กระแส FinTech หรือเทคโนโลยีทางการเงินยังคงมาแรงต่อเนื่องและเริ่มเปลี่ยน “ภูมิทัศน์” ของโลกการเงินทั้งไทยและต่างประเทศ จากนวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้ ปัจจุบันเริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ก้าวสู่ยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะจับมือเป็นพันธมิตรกับ FinTech, ตั้งกองทุนมาลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ, ตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาค้นคว้านวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ฯลฯ โดยเริ่มเปิดตัวกันไปบ้างแล้ว อาทิ กสิกรไทยเปิดตัว KBTG เดินหน้าผลักดันให้เกิด “ฟินเทค 2.0”และการเปิดตัวบริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด (Digital Ventures) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น
“Landscape” 4 ปี Digital Banking ไทย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 ME by TMB ได้จัดงานแถลงข่าวเล่าถึงมุมมองการเปลี่ยนแปลงของโลกการเงิน โดยนางสาวรัชดา เสริมศิลปกุล ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย ME by TMB เริ่มต้นกล่าวว่า หากย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ME by TMB เปรียบเสมือน Startup หรือ FinTech มาตั้งแต่ในตอนที่กระแสยังไม่ชัดเจนเท่าทุกวันนี้
โดยในปีแรกTMB ได้ออกผลิตภัณฑ์ดิจิทัลแบงก์กิ้งใหม่ภายใต้คอนเซปต์ว่า “Self-Service Banking to Get More” หรือ “ทำเองได้มากกว่า” ด้วยการให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีออมทรัพย์แบบออนไลน์ โดยเชื่อมโยงบัญชี ME กับบัญชีของธนาคารอื่นๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นบัญชีของธนาคารทหารไทยเท่านั้น ได้สูงสุด 3 บัญชี โดยการเปิดบัญชีในช่วงแรกของ ME by TMB จะต้องมายืนยันตัวบุคคลที่สาขา ซึ่งมีสาขาเพียง 4 สาขาในกรุงเทพฯ เท่านั้น หลังจากนั้นจึงสามารถฝาก-โอน-ถอนระหว่างบัญชีได้อย่างอิสระและหลายช่องทาง ทั้ง Internet Banking, Call Center หรือมาใช้บริการที่สาขาโดยจะเป็นการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ที่จัดไว้ ณ สาขาต่างๆ โดยไม่ต้องผ่านพนักงาน
ทั้งนี้ บัญชี ME by TMB มีจุดที่แตกต่างจากบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารอื่นๆ ณ ขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นให้ดอกเบี้ยที่สูง (สูงสุดที่ 1.8%), แสดงดอกเบี้ยรายวันเพื่อให้เห็นความเคลื่อนไหวของบัญชี, ไม่มีจำนวนเงินฝากขั้นต่ำเพื่อรักษาบัญชี, ไม่มีค่าธรรมเนียม กรณีที่เชื่อมโยงกับบัญชีอื่นๆ ของธนาคารทหารไทย และฟรี 2 ครั้งต่อเดือนสำหรับการเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารอื่นๆ เพื่อรองรับการฝาก-โอนในช่วงเวลาสำหรับเงินเดือนออกและต้องการจัดสรรเงิน เป็นต้น
“โมเดลของ ME by TMB เป็นบัญชีออนไลน์ การทำธุรกรรมจะเน้นทำด้วยตนเอง ทำให้ธนาคารไม่ต้องมีต้นทุนสาขาหรือพนักงานจำนวนมาก รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้อย่างการฝากเงินที่กลายเป็นรูปแบบ Cloud Saving เหมือนฝากไว้ในอากาศ จะใช้ก็ดึงลงมาถอน-โอน จะเก็บก็ฝากขึ้นไป ส่วนเงินที่เหลือในบัญชีก็ได้ดอกเบี้ยสูงเหมือนเดิม เป็นเหมือนที่เก็บเงิน ดังนั้น การบริการจัดการต้นทุนจึงมีประสิทธิภาพมากกว่า ให้ดอกเบี้ยที่สูง ให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าได้มากขึ้น เพราะสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา มี Call Center ที่ทำธุรกรรมแทนได้ หากไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้” นางสาวรัชดากล่าว
