ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 18-24 มิ.ย. 2559
ออกแล้ว ประชามติ “Brexit” สหราชอาณาจักรถอนตัวจากยุโรป
ที่มาภาพ: เว็บไซต์บีบีซี (http://www.bbc.com/news/politics/eu_referendum/results)
ในที่สุด การลงประชามติ “Brexit” หรือก็คือการให้ประชาชนในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ) ออกเสียงว่าจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปหรือไม่ ก็ได้ถูกจัดขึ้นและรู้ผลในวันที่ 23 มิ.ย. 2559 (เวลาท้องถิ่น) โดยผลออกมาว่า ฝ่ายที่ต้องการแยกตัวชนะการทำประชามติไปด้วยสัดส่วน 51.9 ต่อ 48.1 เปอร์เซ็นต์
เฟซบุ๊กบีบีซีไทยรายงาน ว่าในการลงประชามติดังกล่าว มีจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ 72 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 30 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ที่ออกเสียงให้รวมตัวนั้นมาจากลอนดอนและสกอตแลนด์ ที่เหลือโดยเฉพาะในย่านชนบท ภาคกลาง และเหนือของอังกฤษ ออกเสียงให้แยกตัว
ทั้งนี้ ผลการลงประชามติทำให้ค่าเงินปอนด์ตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทำให้นายจอห์น แมคดอนแนล รัฐมนตรีเงากระทรวงการคลังจากพรรคเลเบอร์บอกว่า ธนาคารชาติอังกฤษอาจจะต้องเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อพยุงค่าเงินปอนด์ที่วันนี้ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ถึง 3 เปอร์เซ็นต์
ส่วนนายไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรคเอกราชสหราชอาณาจักรหรือยูคิพ ที่ได้รณรงค์มาร่วม 20 ปีให้สหราชอาณาจักรออกจากอียูบอกว่า นี่เป็นชัยชนะของชาวบ้านคนธรรมดาสามัญ เขาบอกว่าประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ว่า วันนี้คือวันประกาศเอกราชของสหราชอาณาจักร พร้อมกันนั้นได้เรียกร้องให้นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีจากพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่สนับสนุนให้สหราชอาณาจักรยังอยู่กับอียูต่อไปให้ลาออกโดยทันที แหล่งข่าวในพรรคเลเบอร์บอกกับบีบีซีว่า หากสหราชอาณาจักรลงมติแยกตัวจากอียู นายคาเมรอนควรจะพิจารณาตัวเอง แต่ ส.ส. ในพรรคคอนเซอร์เวทีฟกลุ่มที่สนับสนุนให้แยกตัว ทั้งนายบอริส จอห์นสัน นายไมเคิล โกฟ ต่างลงชื่อในจดหมายขอให้นายคาเมรอนอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ว่าผลของประชามติจะออกมาเป็นอย่างไร
บีบีซีไทยรายงานว่า แม้ผลประชามติจะออกมาเช่นนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าสหราชอาณาจักรจะสิ้นสมาชิกภาพในสหภาพยุโรปในทันที แต่จะใช้เวลาในการถอนตัว 2 ปี หากนายเดวิด คาเมรอน ใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้ว สหราชอาณาจักรจะไม่สามารถกลับไปรวมตัวกับอียูได้อีกหากประเทศอื่นๆไม่ยินยอม และก่อนหน้านี้นายคาเมรอนบอกว่า ถ้าคนในสหราชอาณาจักรลงประชามติให้แยกตัว เขาจะใช้มาตรานี้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ บีบีซีไทยยังรายงานด้วยว่า นายฌอง มารี เลอแปง หัวหน้าพรรคแนวร่วมแห่งชาติ พรรคฝ่ายขวาของฝรั่งเศสทวีตข้อความในทวิตเตอร์ว่า นี่เป็นชัยชนะของเสรีภาพ และบอกว่า ชาวฝรั่งเศสควรจะมีสิทธิที่จะเลือกเช่นเดียวกัน ในเนเธอร์แลนด์ก็มีเสียงเรียกร้องให้มีการลงประชามติในลักษณะเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ ต่อผลการลงประชามติดังกล่าว นายเดวิด คาเมรอน ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้https://www.facebook.com/BBCThai/photos/a.1527194487501586.1073741828.1526071940947174/1788552311365801/?type=3&permPage=1
ลูกค้าตะลึง Ensogo ลาอาเซียน
21 มิ.ย. 2559 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า Ensogo “เว็บดีล” ชื่อดังซึ่งบริการซื้อขายสิทธิพิเศษในการใช้สินค้าและบริการต่างๆ ประกาศปิดกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีอีโอลาออกพร้อมเลิกจ้างพนักงาน อ้างตัดสินใจปิดร้านเพราะเตรียมสำรองเงินหากมีโอกาสระดมเงินลงทุนใหม่ในอนาคต
