ThaiPublica > คนในข่าว > สีจิ้นผิง CEO บริษัท China Inc., ผู้นำทรงอิทธิพลมากสุดคนหนึ่งของโลกปี 2016

สีจิ้นผิง CEO บริษัท China Inc., ผู้นำทรงอิทธิพลมากสุดคนหนึ่งของโลกปี 2016

29 ธันวาคม 2016


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/
ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/

“ถ้าคุณคูณปัญหาหนึ่งด้วยจำนวนประกรจีน สิ่งนั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ถ้าคุณหารปัญหานั้นด้วยจำนวนประชากรจีน มันจะกลายเป็นเรื่องที่เล็กๆ ” เวิน เจียเป่า อดีตนายกรัฐมนตรีจีน

นิตยสาร Forbes จัดอันดับบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในปี 2016 ปรากฏว่า สี จิ้นผิง เลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดี สาธารณรัฐประชาชนจีน ครองอันดับที่ 4 เพราะนับจากได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคและรัฐเมื่อปี 2012 เป็นต้นมา สี จิ้นผิง ก็กลายเป็นผู้นำจีนที่มีอำนาจและอิทธิพลมาก ระดับเดียวกับอดีตผู้นำก่อนหน้านี้ เช่น เหมา เจ๋อตุง หรือ เติ้ง เสี่ยวผิง

Forbes กล่าวว่า สี จิ้นผิง เป็นผู้นำจีนที่มองเห็นประโยชน์ของการปฏิรูปเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้มีความคิดใหม่ๆ ต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันมากกว่าผู้นำในอดีต ในเวลาเดียวกัน เมื่อมีสถานการณ์เผชิญหน้าเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะแสดงให้โลกเห็นถึงแสนยานุภาพทางทหารของจีน เพิ่มกิจกรรมทางทหารของจีนในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้อีกเท่าตัว หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ โทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีไต้หวันในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จีนก็ส่งเครื่องบินที่สามารถบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์บินเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้

สี จิ้นผิง คือใคร

ก่อนที่ สี จิ้นผิง จะขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของจีน ภรรยาของเขาชื่อ เผิง ลี่หยวน (Peng Liyuan) เป็นที่รู้จักมักคุ้นในหมู่คนจีนมากกว่า เพราะเธอเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง ตระเวนร้องเพลงไปทั่วจีน เพื่อปลุกขวัญให้คนจีนรักประเทศและพรรคคอมมิวนิสต์ เธอเป็นนักร้องประจำรายการงานฉลองปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ CCTV รายการที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างมากของคนจีน เมื่อ สี จิ้นผิง ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุด คนจีนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักผู้นำคนใหม่ มักจะถามกันว่า สี จิ้นผิง คือใคร ก็จะมีคนตอบแบบตลกๆ ว่า คือ สามีของ เผิง ลี่หยวน

เผิง ลี่หยวน ภรรยา สี จิ้นผิงที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Xi_Jinping#/media/
เผิง ลี่หยวน ภรรยา สี จิ้นผิงที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Xi_Jinping#/media/

สี จิ้นผิง เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 6 และเป็นผู้นำจีนคนแรกที่เกิดหลังการปฏิวัติในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสมาชิก 87 ล้านคน มากกว่าจำนวนประชากรของเยอรมัน ความสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ที่อำนาจการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ ต่างๆ ในจีน ในหนังสือชื่อ The Party คนเขียนที่เป็นผู้สื่อข่าว Financial Times คือ Richard McGregor เขียนไว้ว่า ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ มีองค์กรแบบเดียวกันนี้ในสหรัฐฯ ที่มีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรี ผู้พิพากษาของศาลสูง ผู้ว่าการรัฐ ผู้บริหาร Walmart, ExxonMobil, United Airlines, บรรณาธิการ New York Times และอธิการบดี มหาวิทยาลัยเยล

