ดร.ไกรยส ภัทราวาท
ทุกคนในวงการการศึกษาคงไม่พลาดติดตามข่าวเรื่องการประกาศผลการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment) ประจำปี 2015 หรือ PISA 2015 ที่จัดโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD โดยการสอบในครั้งนี้ OECD เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นหลัก (ข้อสอบกว่าร้อยละ 60 เป็นข้อสอบวิทยาศาสตร์) และเป็นครั้งแรกที่จัดการสอบทั้งหมดด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับทั้ง 72 ประเทศที่ต้องส่งตัวแทนเยาวชนอายุ 15 มากกว่า 500,000 คนเข้าร่วมสอบด้วยระบบใหม่นี้(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
ผลการสอบในปีนี้ประเทศไทยทำคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่าน ได้เท่ากับ 421 409 และ 415 ตามลำดับ ซึ่งลดลงจากการสอบในปี 2012 ประมาณ 11-32 คะแนน โดยวิชาการอ่านมีการลดลงมากที่สุด ทำให้ประเทศไทยมีอันดับคะแนนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อยู่ที่ลำดับที่ 54 ทั้งคู่ ส่วนวิชาการอ่านได้อันดับที่ 57 จาก 72 ประเทศที่เข้าร่วมประเมินในครั้งนี้ ส่วนประเทศที่มีคะแนนเฉลี่ยรวมสามวิชาสูงสุด 10 อันดับเรียงตามลำดับ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง-จีน ญี่ปุ่น มาเก๊า-จีน เอสโตเนีย ไต้หวัน แคนาดา ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ และ จีน-4 มณฑล จะเห็นว่า 7 ใน 10 ล้วนเป็นประเทศจากเอเชีย โดยประเทศเวียดนามได้คะแนนรวมอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลกในการสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ส่วนวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านนั้นเวียดนามทำอันดับได้ที่ 21 และ 27 จาก 72 ประเทศตามลำดับครับ(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
หลายท่านอาจสงสัยว่า “แล้วเยาวชนไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิกวิชาการทุกปี ปีละหลายสิบเหรียญ มากกว่าหลายประเทศ หายไปไหน ทำไมคะแนนเฉลี่ยของไทยถึงไม่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก?”
เรื่องนี้ OECD ได้ให้ความกระจ่างเอาไว้ด้วย Pie Chart ที่แสดงจำนวนและสัดส่วนเยาวชนผู้ทำคะแนน PISA ได้สูงสุดในระดับที่ 5-6 ถ่วงน้ำหนักประชากรของแต่ละประเทศเทียบประชากรโลก สังเกตได้ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกามีเยาวชนอายุ 15 ที่ได้คะแนนสูงสุดมากถึง 300,000 คน คิดเป็นร้อยละ 8.5 ของประชากรวัยนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ญี่ปุ่น แม้จะมีเยาวชนอายุ 15 ที่ได้คะแนนสูงสุด 174,000 คน ซึ่งน้อยกว่าสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเทียบกับฐานประชากรแล้วกลับสูงมากถึงร้อยละ 15.3 ของประชากร ส่วนสิงคโปร์ แม้จะได้คะแนนเฉลี่ยเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เมื่อนำเด็กเก่งทั้งหมดจากประเทศสิงคโปร์ไปเทียบสัดส่วนกับประชากรโลกแล้ว ชิ้น Pie สิงคโปร์เหลือเล็กนิดเดียวอยู่ทางด้านบนซ้ายของภาพ ส่วนประเทศไทยนั้นมีจำนวนเด็กเก่งอยู่หลักพันคนเท่านั้น จึงแสดงอยู่รวมกับอีก 50 ประเทศที่เหลือในส่วนอื่นๆ (Others)
แม้ผลคะแนนสอบ PISA แต่ละครั้งจะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง แต่นักการศึกษาจำนวนมากทั่วโลกกลับไม่เชื่อว่าข้อสอบ PISA ซึ่งวัดเพียงแค่ทักษะทางปัญญา (Cognitive Skills) ของผู้เข้าสอบใน 3 วิชา ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สามารถประเมินความสำเร็จของระบบการศึกษาได้ สังคมยังคาดหวังทักษะและคุณลักษณะอื่นๆ ของเยาวชนอีกมากมายที่ข้อสอบ PISA วัดไม่ได้
