ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 1-7 ต.ค. 2559: “กังขาอีก ‘บิ๊กป้อมและคณะ’ บินหรูเกือบ 21 ล้าน” และ “กักตัวนักกิจกรรมฮ่องกง ‘โจชัว หว่อง’ ส่งกลับประเทศ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 1-7 ต.ค. 2559: “กังขาอีก ‘บิ๊กป้อมและคณะ’ บินหรูเกือบ 21 ล้าน” และ “กักตัวนักกิจกรรมฮ่องกง ‘โจชัว หว่อง’ ส่งกลับประเทศ”

8 ตุลาคม 2016


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 1-7 ต.ค. 2559

  • กังขาอีก “บิ๊กป้อมและคณะ” บินหรูเกือบ 21 ล้าน
  • เล็งแก้ “เมาแล้วขับ” นั่งมาด้วยโดนทั้งคัน
  • กทม. ทุบเกาะกลางถนน แก้ปัญหาจราจร
  • เจรจาไม่สำเร็จ แผงลอยสยามยัน “ขายต่อ”
  • กักตัวนักกิจกรรมฮ่องกง “โจชัว หว่อง” ส่งกลับประเทศ
  • กังขาอีก “บิ๊กป้อมและคณะ” บินหรูเกือบ 21 ล้าน

    ที่มาภาพ: สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ (https://goo.gl/ZnfGez)
    ที่มาภาพ: สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ (https://goo.gl/ZnfGez)

    เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2559 เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้เผยแพร่เอกสาร ประกาศราคากลางจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปี พ.ศ. 2559 ซึ่งรายการหนึ่งคือราคากลางการจ้างการรับขนคนโดยสารทางอากาศโดยเครื่องบินพาณิชย์ เมืองฮอนโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2599 โดยรายการดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายรวมสูงถึง 20,953,800 บาท และเป็นที่เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ผู้ที่เดินไปทางยังฮาวายในช่วงนั้นก็คือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เพื่อร่วมในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ก.ย. – 1 ต.ค. 2559 ณ มลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (https://goo.gl/0LSXLv)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (https://goo.gl/0LSXLv)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (https://goo.gl/0LSXLv)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (https://goo.gl/0LSXLv)

    การเปิดเผยราคาดังกล่าว ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงการใช้งบประมาณครั้งนี้ ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่

    ต่อมา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่าไม่ได้มีการเก็บเงินเต็มราคาตามเอกสาร เพราะที่ปรากฏในเอกสารนั้นเป็นแค่ราคากลางและประเมิน โดยจะมีค่าใช้จ่ายจริงตามมาทีหลัง นอกจากนี้ เรื่องอาหารการกินบนเครื่องก็เป็นอาหารไทยธรรมดา ไม่ได้มีอาหารอะไรพิเศษ

    “การใช้บริการการบินไทยก็เหมือนการช่วยการบินไทย เหมือนเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา เงินหน่วยงานราชการไปช่วยหน่วยงานของรัฐ ดีกว่าไปช่วยคนอื่น” พล.อ. ประวิตร กล่าว

    อนึ่ง ในเวลาต่อมาได้มีการนำเอกสารรายชื่อผู้ร่วมเที่ยวบินดังกล่าวมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ทำให้ทางการบินไทยต้องออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับเพจดังกล่าว เนื่องจากข้อมูลของลูกค้านั้นเป็นความลับ และในวันเดินทางจริงก็มีการถอดบางรายชื่อออกไปเนื่องจากไม่ได้มีการเดินทางไปด้วย จึงน่าสงสัยว่าเป็นความพยายามจะทำให้การบินไทยเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่รับเรื่องเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

    เล็งแก้ “เมาแล้วขับ” นั่งมาด้วยโดนทั้งคัน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://goo.gl/bL8Km8)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://goo.gl/bL8Km8)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กระทรวงคมนาคมได้รายงานแนวทางและมาตรการการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนให้ ครม. รับทราบ มาตรการหนึ่งที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษและเน้นย้ำให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการ คือการแก้ไขปัญหาเมาแล้วขับ โดยสั่งการให้ไปศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายของต่างประเทศที่มีการกำหนดบทลงโทษเอาผิดถึงผู้โดยสารที่นั่งในรถคันที่คนขับเมาด้วยว่าสามารถนำมาบังคับใช้กับไทยได้หรือไม่ เพื่อลดปัญหาเมาแล้วขับ

    ขณะที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้มีการเข้มงวดเรื่องการขอใบอนุญาตขับขี่ให้ออกยากยึดง่าย โดยในอนาคตให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ปรับเพิ่มเกณฑ์การสอบผ่านข้อเขียนให้เพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่ต้องทำให้ 90% จึงจะถือว่าสอบผ่านข้อเขียน ส่วนการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้มีการแก้ไข ลดความเร็วในเขตเมืองในอัตราที่เหมาะสม และเพิ่มอัตราโทษสำหรับผู้กระทำความผิดให้สูงขึ้น