สี จิ้นผิง เกิดในปี 1953 ที่ปักกิ่ง บิดาของเขาคือ สี จงชุน (Xi Zhongxun) เป็นนักปฏิวัติจีนรุ่นเก่า เมื่ออายุได้ 5 ขวบ บิดาของเขาดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ส่วน สี จิ้นผิง เข้าโรงเรียนชื่อ “1 สิงหาคม” ชื่อที่ได้จากวันที่พวกคอมมิวนิสต์มีชัยชนะในจีน โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนสำหรับพวกลูกท่านหลานเธอของบรรดาผู้นำจีน ที่เรียกกันว่า “เจ้าชายน้อย” (princeling) ตั้งอยู่ที่วังเก่าแห่งหนึ่งของราชวงศ์แมนจู โรงเรียนนี้เป็นที่บ่มเพาะนักเรียนเพื่อจะเป็นผู้นำประเทศในอนาคต เพราะการเป็นลูกท่านหลานเธอ มีสิทธิ์ที่จะได้รับ “อาณัติจากสวรรค์” พวกนักเรียนมักจะเปรียบเทียบกันว่า บิดาของใครจะได้ตำแหน่งสูงขึ้น

ปี 1962 สีจงชุนถูกกล่าวหาว่าไปสนับสนุนการพิมพ์หนังสือนิยายเล่มหนึ่ง ที่มีการเอ่ยชื่อบุคคลต้องห้ามคนหนึ่ง ที่เป็นปรปักษ์กับประธานเหมา ศัตรูของเขาในพรรคคอมมิวนิสต์จึงใช้โอกาสนี้เล่นงานเขา เพื่อให้หลุดออกจากตำแหน่งการเมือง และให้เขาไปให้พ้นจากปักกิ่ง เขาถูกสั่งให้ไปปฏิรูปตัวเองผ่านการใช้แรงงานหนัก โดยไปทำงานที่โรงงานผลิตรถแทร็กเตอร์ที่เมืองลั่วหยาง (Luoyang) มณฑลเหอหนาน (Henan)

สีจิ้นผิง เมื่ออายุ 5 ขอบ ถ่ายภาพร่วมกับบิดาและน้องชาย ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/
สีจิ้นผิง เมื่ออายุ 5 ขอบ ถ่ายภาพร่วมกับบิดาและน้องชาย ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/

ในปี 1967 เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม พวกเรดการ์ดนำตัว สี จงชุน ออกมาประณามกล่าวโทษต่อฝูงชน คดีเก่าของเขาถูกนำมาขยายความ ทำให้เขากลายเป็นพวกปฏิปักษ์ต่อต้านพรรค นอกจากนี้ ยังมีข้อหาว่า เป็นคนฝักใฝ่ทุนนิยม เพราะในปี 1966 เมื่อครั้งที่เขาไปเยือนเยอรมันตะวันออก ได้เอากล้องทางไกลส่องไปดูนครเบอร์ลินตะวันตก

ในช่วงนั้น สี จิ้นผิง มีอายุแค่ 14 ปี การเกิดเป็นลูกผู้นำที่เคยให้คุณกลายเป็นการให้โทษแทน เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตผู้นำจีนคนอื่นๆ ชีวิตของ สี จิ้นผิง ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นเรื่องที่เปิดเผยรับรู้กันทั่วไป อาจเป็นเพราะว่า เขาอยู่กับฝ่ายที่ถูกต้องทางการเมือง การที่บิดาตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ทำให้ สี จิ้นผิง ไม่ได้เข้าร่วมขบวนการเรดการ์ด ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการหัวรุนแรงนี้ ในปี 2000 สี จิ้นผิง ให้สัมภาษณ์นักข่าวจีนว่า พวกเรดการ์ดข่มขู่ว่า อาชญากรรมของเขานั้น ประหารชีวิตได้ถึง 100 ครั้ง แต่ในที่สุด พวกเรดการ์ดบอกให้เขาอ่านสรรนิพนธ์ประธานเหมาทุกๆ วันจนถึงกลางดึก

ปี 1968 ประธานเหมาสั่งให้พวกเรดการ์ดออกไปอยู่ชนบทเพื่อเรียนรู้จากชาวนา ครอบครัวตระกูลชั้นนำจึงส่งลูกหลานตัวเองไปยังมณฑลที่มีพรรคพวกอยู่ สี จิ้นผิง ถูกส่งให้ไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มณฑลซานซี ช่วงนี้ถือเป็นการแปลงแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต สื่อมวลชนของจีนเขียนบรรยายชีวิตของเขาในช่วงนี้ว่า สี จิ้นผิง ต้องอาศัยอยู่ในถ้ำกับชาวบ้าน นอนบนเตียงทำจากดินเหนียว ทนกับการถูกแมลงต่างๆ กัด ทำงานสร้างเขื่อนและถนน ทำให้เขาเข้าใจชีวิตชาวนาในชนบทจีน

ชีวิตเริ่มต้นจากชนบท

การไปใช้ชีวิตที่มณฑลซานซีในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม นับเป็นการเลือกที่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของ สี จิ้นผิง เพราะมณฑลซานซีเป็นเขตปฏิวัติดั้งเดิมของบิดาของเขา เวลาแค่ 2 ปีต่อมา สี จิ้นผิง ก็สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ หลังจากที่พยายามมาถึง 10 ครั้ง และเป็นเลขาพรรคของหมู่บ้าน ในปี 1975 เขาได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวา (Tsinghua University) สาขาวิศวกรรมเคมี ในฐานะนักศึกษาที่มาจากกรรมกร-ชาวนา-ทหาร ตามคุณสมบัติทางการเมืองการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของจีนในยุคนั้น

สี จิ้นผิง กลับเข้ามาที่ปักกิ่งตรงกับช่วงการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่ เป็นช่วงปลายของการปฏิวัติวัฒนธรม ที่ความน่าเชื่อถือถูกทำลายไปแทบจะหมด หลังจากที่ประธานเหมาถึงแก่กรรมในเดือนกันยายน 1976 และพวกหัวรุนแรงเรียกว่า “แก๊ง 4 คน” ถูกขจัดไปแล้ว คนจีนที่มีชีวิตรอดมาได้รู้สึกเหมือนกับว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว ครอบครัวที่แยกพลัดพลาดจากกันก็กลับมารวมกันใหม่ บิดาของเขา สี จงชุน สามารถกลับมาที่ปักกิ่งได้ในปี 1978 ในเวลานั้น สี จิ้นผิง ใกล้จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว

หลังจากจบการศึกษา ในปี 1979 สี จิ้นผิง เริ่มต้นทำงานที่สำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ในกรุงปักกิ่ง เวลาต่อมา เขาขอให้พรรคส่งเขาไปทำงานในชนบท เพราะเห็นว่าเส้นทางความก้าวหน้าทางการเมืองต้องเริ่มจากท้องถิ่น ในอีกด้านหนึ่ง ผู้นำปฏิวัติจีนรุ่นเก่าๆ ก็นับวันจะมีอายุมากขึ้น จำเป็นต้องสร้างผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมา ในที่สุด เขาถูกส่งไปทำงานในท้องถิ่นแห่งหนึ่งของมณฑลเหอเป่ย์ (Hebei) ที่อยู่ใกล้ปักกิ่ง การไปเริ่มต้นทำงานจากตำแหน่งเกือบต่ำสุดในชนบทแทนที่จะทำงานสบายๆ ในเมืองหลวงอาจมาจากคำแนะนำของบิดาเขาเอง ที่เห็นว่าเขาควรมีประสบการณ์จากจุดล่างสุด แล้วค่อยทำงานเลื่อนลำดับขึ้นมา

ปี 2012 ก่อนขึ้นเป็นผู้นำจีน สีจิ้นผิงกลับไปเยือนเมืองมัสคาทีน รัฐไอโอวา เพื่อพบปะกับครอบครัวอเมริกัน ที่เคยพักอาศัยช่วงที่นำคณะจากจีนมาดูงานด้านเกษตรปี 1985 ที่มาภาพ : Xinhua News
ปี 2012 ก่อนขึ้นเป็นผู้นำจีน สีจิ้นผิงกลับไปเยือนเมืองมัสคาทีน รัฐไอโอวา เพื่อพบปะกับครอบครัวอเมริกัน ที่เคยพักอาศัยช่วงที่นำคณะจากจีนมาดูงานด้านเกษตรปี 1985 ที่มาภาพ : Xinhua News

