ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 ม.ค. 2560: “รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ ขโมยภาพเขียนโรงแรมญี่ปุ่น” และ “‘ทรัมป์’ เล็งเก็บภาษีเม็กซิโกเพิ่ม หลังแดนจังโก้ปฏิเสธจ่ายค่ากำแพง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 ม.ค. 2560: “รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ ขโมยภาพเขียนโรงแรมญี่ปุ่น” และ “‘ทรัมป์’ เล็งเก็บภาษีเม็กซิโกเพิ่ม หลังแดนจังโก้ปฏิเสธจ่ายค่ากำแพง”

28 มกราคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 ม.ค. 2560

  • รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ ขโมยภาพเขียนโรงแรมญี่ปุ่น
  • ประกันสังคมลงทุนปี ’59 ฟันกำไรกว่า 5.2 หมื่นล้าน
  • โดนใช้เกณฑ์ ปชต. ประเมิน คะแนนความโปร่งใสไทยฮวบ
  • เลขาฯ เมาไม่ขับชี้ แก้ปัญหาเมาขับต้องเอาผิดทั้งคนนั่ง-คนขาย
  • “ทรัมป์” เล็งเก็บภาษีเม็กซิโกเพิ่ม หลังแดนจังโก้ปฏิเสธจ่ายค่ากำแพง

รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ ขโมยภาพเขียนโรงแรมญี่ปุ่น

นายสุภัฒ สงวนดีกุล รอบอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่มาภาพ: เว็บไซต์ Nation TV (https://goo.gl/0wWY5I)
นายสุภัฒ สงวนดีกุล รอบอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
ที่มาภาพ: เว็บไซต์ Nation TV (https://goo.gl/0wWY5I)

25 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ Nation TV รายงานว่า นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถูกจับกุมและดำเนินคดีที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมืองเกียวโตได้เข้าควบคุมตัว ขอหาขโมยภาพวาด 3 ภาพมูลค่า 15,000 เยน ที่ติดอยู่ในโรงแรม เมื่อพนักงานพบว่ามีภาพวาดที่ตกแต่งอยู่บริเวณชั้น 9-10 ได้หายไป ก่อนตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบชายไทยผู้ต้องสงสัยที่เข้าพักในโรงแรม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจค้นกระเป๋าระหว่างการเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมจึงพบภาพวาด

ต่อมา วันที่ 26 ม.ค. 2560 เว็บไซต์สปริงนิวส์รายงานว่า นายสุภัฒอาจจะโดนโทษจำคุกมากถึง 10 ปี ปรับกว่า 150,000 บาท เพราะตามกฎหมายของญี่ปุ่น ความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 235 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เงินไม่เกิน 500,000 เยน (155,052 บาท) โดยถือเป็นความผิดอันยอมความมิได้ และนายสุภัฒรับสารภาพกับตำรวจญี่ปุ่นว่าต้องการรูปภาพที่ขโมยจริง โดยเป็นภาพที่แขวนไว้ระหว่างทางเดินของโรงแรม บริเวณชั้น 9 ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่า นายสุภัฒเข้ามาพักที่โรงแรมแห่งนี้ โดยมีเป้าหมายมาขโมยภาพโดยเฉพาะ

วันเดียวกัน เว็บไซต์ประชาไทรายงานว่า นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 27 ม.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า ได้พบกับนายสุภัฒที่เกียวโตแล้ว “ในส่วนของคดี ขณะนี้ศาลยังไม่ได้ประทับรับฟ้อง เพียงแต่มีคำสั่งกักตัวตามความเห็นอัยการเป็นเวลา 10 วัน โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่จะไปเจรจากับโรงแรมเรื่องค่าเสียหาย หากตกลงกันได้ อัยการจะขอถอนคดีและปล่อยตัวต่อไป” นายเสขกล่าว 

และในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน เว็บไซต์สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายเสขให้สัมภาษณ์ว่า อัยการมีคำสั่งปล่อยตัวนายสุภัฒแล้ว โดยมีการจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับทางโรงแรม โดยได้รับการปล่อยตัวเมื่อเวลา 17.50 น. ตามเวลาญี่ปุ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาในประเทศไทย 2 ชั่วโมง

ประกันสังคมลงทุนปี ’59 ฟันกำไรกว่า 5.2 หมื่นล้าน

ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/LPhgtp)
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน
ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/LPhgtp)

เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2560 ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ประธานกรรมการประกันสังคม กล่าวว่า สำนักงานกองทุนประกันสังคม (สปส.) ได้นำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์กลุ่มหุ้นที่มีความมั่นคงสูง แต่ความเสี่ยงต่ำทำให้ปี 2559 สปส. ได้รับเงินผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 52,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ได้ถึง 44,895 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของกองทุน สปส.

ขณะที่ ภาพรวมการลงทุนของ สปส. ที่เริ่มดำเนินการมาตลอดระยะ 36 ปี ช่วงแรกมีเงินเริ่มต้นอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท ปัจจุบันมีถึง 1.5 ล้านล้านบาท

ม.ล.ปุณฑริกกล่าวว่า ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าอีก 30 ปีข้างหน้า หาก สปส. จ่ายเบี้ยบำนาญชราภาพเต็มที่ อาจทำให้กองทุนล้มละลายนั้น เชื่อว่า สปส. จะหาทางวิเคราะห์ศึกษาเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับกองทุน สปส. ให้ยั่งยืนสามารถดูแลผู้ประกันตนได้ตลอดไป ทั้งนี้ ในปี 2559 (ข้อมูลล่าสุดเดือน พ.ย.) สปส. มีการนำเงินไปดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนรวมมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ครอบคลุมผู้ที่มารับบริการประมาณ 4 ล้านคนได้อย่างทั่วถึง

โดนใช้เกณฑ์ ปชต. ประเมิน คะแนนความโปร่งใสไทยฮวบ

เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ประกาศคะแนนดัชนีการจัดอันดับความโปร่งใส หรือ Corruption Perceptions Index (CPI) ปี 2016 ที่ประเทศไทย ได้ 35 คะแนน อยู่อันดับที่ 101 ของโลกว่า ตกใจอยู่เหมือนกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา เนื่องจากมีข้อมูลที่ใช้ในการจัดอันดับเพิ่มเติมขึ้นมาคือเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย จากผลการจัดอันดับที่ออกมานั้น ป.ป.ช. ผิดหวัง เพราะคาดการณ์ว่าเราจะได้เกินกว่า 38 คะแนน แต่กลับตกมาที่ 35 คะแนน อย่างไรก็ตาม ต้องกลับไปดูอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับการประเมินในครั้งนี้

เลขาฯ เมาไม่ขับชี้ แก้ปัญหาเมาขับต้องเอาผิดทั้งคนนั่ง-คนขาย

นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://goo.gl/aOvfgj)
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ
ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://goo.gl/aOvfgj)

วันที่ 26 ม.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ให้ความเห็นว่าหากจะบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับได้อย่างจริงจัง รัฐบาลจะต้องปรับแก้ฐานความผิด ไม่ใช่ปรับแก้ที่เพิ่มบทลงโทษ ซึ่งทางมูลนิธิได้เสนอว่า ควรจะปรับฐานความเป็นเอาผิดกับผู้ที่นั่งมากับคนเมาไม่ขับด้วย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือเพื่อน ก็จะต้องถูกลงโทษด้วย หากแก้ไขในลักษณะดังกล่าว จะทำให้การคอร์รัปชันและการใช้ระบบอุปถัมภ์เป็นไปได้ยากขึ้น เพราะจะต้องจ่ายเงินเยอะในจำนวนมาก นอกจากนี้จะต้องเอาผิดกับผู้ประกอบการที่ขายเหล้า เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคม

สำหรับมาตรการที่รัฐบาลใช้มาตรา 44 ในการยึดรถในช่วงเทศกาล หรือ 7 วันอันตรายนั้น ทางมูลนิธิเห็นว่าควรจะบังคับใช้กับคนขับด้วย เพราะการยึดรถไว้อย่างเดียว ไม่สามารถลดปัญหาได้ แต่หากขังผู้ที่กระทำความผิดไว้ด้วย เพราะหากคนขับไม่สามารถออกไปขับรถได้ อุบัติเหตุก็จะลดลง ซึ่งในปัจจุบันนี้ กฎหมายไม่ได้ระบุให้มีการกักขังผู้กระทำความผิด จึงทำให้คนที่ทำผิดไม่เกรงกลัวกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่ากฎหมายเมาไม่ขับ เมื่อบังคับใช้ไปสักระยะ ประชาชนจะเกิดการดื้อและรู้ช่องทางเลี่ยงกฎหมาย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานภารัฐจะต้องมีการปรับแก้อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ล้าสมัยจึงจะควบคุมได้

“ทรัมป์” เล็งเก็บภาษีเม็กซิโกเพิ่ม หลังแดนจังโก้ปฏิเสธจ่ายค่ากำแพง

วันที่ 27 ม.ค. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ได้หารือกับบรรดาสมาชิกรัฐสภาเรื่องค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนที่ติดกับเม็กซิโกแล้ว พบว่าอาจต้องใช้งบประมาณราว 12,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่คาดว่าเงินในส่วนนี้จะได้จากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกเป็น 20% ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ เก็บเงินจากเม็กซิโกได้ราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยอาจออกมาตรการนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการปฏิรูปภาษีที่รัฐสภากำลังเตรียมออกเป็นกฎหมายใหม่

โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนการดังกล่าวหลังประธานาธิบดีเอนริเก เปญา เนียโต ของเม็กซิโกแจ้งยกเลิกกำหนดการพบปะกับนายทรัมป์ที่กรุงวอชิงตันสัปดาห์หน้า เนื่องมาจากความขัดแย้งกรณีที่นายทรัมป์เรียกร้องให้เม็กซิโกจ่ายค่าสร้างกำแพงกั้นพรมแดน ซึ่งเม็กซิโกปฏิเสธ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายสไปเซอร์เผยถึงแผนขึ้นภาษีกับสินค้าเม็กซิโกแล้ว นายไรน์ซ พรีบัส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาชี้แจงว่า แผนการดังกล่าวเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในหลายทางเลือกที่กำลังพิจารณากันอยู่เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ต่อว่าผู้นำเม็กซิโกผ่านข้อความทางทวิตเตอร์ว่า หากเม็กซิโกไม่เต็มใจจ่ายค่ากำแพงกั้นพรมแดน ก็น่าจะยกเลิกกำหนดการพบเจรจาที่จะมีขึ้นไปเสีย ซึ่งทำให้ผู้นำเม็กซิโกแจ้งยกเลิกตามที่นายทรัมป์ระบุในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์กล่าวด้วยว่า การพบปะครั้งนี้คงจะไม่เกิดผลสำเร็จอันใด หากเม็กซิโกไม่ให้ความเคารพและปฏิบัติต่อสหรัฐฯอย่างเป็นธรรม ซึ่งทำให้เขาไม่มีทางเลือกและต้องหันไปใช้มาตรการอื่นแทน