ขณะที่เรื่องความปลอดภัย ME by TMB ใช้หลักการว่าการถอนเงินออกจากบัญชีจะต้องโอนไปยังบัญชีที่เป็นชื่อเจ้าของบัญชีเท่านั้น ไม่สามารถโอนไปยังบัญชีอื่นที่ชื่อไม่ตรงกับที่สมัครได้เลย ดังนั้น ไม่ว่าจะทำธุรกรรมด้วยตนเองหรือผ่าน Call Center 24 ชั่วโมง หรือแม้แต่ถูกเจาะจากแฮกเกอร์ เงินก็จะยังถูกโอนภายในบัญชีของเจ้าของบัญชีเท่านั้น และหากจะทำธุรกรรมอื่นๆ ก็สามารถทำผ่านบัญชีปกติซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า ด้วยหลักการนี้จึงทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตให้ธนาคารทหารไทยใช้โมเดลธุรกิจแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดที่ต้องยืนยันตัวบุคคลที่สาขา ทำให้ในช่วงแรกลูกค้าในต่างจังหวัดไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ ซึ่งในเบื้องต้น ME by TMB จะใช้วิธีออกบูทเคลื่อนที่ตามต่างจังหวัด ต่อมา ME by TMB ได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึง ภายหลังธนาคารได้พัฒนาระบบ TMB Internet Banking ด้วยการให้ลูกค้าในต่างจังหวัดหรือลูกค้าที่ไม่สะดวกมาที่สาขาสามารถสมัครใช้บริการได้ด้วยการเชื่อมโยงผ่านบัญชีธนาคารทหารไทยที่เชื่อมกับกับระบบ TMB Internet Banking
“Mobile Banking” โต 50% – ยอดผู้ใช้ทะลุ 12 ล้านราย
ล่าสุด ME by TMB ได้พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเข้าถึงการให้บริการ นอกจากสาขา, Call Center, Internet Banking ที่มีอยู่เดิม เนื่องจากข้อมูลทั้งจาก ธปท. และจาก ME by TMB ระบุตรงกันว่า Mobile Banking ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต โดย Mobile Banking มีผู้ใช้งาน 12 ล้านคน เติบโตถึง 50% ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากประชาชนเริ่มเข้าถึงสมาร์ทโฟนได้มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ Internet Banking มีผู้ใช้งาน 13 ล้านคน โดยเติบโตเกือบ 20% ต่อปี ขณะที่ข้อมูลโดยตรงจาก ME by TMB จะยิ่งเห็นชัดเจนว่า Mobile Banking เป็นช่องทางหลักของการทำธุรกรรมในปัจจุบัน โดย 98% ของลูกค้าใช้บัญชี ME ผ่าน Mobile Banking, 2% ผ่าน Call Center และเพียง 0.06% ใช้ผ่านสาขา
“จากทุกสิ่งที่ทำไป หากดูผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านจะเห็นได้ชัดว่าเรามาถูกทางแล้ว โดยจำนวนบัญชีเติบโตเฉลี่ย 110% ต่อปี มียอดเฉลี่ยเงินฝาก 205,253 บาทต่อบัญชี มีตั้งแต่ 30,000 บาทจนถึง 10 ล้านบาท มีจำนวนเงินฝากเติบโตเฉลี่ย 80% ต่อปี มีลูกค้าใหม่เฉลี่ย 20% ต่อปี ซึ่งในอนาคตเมื่อฐานเพิ่มขึ้นโต 20% ที่เราตั้งเป้าจะทำให้ได้ต่อไปจะเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ดังนั้น จากตัวเลขจะเห็นว่า สำหรับลูกค้าเขามองว่า ME เป็นแหล่งฝากเงินที่ดี ปลอดภัย น่าใช้ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทุกอย่างได้ทุกที่ หลากหลายช่องทาง ลืมมือถือ มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีอินเทอร์เน็ตมี Call Center ทำให้แทบไม่มีความจำเป็นต้องมาสาขาเลยจริงๆ มาแค่วันแรกยืนยันตัวตน เรียกว่าเป็น Digital Banking เต็มรูปแบบ” นางสาวรัชดากล่าว
ทยอยปิดสาขา ไม่จำเป็นอีกต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับแผนกลยุทธ์ในปี 2016 นางรัชดา กล่าวว่า ME by TMB กำลังจะก้าวไปสู่ Digital Banking เต็มรูปแบบที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เรียกว่าเป็น “บัญชีออนไลน์ 100%” โดยสามารถเปิดบัญชีด้วยการกรอกข้อมูลและส่งข้อมูลเอกสาร คล้ายกับการเสียภาษีออนไลน์ในปัจจุบัน และภายใน 24 ชั่วโมงพนักงานจะติดต่อกลับไปยืนยันว่าบัญชีได้เปิดเรียบร้อยแล้ว จากเดิมที่ต้องเปิดบัญชีธนาคารทหารไทยและใช้บริการ TMB Internet Banking ก่อน
นอกจากนี้ ME by TMB ยังมีแผนจะปิดสาขา 2-3 สาขา และจะเหลือเพียงสาขาเดียว ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่สะดวกมาสาขาอีกต่อไปแล้ว โดยสาขาที่ต้องเหลือไว้เพื่อรองรับลูกค้าบางส่วนที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับการทำธุรกรรมออนไลน์ อย่างน้อยยังสามารถมีทางเลือกอยู่
“ดังนั้น อีกหน่อย ME จะเป็นบัญชีที่คุณสามารถเปิดใช้ขอบริการทุกอย่าง คุณทำได้โดยไม่ต้องไปสาขาเลย แล้วอีกไม่นานอาจจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การทำธุรกรรมทางสาขามีด้วยเหรอ จำไม่ได้แล้ว มั่นใจว่าในอนาคตลูกค้าอาจจะลืมไปก็ได้ว่าคุณไปทำธุรกรรมที่สาขาได้นะ คุณทำธุรกรรมที่ ATM ก็ได้นะ เพราะทุกอย่าง On the move ติดตัวไปกับคุณเสมอ” นางสาวรัชดากล่าว
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
