะประกาศร่วมเข้าโครงการพร้อมกันในวันที่ 1 เมษายน 2560 นี้

    อนึ่ง คลินิกเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการบริการทันตกรรมไม่ต้องสำรองจ่าย สามารถขอรับและยื่นใบสมัครได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดในเขตพื้นที่ที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 เขต/จังหวัด/สาขา ที่ท่านสะดวก หรือ โทร.1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการทุกวัน เวลา 07.00-19.00 น. ระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติให้บริการ 24 ชั่วโมง)

    ล่าช้า-ส่อสะดุด รถไฟเร็วสูงไทย-จีน ติดข้อกฎหมาย-แบบไม่มาตรฐาน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/LMWmA0)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/LMWmA0)

    วันที่ 2 ก.พ. 2560 เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยหลังการประชุมร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 252.5 กิโลเมตร วงเงิน 179,000 ล้านบาทว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ติดตามเรื่องแบบก่อสร้างระยะแรก 3.5 กิโลเมตร เส้นทางกลางดง-ปางอโศก และการจัดร่างสัญญา 3 ฉบับ เพื่อเสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการรถไฟไทย-จีน ได้โดยเร็ว

    ส่วนสาเหตุของความล่าช้ายังเหลือ 2 ประเด็นใหญ่คือ1. สืบเนื่องจากการออกแบบก่อสร้างยังเป็นมาตรฐานจีน และรัฐบาลไทยต้องการให้เปลี่ยนมาเป็นมาตรฐานไทยหรือมาตรฐานสากล แต่จีนไม่สามารถคำนวณและเทียบมาตรฐานเองได้ จึงแนะนำให้จีนจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวไทยมาดำเนินการแทน 2. จีนไม่สามารถทำเอกสารต่างๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย เช่น เรื่องบุคลากรจีนที่จะเข้ามาทำงานในไทย ซึ่งจะส่งผลให้กระทรวงการคลังไม่สามารถอนุมัติวงเงินมาใช้ในโครงการได้

    อย่างไรก็ดี จะต้องรีบทำให้ประเด็นความล่าช้าเหล่านี้ได้ข้อสรุป ไม่เช่นนั้นจะเดินหน้าไม่ได้ และสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-จีน ครั้งที่ 17 ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เดิมกำหนดไว้เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2560 ทางจีนก็ได้แจ้งเลื่อนออกไปโดยยังไม่มีการกำหนดใหม่ให้ชัดเจน

    “ทรัมป์” ปลดรักษาการรมช.ยุติธรรม ขัดแบน 7 ชาติมุสลิม

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (https://goo.gl/eQ3AGL)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (https://goo.gl/eQ3AGL)

    เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้คำสั่งประธานาธิบดี ห้ามไม่ให้พลเมืองจาก 7 ประเทศ ได้แก่ อิรัก อิหร่าน ซีเรีย โซมาเลีย ซูดาน ลิเบีย และเยเมนเข้าสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาดเป็นเวลา 90 วัน ไม่ว่าจะมีสถานะผู้ลี้ภัยหรือไม่ ทำให้ผู้ลี้ภัยที่เพิ่งเดินทางมาถึงสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัวที่สนามบินเกือบ 200 คน เนื่องจากวีซาที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้รับการอนุมัติถูกเพิกถอนตามคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นเหตุสหภาพเสรีภาพพลเมือง หรือ ACLU ของสหรัฐฯ ต้องยื่นฟ้องร้องต่อศาลขอให้คุ้มครองบุคคลเหล่านี้

    ศาลได้วินิจฉัยแล้วพบว่า คำสั่งประธานาธิบดีฉบับดังกล่าวอาจทำให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อผู้ได้รับผลกระทบ จึงสั่งให้ผู้ที่ได้รับการอนุมัติวีซาถูกต้อง หรือผู้ที่ใบสมัครขอสถานะผู้ลี้ภัยได้รับการรับรองแล้ว สามารถเดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ ได้ตามปกติ

    อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงผู้ที่ได้วีซาหรือสถานะผู้ลี้ภัยแล้วเท่านั้น ส่วนผู้ที่กำลังจะขออนุญาตเดินทางเข้าสหรัฐฯ หากเป็นพลเมืองของ 7 ประเทศข้างต้น ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติวีซาตามคำสั่งประธานาธิบดี

    ส่วนบีบีซีไทยรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งปลดนางแซลลี เยตส์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ โทษฐานที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ก่อนหน้านี้นางเยตส์มีหนังสือถึงบรรดาเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม แจ้งให้ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งพิเศษดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยใจความในหนังสือระบุว่า คำสั่งของผู้นำสหรัฐฯ นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่ศาลของหลายเขตได้มีคำวินิจฉัยมาแล้ว ซึ่งเธอต้องรับผิดชอบให้จุดยืนของกระทรวงยุติธรรมเป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับพันธกิจของทางกระทรวงที่ต้องแสวงหาความเป็นธรรมและยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง