ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > 20 ปี ใครรวยจากสลากกินแบ่งรัฐบาล! – คนไทยซื้อ ”ลอตเตอรี่” 9 แสนล้าน ถูกหวย 5.5 แสนล้าน ถูกกิน 3.5 แสนล้าน

20 ปี ใครรวยจากสลากกินแบ่งรัฐบาล! – คนไทยซื้อ ”ลอตเตอรี่” 9 แสนล้าน ถูกหวย 5.5 แสนล้าน ถูกกิน 3.5 แสนล้าน

10 พฤศจิกายน 2016


cover-1

“การพนัน” คือ การเล่นที่มีการวางเดิมพัน ซึ่งกำหนดโดยผู้เล่น มีการแข่งขันต่อสู้ มีเจ้ามือ มีลักษณะของการต่อรองกันถึงผลได้และผลเสียของคน 2 ฝ่าย ส่วน “การเสี่ยงโชค” ไม่มีการแข่งขันต่อสู้ มีลักษณะของการเสี่ยงทาย ไม่มีการต่อรองแพ้ชนะ ได้ เสีย ยกตัวอย่าง การซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล หากซื้อเพื่อหวังรางวัลในแต่ละงวด ก็ถือเป็นการเสี่ยงโชค แต่ถ้าซื้อหลายใบเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อหวังรวยเป็นร้อยล้าน ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นการพนันไปได้ เพราะผู้เล่นหวังได้เสีย เสมือนกับมีการแข่งขันเกิดขึ้น เป็นนิยามที่ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เขียนไว้ในบทความ “การพนันหรือการเสี่ยงโชค” สลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ “ลอตเตอรี่” จึงเป็นกิจกรรมการเสี่ยงโชคที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่คู่สังคมไทยมาเป็นเวลานาน

จากการตรวจสอบงบการเงินของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตลอด 20 ปีที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ 2539-2558) มีคนไทยจ่ายเงินซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศลทั้งสิ้น 909,433 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีคนถูกรางวัลนำลอตเตอรี่มาขึ้นเงินกับสำนักงานสลากฯ 552,202 ล้านบาท มีคนถูกรางวัลที่ 1 มาแล้วประมาณ 11,500 คน หรือปีละประมาณ 575 คน ส่วนที่ไม่ถูกรางวัลหรือ “ถูกกิน” 357,229 ล้านบาท

สำหรับการจัดสรรเงินที่ได้รับจากคนไม่ถูกรางวัล 357,229 ล้านบาท สำนักงานสลากฯ นำส่งคลังเพื่อให้รัฐบาลนำไปพัฒนาประเทศ 175,374 ล้านบาท คิดเป็น 19.28% ของรายได้จากยอดขายสลากทั้งหมด แบ่งให้ตัวแทนจำหน่าย ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ไปจนถึงคนขายหวยตัวจริง (ไม่นับขายสลากเกินราคา) 84,422 ล้านบาท คิดเป็น 9.28% ของรายได้จากยอดขายสลาก แบ่งให้หน่วยงาน มูลนิธิ องค์กรการกุศลที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้จำหน่ายสลากบำรุงการกุศล 69,178 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.61% ของรายได้จากยอดขายสลาก สำนักสลากฯ หักเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 27,577 ล้านบาท คิดเป็น 3.03% ของรายได้จากยอดขายสลาก ที่เหลืออีก 679 ล้านบาท สำนักงานสลากฯ เก็บเข้า “กองทุนสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนาสังคม” ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 11/2559 (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

นอกจากสำนักงานสลากฯ มีรายได้หลักมาจากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศลแล้ว ในช่วงปี 2547-2550 ยังมีรายได้จากการขายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือ “หวยบนดิน” มาเสริม ทำให้ยอดขายสลากทั้งหมดเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว สำนักงานสลากฯ เริ่มออกรางวัลสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ครั้งแรกในงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ในปีงบประมาณ 2546 สำนักงานสลากฯ มีรายได้รวม 36,692 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2547 มีรายได้รวม 76,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน 108% ปี 2548 รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 82,718 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2549 มีรายได้รวม 92,764 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำรัฐประหารรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ สั่งยกเลิกโครงการหวยบนดิน วันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 จึงเป็นวันสุดท้ายที่มีการออกรางวัลหวยบนดิน ในปีงบประมาณ 2550 สำนักงานสลากฯ จึงมีรายได้รวมอยู่ที่ 55,474 ล้านบาท

ดูจากกราฟด้านบน พบว่าสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว จะมียอดขายสูงกว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศล และที่สำคัญ ในปีงบประมาณ 2549 เป็นปีที่สำนักงานสลากฯ มีรายได้จากการขายสลากสูงที่สุดในรอบ 20 ปี มากกว่าปี 2558 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 71,040 ล้านบาท แสดงให้เห็นตลาดยังมีความต้องการสลากอยู่เป็นจำนวนมาก และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลตัดสินใจพิมพ์สลากเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการ จาก 37 ล้านฉบับคู่ในปี 2558 เป็น 60 ล้านฉบับคู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาขายสลากเกินราคา

อนึ่ง การคำนวณหาจำนวนคนที่ถูกรางวัลที่ 1 คำนวณจากปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศลทั้งหมดที่พิมพ์ออกจำหน่ายในแต่ละงวด และอยู่ภายใต้สมมติฐาน สลากทุกใบมีเลขรางวัลอยู่ 6 หลัก คือ 0-999,999 โอกาสของคนถูกรางวัลที่ 1 มีความน่าจะเป็นเพียง 1 ในล้าน หากซื้อสลากคนละ 1 คู่ ทุก 1 ล้านฉบับคู่ ก็จะมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 เพียง 1 คน ยกตัวอย่าง ปี 2558 สำนักงานสลากฯพิมพ์สลากขาย 37 ล้านฉบับคู่ ก็จะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ไม่เกิน 37 คน ในรอบ 1 ปี มีการออกรางวัลทั้งหมด 24 ครั้ง หากซื้อสลากคนละ 1 ฉบับคู่ คาดว่าในปีนี้น่าจะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ไม่เกิน 888 คน ภายใต้หลักการดังกล่าว นำมาคำนวณย้อนหลังกลับไปอีก 19 ปี รวมแล้วคาดว่าจะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ไม่เกิน 11,502 คน หรือเฉลี่ยปีละ 575 คน