ในปี 1985 สี จิ้นผิง ร่วมอยู่ในคณะการเกษตรของจีนไปเยือนสหรัฐฯ เขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว “ดวอร์ชัค” (Dvorchak) ที่เมืองมัสคาไทน์ (Muscatine) รัฐไอโอวา เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เมื่ออยู่กับครอบครัวชาวอเมริกัน สี จิ้นผิง แนะนำว่า ตัวเองเป็นหัวหน้าสมาคมอาหารสัตว์เขตฉือเจียจวง (Shijiazhuang) มณฑลเหอเป่ย์ ในปี 2012 ก่อนขึ้นเป็นผู้นำจีน สี จิ้นผิง มาเยือนสหรัฐฯ และได้กลับไปที่เมืองมัสคาไทน์ เพื่อพบกับครอบครัวดวอร์ชัก โดยมีนักข่าวจำนวนมากตามไปทำข่าว นางดวอร์ชักให้สัมภาษณ์นิตยสาร New Yorker ว่า “ไม่มีใครที่จิตใจปกติจะคิดว่า คนที่เคยมาอาศัยอยู่บ้านฉันจะกลายเป็นประธานาธิบดี ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นประเทศไหนที่พวกคุณกำลังพูดกันอยู่”

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศแต่งตั้งนายเทอร์รี แบรนสตัด (Terry Branstad) ผู้ว่าการรัฐไอโอวา และเป็นเพื่อนสนิทของ สี จิ้นผิง ให้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนใหม่ประจำประเทศจีน ในปี 1985 เทอร์รี แบรนสตัด เป็นคนต้อนรับคณะดูงานการเกษตรของจีน ที่มี สี จิ้นผิง เป็นหัวหน้าคณะ เพื่อมาศึกษาเรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวเกษตรกรของรัฐไอโอวา

ช่วงปี 1985-2002 สี จิ้นผิง ย้ายมาทำงานที่มณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) และในปี 2000 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่ามณฑล ช่วงที่อยู่ในมณฑลนี้ เขาได้พบปะกับ เผิง ลี่หยวน นักร้องชื่อดังของจีน และต่อมาสมรสกันในปี 1987 เผิง ลี่หยวน เคยให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์จีนว่า เมื่อพบกันตอนแรก สี จิ้นผิง ถามเธอว่า เธอร้องเพลงแบบไหน เพราะตัวเขาเองไม่ได้ดูโทรทัศน์ ทำให้ เผิง ลี่หยวน รู้สึกว่า สี จิ้นผิง เป็นคนไม่มีวัฒนธรรม ก่อนหน้านี้ หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สี จิ้นผิง เคยสมรสมาแล้วกับสตรีชื่อ เคอะ เสี่ยวหมิง (Ke Xiaoming) บุตรสาวของนักการทูตจีนประจำอังกฤษ แต่ไม่นานก็หย่ากัน

ฝูเจี้ยนเป็นมณฑลชายทะเลทางใต้ ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับไต้หวัน ในอดีต พ่อค้ามณฑลนี้มีการค้าขายติดต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน เมืองเซี่ยเหมินในมณฑลฝูเจี้ยนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษมาตั้งแต่ปี 1980 จึงเป็นตัวอย่างนโยบาย “ปฏิรูปและเปิดประเทศ” ในยุคของ เติ้ง เสี่ยวผิง การมามีตำแหน่งในมณฑลนี้ ทำให้ สี จิ้นผิง มีประสบการณ์และการได้ทำงานโดยตรงกับนโยบายนี้ ได้เห็นโรงงานอุตสาหกรรมที่ลงทุนโดยนักธุรกิจไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นอกจากจะได้เห็นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ยังได้เห็นสิ่งที่เป็นด้านมืดติดตามมา คือปัญหาคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ

การเป็นผู้นำสูงสุดในการปกครองมณฑล ถือเป็นตำแหน่งสำคัญมากของเส้นทางขึ้นสู่อำนาจในจีน ผู้นำก่อนหน้านี้ เช่น เจียง เจ๋อหมิน หรือ หู จิ่นเทา ล้วนเคยดำรงตำแหน่งสูงสุดในระดับมณฑลมาก่อน มณฑลของจีนมีประชากรมากกว่าหลายประเทศในโลกนี้ เช่น เสฉวน (Sichuan) มีพลเมืองกว่า 100 ล้านคน เศรษฐกิจของมณฑลสำคัญๆ มีมูลค่าพอๆ กับบางประเทศชั้นนำ เช่น กวางตุ้งมีขนาดเศรษฐกิจเท่ากับอินโดนีเซีย มีสัดส่วน 10% GDP ของจีน เศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้มีมูลค่าเท่ากับฟินแลนด์ หรือ 3.7% GDP ของจีน เพราะฉะนั้น หน้าที่ในการบริหารและปกครองมณฑลของจีน จึงงานที่ใหญ่หลวงมาก