Professor Andreas Schleicher ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาแห่งองค์การ OECD ก็ออกมายอมรับว่า OECD เองกำลังพัฒนาข้อสอบ PISA ให้สามารถวัดทักษะเชิงพฤติกรรม (Non-cognitive Skills) ที่สังคมคาดหวังจากการศึกษาในอนาคต เช่น ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์ ที่สำคัญ OECD มิได้ต้องการให้ประเทศต่างๆ นำคะแนน PISA ไปจัดอันดับแข่งขันกัน แต่ต้องการให้นำผลการวิเคราะห์คะแนน PISA ไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายและพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนทั้งในแง่การส่งเสริมคุณภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยบทเรียนที่สำคัญจาก PISA 2015 ครั้งนี้คือ
1) แม้ยากจนก็เก่งได้ถ้าระบบดี แม้ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาโดยเฉพาะสถานะทางเศรษฐกิจสังคมของผู้เรียนและโรงเรียนคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคะแนน PISA ของนักเรียน แต่กลับมีประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่มีระบบการศึกษาที่สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่านของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเด็กยากจน ได้ไม่แพ้ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศเวียดนาม และเอสโตเนีย เป็นต้น
2) ครูต้องพัฒนาการเรียนการสอนร่วมกัน ครูเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของเยาวชนในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห์ของ OECD ชี้ให้เห็นว่า ครูที่มีเทคนิคการสอน (Instructional Process) ที่ดี โดยเฉพาะเทคนิคการสอนที่มีความยืดหยุ่นทั้งต่อผู้เรียนที่มีความสมรรถนะสูงและต่ำ รวมทั้งผู้เรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม นอกจากนั้น OECD พบว่า ผู้เรียนที่ได้รับคำแนะนำ (Feedback) จากครูเป็นรายบุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึงทักษะการเรียนรู้ที่ดีกว่า ที่สำคัญ ประเทศส่วนใหญ่จะมีผลคะแนนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยทางสถิติ หากครูช่วยเหลือกัน พัฒนาการเรียนการสอน (เรารู้จักกันในชื่อของ PLC – Professional Learning Community) โดยพบว่าสูงขึ้นเฉลี่ย 9 คะแนนในบรรดากลุ่มประเทศ OECD บางประเทศสูงขึ้นมาก เช่น ประเทศสโลวีเนียที่สูงขึ้นกว่า 36 คะแนน เมื่อเทียบกับโรงเรียนที่ไม่มี PLC
3) เวลาเรียนไม่สำคัญเท่าเรียนอย่างไร คุณภาพการใช้เวลาในชั้นเรียนสำคัญกว่าจำนวนเวลาที่ใช้ ผลการวิเคราะห์ของ OECD พบว่า ระบบการศึกษาที่สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากทั้งในชั้นเรียนและหลังเลิกเรียน ประเทศที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุดทุกประเทศใช้เวลาเรียนต่ำกว่าปีละ 1,000 ชั่วโมงทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ประเทศฟินแลนด์ เยอรมนี และญี่ปุ่น ล้วนใช้เวลาเรียนรวมทั้งในและนอกชั้นเรียนน้อยกว่าไทยราว 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