    นายออมสินกล่าวต่อถึงแนวทางการออกใบอนุญาตขับขี่ว่า ได้รายงานที่ประชุม ครม. ว่า ขณะนี้ได้แก้กฎหมายใน 3 ประเด็น คือ 1. เพิ่มความเข้มงวดการออกใบอนุญาตขับรถให้ออกยาก-ยึดง่าย 2. การเพิกถอนใบอนุญาตจะครอบคลุมไปถึงรถยนต์ส่วนบุคคลด้วย 3. เพิ่มอัตราโทษให้สูงขึ้นและเพิ่มบทกำหนดโทษผู้ขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และเจ้าของรถหรือคนขับรถยินยอมให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถ หรือมีใบอนุญาตขับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้ เข้ามาขับรถยนต์ของตนเอง ถือว่ามีความผิดด้วย

    นอกจากนี้ ในส่วนรถโดยสารสาธารณะได้แก้ไขกฎหมาย 2 ประเด็น คือ 1. การกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเรื่องการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการด้านการขนส่ง เพื่อสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยกับรถโดยสารสาธารณะ และ 2. การปรับปรุงระบบการเยียวยา เพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และให้มีการคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับทุกที่นั่งของรถยนต์ด้วย

    นายออมสินกล่าวว่า กระทรวงยังได้นำเสนอแนวทางการลดอุบัติเหตุทางถนนด้วยใบอนุญาตขับรถแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ ครม. รับทราบด้วย โดย ขบ. ได้จัดทำโครงการ “มั่นใจทั่วไทยรถใช้จีพีเอส” ด้วยการออกประกาศให้รถโดยสารสาธารณะและรถลากจูงที่จดทะเบียนก่อน ม.ค. 2559 ต้องติดตั้งจีพีเอสให้แล้วเสร็จในปี 60 ส่วนรถโดยสารสาธารณะ รถลากจูง และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่จดทะเบียนตั้งแต่ ม.ค. 2559 ต้องติดจีพีเอสทันที รวมถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ตั้งแต่สิบล้อขึ้นไปทุกคันให้แล้วเสร็จในปี 2562 และในปัจจุบัน ขบ. อยู่ระหว่างจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเดินระบบรถจีพีเอสทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค นอกจากนี้ ได้ทำโครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ในการออกใบอนุญาตขับรถแบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน โดยจะมีการออกใบอนุญาติขับขี่อิเล็กทรอนิกส์รูปแบบใหม่ให้เป็นแบบพาสติกที่มีแถบแม่เหล็ก โดยสามารถให้นำมาใช้ร่วมกับจีพีเอสเพื่อกำกับดูแลและควบคุมพฤติผู้ขับขี่รถยนต์ให้เกิดความปลอดภัย คาดว่าจะสามารถเริ่มนำมาใช้ได้ในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2560 และจะดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศต่อไป

    กทม. ทุบเกาะกลางถนน แก้ปัญหาจราจร

    วันที่ 4 ต.ค. 2559 เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า นายประสาร พิทักษ์วรรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักการโยธา (สนย.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาแนวทางการทุบทำลายเกาะกลางถนนเพื่อเพิ่มช่องทางจราจร ในการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า กทม. ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ร่วมแก้ปัญหาจราจรตามที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ประสานขอปรับปรุงทางกายภาพจำนวน 44 จุด ซึ่งในจำนวนนี้มีส่วนที่ กทม. รับผิดชอบจำนวน 14 จุด โดยสำนักการโยธาได้แก้ไขปรับปรุงทางกายภาพ เช่น ทุบทิ้ง ลดขนาด เนื่องจากสภาพทางกายภาพแต่ละเส้นทางมีปัญหาแตกต่างกัน เช่น ปัญหาคอขวด น้ำท่วมขัง ทำให้การจราจรติดขัด

    “ขณะนี้สำนักการโยธาได้ดำเนินการเสร็จแล้ว จำนวน 11 จุด ประกอบด้วย 1. โค้งตลาดศรีเขมา 2. จุดกลับรถแยกโพธิ์แก้วขาเข้า 3. จุดกลับรถหน้าห้างพาซิโอ 4. แยกพาราไดซ์ 5. แยกผ่านพิภพลีลา 6. ปากซอยสุขุมวิท 71 7. สนามหลวง 2 ถนนทวีวัฒนา 8. สี่แยกถนนตก 9. ซอยเจริญนคร 18 10. ซอยเจริญนคร 24 11. บริเวณทางรถไฟใต้สะพานสุนทรโกษา และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3 จุด ได้แก่ 1. ถนนวัฒนธรรม แยกเทียมร่วมมิตร 2. ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า บริเวณก่อนถึงป้ายรถเมล์ก่อนถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ 3. แยกเคหะร่มเกล้า ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. นี้” นายประสารกล่าว

    นายประสารกล่าวต่อว่า สำหรับรายชื่อเส้นทางที่จะมีการปรับปรุงทางกายภาพ จำนวน 44 จุด ประกอบด้วย 1. ถนนวัฒนธรรม แยกเทียมร่วมมิตร 2. แยกผ่านพิภพลีลา 3. โค้งตลาดศรีเขมา 4. ถนนประเสริฐมนูกิจขาเข้ามุ่งหน้าถนนประดิษฐ์มนูธรรม 5. ถนนประเสริฐมนูกิจขาออกเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประดิษฐ์มนูธรรมไปแยกสุคนธสวัสดิ์ 6. ถนนสุคนธสวัสดิ์เลี้ยวออกถนนประเสริฐมนูกิจ 7. จุดกลับรถหน้าเดอะวอล์คถนนประเสริฐมนูกิจ 8. ถนนประดิษฐ์มนูธรรมขาเข้าเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประเสริฐมนูกิจ 9. ถนนประดิษฐ์มนูธรรมขาออกเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประเสริฐมนูกิจไปแยกสุคนธสวัสดิ์ 10. ถนนประเสริฐมนูทางออกเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประดิษฐ์มนูธรรม 11. ถนนลาดปลาเค้าเลี้ยวซ้ายประเสริฐมนูกิจขาออก

    12. ถนนรัชดาราม ขาเข้าก่อนถึงแยกสวนน้ำ 13. แยกเคหะร่มเกล้า 14. จุดกลับรถแยกโพธิ์แก้วขาเข้า 15. จุดกลับรถหน้าห้างพาซิโอ 16. แยกพาราไดซ์ 17. ปากซอยสุขุมวิท 71 18. บริเวณทางเข้าห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง 19. แยกบางพรม 20. สนามหลวง 2 ถนนทวีวัฒนา 21. โค้งใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ ถนนกาญจนาภิเษก 22. ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า บริเวณก่อนถึงป้ายรถเมล์ก่อนถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า 23. ถนนเจริญนคร ตั้งแต่แยกเจริญนคร-แยกคลองต้นไทร 24. แยกพระราม 2 ถนนสุขสวัสดิ์ 25. ทางเบี่ยงหมู่บ้านพระราม 2 26. ช่องกลับรถตรงข้ามจุดตัดเพชร-ราชพฤกษ์ 27. ถนนเชื่อมสัมพันธ์สี่แยกหน้าสำนักงานเขตหนองจอก

    28. ถนนเฉลิมพระเกียรติร.9 29.ซอยลาดกระบัง 54 30. ถนนสังฆปรีชา 31. จุดกลับรถแยกวัดพลมานีย์ 32. จุดกลับรถเชื่อมสัมพันธ์ 33. ถนนเลียบวารี ซอย 8 35. ถนนสุวินทวงศ์ตัดถนนคลองสามวา 36. ปากซอยสุวินทวงศ์ 28 37. สี่แยกถนนตก 38. ซอยเจริญนคร 18 39. ซอยเจริญนคร 24 40. แยกบางบอน3 41. แยกบางบอน 5 42. ทางเบี่ยงเข้าทางหลักออกทางคู่ขนาน ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า 43. ปากซอยลาดกระบัง 26 และ 44. บริเวณทางรถไฟใต้สะพานสุนทรโกษา

    อย่างไรก็ตาม ยังคังมีบางเส้นทางที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากพิจารณาแล้วไม่มีความเหมาะสม

    เจรจาไม่สำเร็จ แผงลอยสยามยัน “ขายต่อ”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวไทย (http://www.tnamcot.com/content/570643)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวไทย (http://www.tnamcot.com/content/570643)

    วันที่ 6 ต.ค. 2559 เว็บไซต์สำนักข่าวไทยรายงานว่า กลุ่มผู้ค้าสยามสแควร์ รวมตัวกันเจรจากับกรุงเทพมหานคร กรณีการจัดระเบียบคืนทางเท้าให้ประชาชน โดยมีนายสัจจะ คนตรง รองผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ พร้อมด้วย นางมรกต สนิทธางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตปทุมวัน เป็นประธานร่วมเจรจา โดยทางผู้ค้ายื่นขอเสนอขอให้ กทม. อนุญาตให้ตั้งแผงค้าในช่วงเวลากลางคืน ช่วงเวลาที่ไม่มีประชาชนสัญจรแล้ว ยอมลดพื้นที่ขายของ หรือยืดระยะเวลาออกไป เพื่อให้ผู้ค้าเตรียมตัว เพราะพื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนพงษ์พระรามที่ กทม. จัดหาไว้รองรับผู้ค้าไม่มีคนเดินและเป็นแหล่งมั่วสุม ไม่สามารถค้าขายได้ ทั้งนี้ กลุ่มผู้ค้ายืนยันจะมาตั้งแผงค้าขายของเช่นเดิม โดยไม่รับรองว่าจะเกิดความรุนแรงหรือไม่

    ด้านนายสัจจะ คนตรง รองผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ ระบุว่า กทม. ผ่อนผันระยะเวลาให้ผู้ค้ามากว่า 5 ครั้งแล้ว แต่ทางผู้ค้ายังค้าขายตามปกติ ส่วนพื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนพงษ์พระราม สามารถรองรับผู้ค้าได้กว่า 800 ราย แต่มีผู้ค้ามาลงทะเบียนเพียงร้อยกว่าราย ยืนยัน เดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ปัญหาการจราจรติดขัด ขึ้นลงรถไฟฟ้า BTS ไม่สะดวก สร้างความเดือดร้อนต่อการสัญจรของประชาชน โดยประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร ตรึงกำลังเย็นวันที่ 6 ต.ค. 2559 ห้ามผู้ค้าตั้งแผงบนทางเท้า อย่างไรก็ตามจะพยายามไม่ให้เกิดความรุนแรง

    กักตัวนักกิจกรรมฮ่องกง “โจชัว หว่อง” ส่งกลับประเทศ

    โจชัว หว่อง ที่มาภาพ: เว็บไซต์ South China Morning Post (https://goo.gl/u9Ovuz)
    โจชัว หว่อง
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ South China Morning Post (https://goo.gl/u9Ovuz)

    วันที่ 5 ต.ค. 2559 เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า โจชัว หว่อง แกนนำนักศึกษาที่เข้าร่วมกับการชุมนุมชาวฮ่องกงประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีน ที่มีกำหนดเดินทางมาถึงประเทศไทย เวลา 23.00 น. เพื่อเข้าร่วมเป็นแขกรับเชิญพิเศษของงานปาฐกถา 6 ตุลาฯ ประจำปีนี้ ในหัวข้อ “การเมืองของคนรุ่นใหม่” ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันพฤหัสบดี ที่ 6 ตุลาคม 2559 ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกักตัวไว้ ไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และคาดว่าจะถูกส่งตัวกลับด้วยเครื่องบินเที่ยวต่อไปที่จะเดินทางไปยังฮ่องกง ด้วยสายการบินแอร์เอมิเรตส์ โดยทางมติชนออนไลน์อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า การกักตัวดังกล่าวเป็นไปตามคำขอซึ่งส่งมาเป็นหนังสือจากรัฐบาลจีน และไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้มากกว่านี้ เนื่องจากเป็นเคสชั้นความลับ และโจชัว หว่อง จะถูกส่งกลับฮ่องกงด้วยเที่ยวการบินแรก

    ต่อกรณีดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจีน ออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่ารัฐบาลจีนได้รับทราบเรื่องที่นายหว่องถูกกักตัวไม่ให้เข้าไทย และถูกส่งกลับไปยังฮ่องกงแล้ว และไม่ขอตอบรับหรือปฏิเสธกรณีที่ว่าจีนเป็นผู้ขอให้ทางการไทยไม่ให้นายหว่องเข้าประเทศ แต่ย้ำว่าจีนเคารพในศักยภาพของไทยที่จะควบคุมกลั่นกรองบุคคลที่จะเดินทางเข้าประเทศตามที่กฎหมายกำหนด (อ่านรายละเอียดที่นี่)

    ในเวลาต่อมา เมื่อโจชัว หว่อง เดินทางกลับถึงฮ่องกง ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ขณะที่ตนเดินทางถึงกรุงเทพฯ เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ตามเวลาฮ่องกง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองราว 20 คนเดินเข้ามาหา และนำหนังสือเดินทางของตนไป ก่อนที่จะถูกบังคับให้เข้าไปอยู่ในห้องขังของสถานีตำรวจที่สนามบินเป็นเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง โดยที่เจ้าหน้าที่ไทยไม่ยอมให้ตนติดต่อกับครอบครัวหรือทนายความแต่อย่างใด เมื่อถามว่า ตนถูกจับด้วยเหตุผลอะไร เจ้าหน้าที่ของไทยตอบเพียงว่า จะไม่ขออธิบายใดๆ และแจ้งเพียงว่า ตนมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์