ผู้ว่าและเลขาพรรคของมณฑลที่ทำงานได้ดีจะมีรางวัลใหญ่รออยู่ข้างหน้า ผู้นำพรรคของมณฑลหลายคนเป็นสมาชิกกรมการเมือง หรือ Politburo ที่มีทั้งหมด 25 คน เพียงแค่อีกก้าวเดียวก็จะไปถึง “ศูนย์กลางอำนาจ” ของจีน คือ คณะกรรมการประจำของกรมการเมือง ที่มีจำนวน 7 คน ในการแต่งตั้งปี 2012 สมาชิกกรมการเมืองประจำจำนวน 6 ใน 7 คน รวมทั้งสี จิ้นผิง เคยเป็นผู้นำพรรคของมณฑลมาก่อน สี จิ้นผิง จึงคิดถูกมาตั้งแต่แรกว่า การมีอนาคตทางการเมืองของจีนอยู่ที่จะต้องไปเริ่มต้นจากระดับท้องถิ่นก่อน แล้วค่อยไต่เต้าขึ้นมา

เส้นทางสู่ศูนย์กลางอำนาจ

ในปี 2002 สี จิ้นผิง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาพรรคของมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) คนจีนทั่วไปรู้ว่า เลขาพรรคของมณฑลมีอำนาจมากกว่าผู้ว่ามณฑล เหมือนกับตำแหน่งเลขาธิการพรรคนั้นใหญ่กว่านายกรัฐมนตรี การที่ สี จิ้นผิง เป็นเลขาพรรคมณฑลเจ้อเจียง เท่ากับว่า นับเป็นครั้งแรกที่เขามีมณฑลของตัวเองที่จะปกครอง

เจ้อเจียงอยู่ติดกับเซี่ยงไฮ้ แม้ไม่ใช่มณฑลที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่คนในเมือง เหวินโจว (Wenzhou) ที่อยู่ในมณฑลนี้ ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจเอกชนจีน ที่มีความสามารถทางธุรกิจ พร้อมเสี่ยงที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ถนัดเรื่องทำธุรกิจใต้ดิน และทำธุรกิจแบบ SME จึงเป็นที่มาของคำว่า “เหวินโจวโมเดล” (Wenzhou Model) ที่โด่งดังไปทั่วโลก เมืองทางเหนือของอิตาลีที่มีธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าถูกนักธุรกิจจีนเข้าไปซื้อกิจการ นำคนงานจีนจำนวนมากเข้าไปทำงาน ก็เป็นนักธุรกิจที่มาจากเมืองเหวินโจว

สีจิ้นผิงเป็นผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ที่มาภาพ: chinadaily
สีจิ้นผิงเป็นผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ที่มาภาพ: chinadaily

เมื่อ สี จิ้นผิง มารับผิดชอบดูแลเจ้อเจียง เศรษฐกิจมณฑลนี้อยู่ในภาวะเติบโตสูง เขาจึงให้ความสำคัญในเรื่องการสนับสนุนนักธุรกิจท้องถิ่น เช่น อาลีบาบา (Alibaba) ที่เจ้าของคือ แจ็ก หม่า (Jack Ma) ที่เป็นคนของมณฑลนี้ รวมทั้งบริษัทรถยนต์ของเอกชนจีนที่ชื่อ Geely ที่ต่อมาไปซื้อกิจการของ Volvo และบริษัทผู้ผลิตรถแท็กซี่อังกฤษชื่อ London Taxi Company นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังดำเนินการปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตอย่างจริงจัง จนผลงานได้รับความสนใจจากบรรดาผู้นำของจีน

