ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 ต.ค. – 4 พ.ย. 2559: “พาณิชย์ชี้ชัด เกษตรกรขายข้าวไม่ต้องจดทะเบียน – สมาคมโรงสียุติบทบาท ถูกตราหน้าเป้นผู้ร้าย” และ “ถล่ม 4 อำเภอปัตตานี ระเบิดเซเว่นฯ-ยิงทหาร”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 ต.ค. – 4 พ.ย. 2559: “พาณิชย์ชี้ชัด เกษตรกรขายข้าวไม่ต้องจดทะเบียน – สมาคมโรงสียุติบทบาท ถูกตราหน้าเป้นผู้ร้าย” และ “ถล่ม 4 อำเภอปัตตานี ระเบิดเซเว่นฯ-ยิงทหาร”

5 พฤศจิกายน 2016


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 ต.ค. – 4 พ.ย. 2559

  • พาณิชย์ชี้ชัด เกษตรกรขายข้าวไม่ต้องจดทะเบียน – สมาคมโรงสียุติบทบาท ถูกตราหน้าเป็นผู้ร้าย
  • บังคับแล้ว รับงานไปทำที่บ้าน ต้องได้ค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าทำในสถานประกอบการ
  • กลองสลากฯ เรียกปรับปรุงสัญญา ค้าเกินราคาโดนเชือด!!
  • รื้อตู้โทรศัพท์สาธารณะทั่ว กทม. ตั้งเป้าเสร็จ 1 ธ.ค.
  • ถล่ม 4 อำเภอปัตตานี ระเบิดเซเว่นฯ-ยิงทหาร
  • พาณิชย์ชี้ชัด เกษตรกรขายข้าวไม่ต้องจดทะเบียน – สมาคมโรงสียุติบทบาท ถูกตราหน้าเป็นผู้ร้าย

    นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/725286)
    นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/725286)

    จากกรณีที่ราคาข้าวเหลือกตกต่ำจนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต้องหาทางออกด้วยการขายข้าวเองทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ จนเกิดการตั้งคำถามว่า การขายข้าวเองดังกล่าวจะต้องมีการจดทะเบียนใดๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่า เกษตรกรที่ต้องการขายข้าว ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เนื่องจากไม่เข้าตามคำนิยามของ “ผู้ประกอบพาณิชยกิจ” ซึ่งหมายถึง การประกอบการค้าขายเป็นอาชีพปกติ ประกอบกับประกาศกระทรวงฯ ฉบับที่ 93 ยกเว้นการจดทะเบียนพาณิชย์สำหรับพาณิชยกิจของกลุ่มเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการขายข้าวเองทางออนไลน์ ซึ่งปกติการค้าขายทางออนไลน์ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ แต่เนื่องจากการขายข้าวของเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกร ไม่เข้านิยามตาม พ.ร.บ. ทะเบียนพาณิชย์ จึงไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์เช่นกัน ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมชาวนาและกลุ่มชาวนาในการค้าข้าวผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ (e-commerce)โดยมีหลายหน่วยงานของกระทรวงที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ

    นายมานัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย  ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1478151585)
    นายมานัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1478151585)

    ขณะเดียวกัน ท่ามกลางกระแสราคาข้าวเปลือกตกต่ำนั้น โรงสีข้าวต่างๆ ก็ตกเป็นจำเลยสังคมในฐานะ “พ่อค้าคนกลาง” ที่กดราคาเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ต่อเรื่องดังกล่าว นายมานัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ออกมาแถลงข่าวว่า ตนขอยุติบทบาทการเป็นนายกสมาคมพร้อมกับคณะกรรมการของสมาคมโรงสีข้าวไทยทั้งชุด โดยให้เหตุผลว่า ตนพร้อมด้วยสมาชิกไม่สามารถให้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาอย่างที่รัฐบาลต้องการได้ แม้จะเข้าไปให้ข้อมูลต่อภาครัฐแล้ว แต่ข้อมูลกลับถูกบิดเบือนจนเป็นจำเลยสังคม ถูกกล่าวหาว่ากดราคารับซื้อข้าวเปลือก

    “ยืนยันว่าทางสมาชิกสมาคมโรงสี รวมทั้งตนได้ทำการซื้อขายซึ่งเป็นไปตามกลไกของตลาด ไม่ได้มีการกดราคาการซื้อขายข้าวจากชาวนา รวมทั้งไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือมีความเกี่ยวข้องการเมืองในการกดราคาแค่อย่างไร”

    อย่างไรก็ดี แม้จะยุติบทบาทในฐานะนายกสมาคม แต่นายมานัสยืนยันว่าการรับซื้อข้าวจะยังเป็นไปตามปรกติตามตามธุรกิจและหน้าที่ พร้อมทั้งยืนยันว่าทางโรงสีไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง และพร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบกรณีถูกกล่าวหาว่าโกงตาชั่งและความชื้น

    บังคับแล้ว รับงานไปทำที่บ้าน ค่าตอบแทนต้องไม่น้อยกว่าทำในสถานประกอบการ

    วันที่ 31 ต.ค. 2559 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน เรื่อง อัตราค่าตอบแทนในงานที่รับไปทําที่บ้าน มีเนื้อหาระบุว่า โดยที่มาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทําที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓ การกําหนดค่าตอบแทนในงานที่รับไปทําที่บ้าน หากงานที่รับไปทําที่บ้านมีลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกัน และปริมาณเท่ากัน ให้ผู้จ้างงานกําหนดค่าตอบแทนให้แก่ผู้รับงานไปทําที่บ้านไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้าง ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามที่คณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้านกําหนด และต้องไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๘ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้รับงานไปทําที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓ คณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน จึงออกประกาศไว้
    ดังต่อไปนี้

    ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

    ข้อ ๒ อัตราค่าตอบแทนของงานที่รับไปทําที่บ้านในงานที่มีการจ้างงานกันในสถานประกอบกิจการ ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ เมื่อคํานวณต่อหน่วยตามลักษณะงานคุณภาพอย่างเดียวกันและปริมาณเท่ากัน
    ข้อ ๓ อัตราค่าตอบแทนของงานที่รับไปทําที่บ้านในงานที่ไม่มีการจ้างงานกันในสถาน ประกอบกิจการ ให้เป็นไปตามที่ผู้จ้างงานและผู้รับงานไปทําที่บ้านตกลงกัน
    ข้อ ๔ อัตราค่าตอบแทนของงานที่รับไปทําที่บ้านตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ต้องไม่น้อยกว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ําตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานกําหนด
    ข้อ ๕ ให้พนักงานตรวจแรงงานมีอํานาจวินิจฉัย กรณีมีข้อสงสัยว่าอัตราค่าตอบแทนของงานที่รับไปทําที่บ้านตามข้อ ๒ หรือข้อ ๓ น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน

    ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙

    หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ
ปลัดกระทรวงแรงงาน
ประธานกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน

    กลองสลากฯ เรียกปรับปรุงสัญญา ค้าเกินราคาโดนเชือด!!

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/771906)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/771906)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2559 พ.ท. หนุน ศันสนาคม กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ในวันที่ 19-25 พ.ย. 2559 สำนักงานสลากฯ จะเรียกผู้ค้าสลากรายย่อยทั้งหมด 70,000 ราย หรือคิดเป็น 85% ของจำนวนลอตเตอรี่งวดละ 60 ล้านฉบับคู่ มาทำสัญญาใหม่ที่ได้ปรับปรุงเงื่อนไข โดยเฉพาะการกำหนดว่าหากผู้ค้ามีการขายสลากฯ เกินราคา หรือนำไปขายรวมชุด หรือไม่ได้มีการจำหน่ายสลากฯ เอง จะถูกยกเลิกสัญญาทันที ขณะที่ตั้งเป้าหมายเรียกคืนสลากฯ จากผู้ค้าที่ทำผิดสัญญาประมาณ 10,000 ราย หรือคิดเป็นจำนวนสลากฯ เท่ากับ 5 ล้านฉบับคู่

    “การทำสัญญาครั้งนี้จะมีความรัดกุมเพิ่มขึ้น หากไม่ได้ขายเองสลาก หรือนำไปขายส่งต่ออยู่ในมือคนอื่น หรือนำไปรวมชุด และขายเกินราคา จะถือว่าผู้ค้ารายย่อยทำผิดสัญญาจะถูกยกเลิกสัญญาทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น” กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าว

    ทั้งนี้ การจัดทำสัญญาใหม่ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2559 – 1 มิ.ย. 2560 สำนักงานสลากฯ ยังคงคัดเลือกให้กับผู้ค้ารายเดิม โดยปัจจุบันมีสลากฯ อยู่ในระบบทั้งสิ้น 60 ล้านฉบับคู่ แบ่งเป็นมูลนิธิ องค์กร สมาคมคนพิการที่มีอยู่ 900 องค์กร ในสัดส่วน 15.67% ส่วนรายย่อย 70,000 รายคิดเป็น 85% เป็นผู้ค้าที่ได้รับโควตา 28.39% และผู้ค้ารายย่อยผ่านโครงการสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ล่วงหน้ากับธนาคารกรุงไทยอีก 55.94% ซึ่งยอมรับว่าปัญหาการขายสลากฯ เกินราคาส่วนใหญ่มาจากผู้ค้ารายย่อย ทำให้สำนักงานสลากฯ ต้องปรับเปลี่ยนสัญญาให้ชัดเจนและครอบคลุม

    ส่วนโควตาสลากมูลนิธิ องค์กร สมาคมคนพิการ หลังจากที่ได้ทำสัญญาคุณธรรมกันไปแล้ว ภายใต้สัญญาใหม่ ระบุว่า หากพบว่ามูลนิธิ องค์กร สมาคมคนพิการ รายใดที่ปล่อยสลากฯ ให้ตัวแทนไปจำหน่ายแล้วพบว่ามีการขายเกินราคา จะทำหนังสือแจ้งเตือน 2 ครั้ง และหากพบว่า ยังขายเกินราคาอีกก็จะยึดโควตาในส่วนที่ทำผิดคืน ขณะเดียวกันจะมีการประสานทีมเฉพาะกิจ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศอย่างเข้มข้น หากพบเจอจะถูกดำเนินการตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำหนดไว้ ที่มีโทษจำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ

    พ.ท. หนุน ยอมรับว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีประชาชนร้องเรียนว่าพบปัญหาการขายสลากฯ เกินราคาเป็นจำนวนมากกว่า 1,200 ราย โดยขายตั้งแต่คู่ละ 100-120 บาท นอกจากนี้ยังมีการนำสลากกินแบ่งฯ มารวมชุดที่มีตั้งแต่ 3-15 ฉบับคู่ โดยสำนักงานสลากฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและจับกุมผู้ค้าไปแล้วกว่า 487 ราย มีการยกเลิกสัญญาระบบโควตาแล้ว 153 ราย และตัดสิทธิ์ผ่านโครงการสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ล่วงหน้าผ่านธนาคารกรุงไทย 57 ราย

    “ทั้งหมดนี้ จะไม่มีโอกาสรับสลากฯ ไปจำหน่ายได้อีกเด็ดขาด ส่วนที่เหลือจะถูกขึ้นบัญชีดำไว้ และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับสำนักงานสลากฯ โดยยืนยันว่าการตรวจสอบครั้งนี้จะไม่กระทบผู้ขายจริงที่ขายในราคาคู่ละ 80 บาท” พ.ท. หนุน กล่าว

    ด้าน พล.ต. ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ ได้ปรับวันรับสลากฯ จอง โดยเลื่อนให้ช้าลงอีก 5 วัน จากเดิมปกติรับสลากฯ จองวันที่ 2 และ17 ของทุกเดือน เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 7 และ 22 ของทุกเดือนแทน เพราะเป็นวันสุดท้ายในการจำหน่ายสลากฯ ของวังสะพุง ทำให้รายย่อยที่รับสลากฯ ไปจะไม่สามารถขายต่อเพื่อนำไปรวมชุดได้ทัน และจะมีเวลาเหลือขายสลากฯ ต่องวดแค่ 9 วันเท่านั้น

    “การลดและเลื่อนเวลารับสลากฯ เพื่อให้มีเวลาจำหน่ายให้น้อยลง อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาในการรวมชุด และขายส่งที่ทำได้ยากมากขึ้น มาตรการนี้จะมีผลทันทีในการออกสลากฯ งวดวันที่ 1 ธ.ค. 2559 ที่จะเปิดให้จองวันที่ 3 พ.ย. 2559 ซึ่งจะได้รับสลากวันที่ 22 พ.ย. 2559 และหากพบว่าตลาดมีการเลื่อนวัน ทำให้มีเวลาขายรวมชุดได้อีก ก็จะสามารถเปลี่ยนวันรับจองออกไปได้อีก จนกว่าปัญหาจะหมดไป” พล.ต. ฉลองรัฐ กล่าว

    รื้อตู้โทรศัพท์สาธารณะทั่ว กทม. ตั้งเป้าเสร็จ 1 ธ.ค.

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และคณะผู้บริหาร เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด กทม. เป็นครั้งแรก ที่ศาลาว่าการ กทม. โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้อำนวยการเขต ผู้อำนวยการสำนัก และหัวหน้าส่วนงานต่างๆ

    ทั้งนี้ นายศรชัย โตวานิชกุล รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา กทม. รายงานความคืบหน้าการรื้อย้ายตู้โทรศัพท์สาธารณะในพื้นที่ 50 สำนักงานเขตทั่วกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นี้ ว่า ขณะนี้มี 20 เขต ที่ได้ทำการรื้อย้ายตู้โทรศัพท์สาธารณะ ได้แก่ เขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตวัฒนา เขตสวนหลวง เขตคลองสาน เขตตลิ่งชัน เขตมีนบุรี เขตหนองจอก เขตบึงกุ่ม เขตคลองสามวา เขตสะพานสูง เขตสัมพันธวงศ์ เขตลาดพร้าว เขตจอมทอง เขตทวีวัฒนา เขตราษฎร์บูรณะ เขตบางเขน เขตคอแหลม เขตบางกอกใหญ่ และเขตทุ่งครุ และอยู่ระหว่างดำเนินการรื้อถอนบางส่วนอีก 16 เขต เช่น เขตดุสิต เขตลาดกระบัง ฯลฯ และมีเขตที่ไม่มีรายงานเรื่องการรื้อถอน 14 เขต เช่น เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตคลองเตย เขตปทุมวัน เขตพระโขนง เขตราชเทวี เป็นต้น

    “ขณะนี้ได้ดำเนินการรื้อย้ายจำนวน 854 ตู้ เหลืออีก 3,189 ตู้ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ปัญหาอุปสรรคที่ไม่สามารถรื้อถอนตู้ได้ อาจเกิดจากพื้นที่เก็บตู้โทรศัพท์สาธารณะ การติดต่อประสานงานของคู่สายโทรศัพท์ และบางพื้นที่อยู่ในบริเวณจัดพระราชพิธีพระบรมศพ” นายศรชัยกล่าว

    ด้าน พล.ต.อ. อัศวิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าหลายเขตขาดบุคลากรและไม่มีพื้นที่เก็บของ เช่น เขตดุสิต เขตบางขุนเทียน เขตลาดกระบัง ฯลฯ แต่จะเร่งแก้ไขปัญหา โดยตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2559 นี้

    ถล่ม 4 อำเภอปัตตานี ระเบิดเซเว่นฯ-ยิงทหาร

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/772491)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/772491)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า จากเหตุคนร้ายก่อกวนสร้างความรุนแรงในพื้นที่ จ.ปัตตานี นราธิวาส สงขลา ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 21.30 น. วันที่ 2 พ.ย. (คนร้ายป่วนใต้ ระเบิดหลายจุด เผายางรถ ยิงกราดใส่จนท.ทหาร-ตร.) พ.ต.อ. ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ได้รับรายงานจากศูนย์วิทยุสื่อสารตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีว่า เกิดเหตุก่อกวนในหลายพื้นที่ โดยที่ อ.หนองจิก คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้ลอบวางระเบิดที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ตั้งอยู่ภายในปั๊ม ปตท. บ้านดอนยาง ริมถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ ม.4 ต.บางเขา จนเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง จึงได้ประสานไปยังรถดับเพลิงให้เข้าไประงับเหตุ พร้อมนำกำลังไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย นายวีรนันท์ เพ็งจันทร์ ผวจ.ปัตตานี

