ThaiPublica > เกาะกระแส > เอชเอสบีซีแบงก์ วิเคราะห์ปี 2560 เศรษฐกิจไทย – “หายใจคล่องขึ้น”

เอชเอสบีซีแบงก์ วิเคราะห์ปี 2560 เศรษฐกิจไทย – “หายใจคล่องขึ้น”

5 มกราคม 2017


3

นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ โดยปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 จากร้อยละ 2.8 และปรับเพิ่มการคาดการณ์สำหรับทั้งปี 2560 และ 2561 มาที่ร้อยละ 3.2 จากเดิมร้อยละ 2.8 และ 3.0 ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจได้ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ในสามไตรมาสแรกของปี 2559 สูงกว่าการคาดการณ์ของเอชเอสบีซี แม้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งจะมาจากการนำเข้าพลังงานและสินค้าทุนที่ลดลงก็ตาม อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกภาคบริการ (ส่วนใหญ่เป็นการท่องเที่ยว) ขยายตัวได้ดีกว่าคาด และแรงขับเคลื่อนเหล่านี้ยังช่วยชดเชยภาวะซบเซาของการส่งออกสินค้า การลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการปรับลดสินค้าคงคลัง (destocking) ได้บางส่วน

ในปี 2560 คาดว่าการลงทุนภาครัฐจะยังคงเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังจากที่เร่งตัวขึ้นมากในปี 2559 ทั้งนี้เนื่องจากว่า หลายโครงการโครงสร้างพื้นฐานได้พัฒนาไปสู่ลำดับการประกวดราคาหรือการก่อสร้างแล้ว โดยได้รับผลดีมาจากการที่รัฐบาลได้มีแผนปฏิบัติการประจำปี (action plan) ออกมาเพื่อให้ความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของโครงการสำคัญและเร่งด่วน นอกจากนี้ คาดว่ากระบวนการ destocking ที่ส่งผลให้การเติบโตของจีดีพีลดลงมากถึงประมาณ 3.0% ในสามไตรมาสแรกของปี 2559 จะพลิกกลับมาเป็นผลบวกต่อจีดีพีในปี 2560

อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนจากภายนอก (เช่น นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย) มีแนวโน้มที่จะทำให้การส่งออกของไทยยังคงขยายตัวต่ำ แม้ว่าผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมจะลดน้อยลงจากปี 2559 ก็ตาม อย่างน้อย ไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนตลาดของสินค้าส่งออกได้ในตลาดส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ได้รับผลกระทบชั่วคราวจากมาตรการปราบปรามผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวบางส่วนที่ทำผิดกฎ

มุมมองที่ออกมาในเชิงบวกมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งได้คำนึงถึงพื้นที่การดำเนินนโยบายการคลังที่ยังคงมีเพียงพอ โดยงบขาดดุลงบประมาณปี 2560 ที่ 3.9 แสนล้าน (ร้อยละ 2.7 ของจีดีพี) ของรัฐบาลยังสามารถที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกร้อยละ 50 ตามกฎหมาย หากมีความจำเป็น ซึ่ง ครม. ได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มอีก 1.9 แสนล้าน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ซึ่งคาดว่าจะน่าจะผ่านความเห็นชอบของ สนช.ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 และทำให้การขาดดุลเพิ่มเป็นร้อยละ 3.3 แต่ถึงกระนั้น เอชเอสบีซีคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ในอีกสองปีข้างหน้า (สิ้นปีงบประมาณ 2561) นอกจากนี้คาดว่าสภาพคล่องในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของเงินฝากและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจคงยังจะไม่สามารถกลับไปขยายตัวในระดับสูงดังเช่นช่วงก่อนวิกฤติการเงินโลกปี ค.ศ. 2008 ได้ โดยหนี้ภาคครัวเรือนที่สูง และคุณภาพสินเชื่อที่ลดลงในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ยังคงเป็นปัจจัยต่อการเติบโต นอกจากนี้ การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศในช่วงที่ผ่านมายังต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนในภาคการเกษตร ทั้งนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยยังคงมีอยู่ เช่น การออมของครัวเรือนที่อยู่ในระดับต่ำ โครงสร้างประชากรที่มีความชราภาพมากขึ้น และความสามารถด้านการแข่งขันภาคส่งออกที่ลดลง เป็นต้น

1

ประเด็นด้านนโยบาย

เอชเอสบีซีคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ โดย ธปท. มีทีท่าที่จะรักษาพื้นที่นโยบายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินจะยังคงอยู่ในแนวโน้มที่ผ่อนคลายต่อไป โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 จนถึงสิ้นปี 2561 ทั้งนี้ เนื่องจากว่า ธปท. ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง รวมถึงความไม่แน่นอนด้านนโยบายของเศรษฐกิจใหญ่หลายประเทศ ซึ่ง ธปท. เองเกรงว่าจะก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยได้ นอกจากนี้ แรงกดดันด้านราคาน่าจะอยู่ในวงจำกัดต่อไป แม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจอาจจะสูงกว่าที่คาด โดยการคาดการณ์เงินเฟ้อยังทรงตัวและทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2559 ล้วนแล้วแต่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า อันเนื่องมาจากการที่ภาคธุรกิจไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ส่วนหนึ่ง ล่าสุดเอชเอสบีซีได้ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อของทั้งปี 2560 และ 2561 ลงมาที่ร้อยละ 1.7 และ 2.0 จากเดิมร้อยละ 2.0 และ 2.1 ตามลำดับ

สำหรับนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่า ธปท. จะคงแนวนโยบายลดความผันผวนในระยะสั้นต่อไป แต่คงไม่พยายามที่จะต้านแนวโน้มของตลาดโลกหรือแรงกดดันที่มาจากการเปลี่ยนแปลงด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทถ่วงน้ำหนัก (Nominal Effective Exchange Rate) ยังค่อนข้างมีเสถียรภาพ ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระดับเงินทุนสำรองต่างประเทศที่เพียงพอ และเสถียรภาพภายนอกที่ดีของเศรษฐกิจไทย

ด้านความเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของเอชเอสบีซี คือ (1) ความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐที่อาจเกิดขึ้นช่วงใกล้การเลือกตั้ง (2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจต่ำกว่าคาด (3) ความผันผวนในตลาดการเงินโลกซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมและการตัดสินใจของภาคธุรกิจ และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวที่อาจจะน้อยกว่าคาดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทยหรือจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

เนื่องจากมีการวางแผนจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2560 หรือในช่วงต้นปี 2561 ความต่อเนื่องของนโยบายเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ด้วยส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดี บางส่วนของแผนการปฏิรูปที่สำคัญอาจจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2560 เช่น พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ และ พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น กฎหมายเหล่านี้จะช่วยผลักดันขีดความสามารถของการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ และการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ดี เราคาดว่าแผนการลงทุนและนโยบายของรัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานมีการเปลี่ยนแปลงน้อยในอดีต จึงน่าจะมีความต่อเนื่องในช่วงต่อไป

2