ในปี 2002 สี จิ้นผิง ได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะกรรมการ (Central Committee) พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีสมาชิกประจำ 205 คน สมาชิกสำรองอีก 171 คน แต่โอกาสการก้าวขึ้นเป็นผู้นำจีนในอนาคตเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคที่นครเซี่ยงไฮ้ หลังจากที่ผู้นำพรรคคนก่อนหน้านี้ถูกกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชัน แม้จะดำรงตำแหน่งในเซี่ยงไฮ้เพียง 7 เดือน แต่ถือเป็นตำแหน่งที่ทำให้อนาคตการเมืองของ สี จิ้นผิง เกิดการก้าวประโดดครั้งใหญ่ เพราะในปีเดียวกันนี้ สี จิ้นผิง ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกประจำ กรมการเมือง และในปี 2012 ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค เป็นประธาน คณะกรรมการทหาร และในปี 2013 ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

สี จิ้นผิง เป็นผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ผู้นำรุ่นก่อนหน้านี้คือ เหมา เจ๋อตุง, เติ้ง เสี่ยวผิง, เจียงเจ๋อหมิน และหู จิ่นเทา ในหนังสือชื่อ How China’s Leaders Think ผู้เขียนคือ Robert Lawrence Kuhn อ้างความเห็นของนักวิจัยชาวจีนคนหนึ่งว่า “ผู้นำรุ่นใหม่ของจีนจะเป็นคนมีสติปัญญา มองปัญหาในแง่มุมการปฏิบัติ มีความสามารถรอบด้าน และเป็นคนรู้จักอดทนอดกลั้น ผู้นำจีนรุ่นเก่าถูกอุดมการณ์ครอบงำ ทำให้โลกของคนพวกนี้มืดสนิท และหลอกลวงตัวเองเรื่องฐานะของจีนเมื่อเปรียบเทียบกับชาติตะวันตก”

สี จิ้นผิง มีคติประจำใจที่ว่า “จงมีความภูมิใจ แต่ไม่ประมาท มีกำลังใจ แต่ไม่หยิ่งยโส มองปัญหาในแง่การปฏิบัติ ไม่ผิดพลาดนอกลู่นอกรอย” ประสบการณ์จากชีวิตคงจะมีส่วนทำให้เขามีคติประจำใจดังกล่าว สมัยที่ทำงานอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน คนท้องถิ่นบอกว่า ปรัชญาการทำงานของ สี จิ้นผิง คือ “ลงมือทำเลย” ทำให้คำคำนี้กลายเป็นคำขวัญของมณฑลฝูเจี้ยน

สี จิ้นผิง พูดเรื่อง “ความฝันของชาวจีน” (Chinese Dream) เพื่อสะท้อนจุดหมายการพัฒนาของจีน เขากล่าวว่า จีนต้องการบรรลุการเป็นสังคมที่มั่งคั่งระดับกลางๆ ในโอกาสที่พรรคคอมมิวนิสต์จะครบ 100 ปี ในปี 2021 และเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย เมื่อครบ 100 ปีของการก่อตั้งสาธารณะรัฐประชาชนจีนในปี 2049 นักวางแผนของจีนอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อถึงเวลานั้น รายได้ต่อหัวของคนจีนจะอยู่ที่ 30,000 เหรียญสหรัฐ การผลิตของจีนจะมีสัดส่วน 30% การผลิตในโลก นับเป็นเป้าหมายที่อาจหาญมาก เช่น รายได้ต่อหัวคนจีนเพิ่ม 5 เท่าจากปัจจุบันที่เฉลี่ยคนละ 6,000 เหรียญ

ทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่เกิดมาเป็นคนจีน เพราะประเทศร่ำรวยมากขึ้นทุกๆ วัน จนคนจีนมองโลกอย่างมีความหวังว่า ศตวรรษที่ 21 จะเป็น “ศตวรรษจีน” ส่วนคนในประเทศตะวันตก เพียงแค่เวลา 16 ปีแรกของศตวรรษที่ 21 ก็เต็มไปด้วยเรื่องการก่อการร้าย เศรษฐกิจซบเซาครั้งใหญ่ และคลื่นผู้อพยพนับล้านคน เพราะสงครามในตะวันออกกลางที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น และไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่