    พบว่าเพลิงกำลังลุกไหม้ร้านดังกล่าวอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งระดมฉีดน้ำเพื่อสกัดไม่ให้ไฟลุกลาม เกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อปั๊มน้ำมัน เจ้าหน้าที่ต้องประสานรถดับเพลิงจากพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาเสริม ใช้เวลาร่วม 30 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ปราฏว่าเพลิงได้เผาผลาญร้านสะดวกซื้อเสียหายทั้งหมด รวมไปถึงร้านที่อยู่ติดกันด้วย

    แต่ทันใดนั้น ได้เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องกระโดดหมอบกับพื้น แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากการตรวจสอบพบว่า จุดเกิดเหตุอยู่ที่ต้นไม้ทางเข้าปั๊มน้ำมัน พบชิ้นส่วนกล่องเหล็กและมีชิ้นส่วนระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ คาดว่าระเบิดมีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม โดยเจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นพื้นที่เพื่อความปลอดภัย และได้เข้าตรวจสอบอีกครั้ง

    จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ปั๊มน้ำมันได้เปิดบริการปกติ เช่นเดียวกับร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะมีคนร้าย 2 คนบุกเข้าไปในร้าน แล้วใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อไล่ประชาชนและพนักงานออก จากนั้นคนร้ายจึงได้ซุกระเบิดไว้ในร้าน เพียง 15 นาที ก็เกิดระเบิดขึ้น และเกิดไฟไหม้ตามมา ทำให้พนักงานภายในปั๊มต่างเสียขวัญ ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า จำนวน 2 จุด ในพื้นที่หมู่ที่ 7 ต.ตุยง และพื้นที่หมู่ 1 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าได้รับความเสียหายจำนวน 2 ต้น

    ขณะที่ อ.เมืองปัตตานี ได้มีคนร้าย 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีแดง 1 คัน และขาว 1 คัน เป็นพาหนะ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ ป้อมปฏิบัติการที่ 2 ร.1514 ฉก.ปัตตานี 23 ต.บานา อ.เมือง เป็นเหตุให้ พลทหารนพพล แก้วเพชร เสียชีวิต และมีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เหตุเกิดขณะผู้ตาย กำลังดูแลความปลอดภัยอยู่ภายในป้อมยาม บริเวณสำนักงานทหารผ่านศึก ม.4 ต.บานา นอกจากนี้ คนร้ายยังลอบวางระเบิดหม้อแปลงไฟฟ้า 2 จุด บริเวณสำนักงานที่ทำการทหารผ่านศึก หมู่ 4 ต.บานา และจุดที่ 2 พื้นที่ หมู่ 2 ต.ตะลุโบะ อ.เมืองปัตตานี

    ส่วนที่ อ.สายบุรี คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในจุดตรวจยุทธศาสตร์ ม.1 ต.เตราะบอน ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องยิงตอบโต้เพื่อไม่ให้คนร้ายบุกเข้ามา เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า บริเวณถนนสาย 42 ปัตตานี-นราธิวาส หมู่ 6 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี ทำให้เสาไฟฟ้าล้มได้รับความเสียหายจำนวน 4 ต้น และกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ดับ นอกจากนี้ คนร้ายได้เผายางรถยนต์ก่อกวนในพื้นที่ ม.2 ต.บือเระ

    ขณะที่ อ.ยะหริ่ง มีเหตุก่อความไม่สงบในพื้นที่ จำนวน 3 จุด จุดที่ 1 เหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.4205 ทหารพรานที่ 42 บริเวณ หมู่ 5 บ้านจะบังโต๊ะกู ต.ตันหยงดาลอ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จุดที่ 2 เหตุเผายางรถยนต์ บริเวณหมู่ 1 บ้านโต๊ะตีเต ต.ตันหยงจึงงา อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และจุดที่ 3 เกิดเหตุระเบิดขึ้น 2 จุด บริเวณ ถนนสาย 42 ปัตตานี-นราธิวาส หมู่ 3 บ้านตำมะสู ต.ตันหยงดาลอ อ.ยะหริ่ง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

    หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ. ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ได้สั่งการให้ตำรวจทั้ง 15 โรงพักใน 12 อำเภอ วางกำลังคุมเข้มพร้อมสนธิกำลังร่วม 3 ฝ่าย เข้าควบคุมพื้นที่เป้าหมายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันเหตุต่อเนื่อง เชื่อว่าคนร้ายพยายามตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อสร้างสถานการณ์