4) เรียนด้วยความสุขและมุ่งสู่อนาคต อีกปัจจัยหนึ่งที่ยังไม่ค่อยได้รับการพูดถึงในบ้านเราเท่าใดนัก แต่ OECD แสดงให้เห็นว่ามีผลอย่างมากต่อความสำเร็จของเด็กเยาวชนในระดับนานาชาติ คือความสุขในการเรียนรู้ และความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักเรียน โดยผลการวิเคราะห์ทางสถิติชี้ให้เห็นว่านักเรียนที่สนุกกับการเรียนวิทยาศาสตร์ และสนใจประกอบอาชีพสายวิทยาศาสตร์ในอนาคต ล้วนทำคะแนนได้ดีในวิชาวิทยาศาสตร์แทบทั้งสิ้น ดังนั้น ครูและสถานศึกษาที่ส่งเสริมให้เด็กเยาวชนรักและสนุกกับการเรียนรู้ รวมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสำคัญการเรียนรู้ต่อการประกอบอาชีพในอนาคต จะช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่ดีได้
5) ในไทย นักเรียนหญิงเก่งกว่านักเรียนชายสวนทางโลก ความแตกต่างของผลคะแนนระหว่างเพศของเยาวชนไทยมีผลตรงกันข้ามกับค่าเฉลี่ยนานาชาติซึ่งนักเรียนชายมีคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่นักเรียนหญิงไทยกลับทำคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ได้สูงกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยทางสถิติ เช่นเดียวกับวิชาการอ่านที่นักเรียนหญิงไทยก็ยังคงทำคะแนนได้ดีกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างนักเรียนชายหญิงไทยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
6) ครูใหญ่ครูน้อยสำคัญกว่ารัฐบาลกลาง OCED พบว่า บทบาทความเป็นผู้นำของครูและผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของผู้เรียน และมากกว่าการสั่งการจากหน่วยงานส่วนกลางซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์ทางลบกับคะแนนสอบของนักเรียนในการสอบครั้งนี้ โดย OECD อธิบายว่า ครูและผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในปัญหาและบริบทของโรงเรียนและผู้เรียนมากที่สุด การมีอิสระในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในโรงเรียนของตนเองย่อมจะส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าให้ผู้อื่นเป็นผู้ตัดสินใจ
แม้ว่าคะแนนของประเทศไทยในรอบนี้จะยังไม่ดีขึ้นกว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่การสอบ PISA ก็ไม่ได้วัดทุกสิ่งทุกอย่างของการศึกษาและคุณภาพเยาวชนได้ ยังมีสิ่งดีๆ อีกมากของระบบการศึกษาไทยและเด็กไทยที่ไม่แพ้ใครในโลกแต่ไม่อาจวัดได้ด้วยการสอบ 3 วิชาภายใน 2 ชั่วโมง(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
ทุกคนในแวดวงการศึกษาไทยควรเรียนรู้จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการสอบ PISA 2015 ในครั้งนี้ และนำไปเตรียมการอย่างเป็นรูปธรรมให้ประเทศไทยมีพัฒนาการในทางที่ดียิ่งขึ้น โจทย์สำคัญครั้งต่อไปในปี 2018 คือเรื่องความสำคัญในการเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship) ซึ่งข้อสอบจะเน้นเรื่องการอ่านเป็นหลัก และในปี 2021 จะเน้นเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งองค์การ OECD ได้เริ่มทำงานร่วมกับ สสค. สสวท. และกระทรวงศึกษาธิการแล้ว หากประเทศไทยใช้โอกาสที่ได้เป็นกลุ่มประเทศนำร่องนี้อย่างจริงจังเราก็จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในต้นแบบของโลกได้ในอนาคต
ขณะนี้ สสค. สพฐ. และ สสวท. กำลังร่วมดำเนินงานโครงการวิจัยพัฒนาเครื่องมือส่งเสริมและประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ร่วมกับองค์การ OECD และอีก 14 ประเทศทั่วโลกซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการสอบ PISA ในปี 2021 (พ.ศ. 2564) โดยในปีการศึกษา 2559 มีโรงเรียน 107 โรงเรียนและเด็กเยาวชน 2,000 คน รวมทั้งครูและศึกษานิเทศก์ 150 คนเข้าร่วมโครงการวิจัย
หากรัฐบาลไทยขยายผลการวิจัยนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยจะมีความพร้อมในการประเมินในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างแท้จริง