การประกาศปิดกิจการของ Ensogo นี้ถูกเปิดเผยเพราะแถลงการณ์โดยสำนักงานออสเตรเลีย ซึ่งระบุว่า Ensogo Australia จะหยุดสนับสนุนหน่วยธุรกิจมาร์เกตเพลส และการขายที่เกิดขึ้นจาก Ensogo สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากกิจการเหล่านี้จะปิดตัว และพนักงานทุกรายได้รับแจ้งข้อมูลแล้ว ส่วนการสื่อสารถึงลูกค้าจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วันนับจากนี้
เบื้องต้น ซีอีโอผู้ร่วมก่อตั้ง Ensogo อย่างคริส มาร์ซาเลก (Kris Marszalek) ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ทั้งหมดนี้ Ensogo ให้เหตุผลว่า การตัดสินใจปิดกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นเพื่อสำรองเงินสดของบริษัทไว้หากกรณีมีการระดมเงินทุนในอนาคต
ขณะเดียวกัน Ensogo ส่งเอกสารแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย Australian Securities Exchange เพื่อขอระงับการซื้อขายหุ้นต่อเนื่อง หลังของดซื้อขายหุ้นชั่วคราวเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมาตรการที่ Ensogo ต้องทำ เพราะราคาหุ้นตกต่ำเหลือเพียง 0.5 เหรียญออสเตรเลีย
ทั้งนี้ ดีลรายวัน หรือ Daily deal นั้นเป็นรูปแบบอีคอมเมิร์ซหนึ่งที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก เว็บไซต์ Daily deal จะไม่ได้ขายสินค้าเอง แต่จำหน่ายคูปองโปรโมชันลดราคาพิเศษสำหรับสินค้า บริการ ท่องเที่ยว และร้านอาหาร โดยวางหมากดึงดูดนักชอปด้วยกรอบเวลาที่บีบให้ต้องตัดสินใจซื้อภายในช่วงเวลาจำกัด (เช่น 24 หรือ 72 ชั่วโมง) ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้าได้เลือกโปรโมชันที่พึงพอใจ พร้อมกับร้านค้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ร้านโดยไม่ต้องลงทุนสูงเพื่อลงโฆษณา ขณะที่ตัวกลางอย่าง Ensogo ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการขายคูปอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหากลับเกิดขึ้นเมื่อร้านค้าเริ่มรู้สึกถึงความไม่คุ้มค่ากับการให้ส่วนลดในดีล เมื่อร้านลดคุณภาพบริการลง ผู้บริโภคจึงไม่พอใจ และไม่ซื้อดีลอย่างเคย ซึ่งเว็บไซต์ผู้ขายดีลจึงได้รับผลกระทบอย่างเป็นลูกโซ่
ก่อนหน้านี้ Ensogo ตัดสินใจปิดสำนักงานหลายแห่งเพื่อรวมศูนย์เข้าที่สิงคโปร์ ก่อนประกาศเลิกจ้างพนักงานเหลือไม่ถึง 300 คน จาก 600 คน ตั้งแต่ต้นปีนี้
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย พบว่า Ensogo มีรายรับรวมจากลูกค้าราว 16.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ (สิ้นสุด 31 มีนาคม) ขณะที่กระแสเงินสดรวม คือ 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เม็ดเงินที่ถือว่าน้อยเกินไปนี้สะท้อนถึงค่าใช้จ่ายที่ Ensogo มี จนอาจติดตัวแดงขาดทุนในปีนี้
อย่างไรก็ดี การปิดกิจการครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบถึงลูกค้าจำนวนมากซึ่งเป็นคนไทยด้วย เนื่องจากบางร้านประกาศงดรับดีลที่ซื้อมาจากทาง Ensogo แต่ในขณะเดียวกัน หลายร้านก็ยังคงรับดีลจนกว่าจะครบอายุของดีลนั้นๆ และบางร้านก็พลิกวิกฤติเป็นโอกาสโดยการยอมให้นำดีลจากร้านใดก็ได้มาใช้ที่ร้านตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเฟซบุ๊ก “รวมผู้ได้รับผลกระทบensogo” เพื่อเป็นที่รวมตัวกันปรึกษาปัญหา ให้ข้อมูลในการจัดการกับปัญหา และรายงานความคืบหน้าต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปิดกิจการครั้งนี้
นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ได้ออกมาให้คำแนะนำแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เจ้าของสินค้าหรือกิจการ ต้องยื่นหนังสือหรือดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกเงินค่าสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคได้ชำระผ่านช่องทางของ Ensogo โดยเร็วที่สุด 2. ผู้บริโภค สามารถร้องเรียนผ่านเลขหมาย 1212 หรือ สคบ.1166 หากพบเจ้าของสินค้าหรือบริการปฏิเสธการใช้คูปองของ Ensogo หรือในกรณีที่ผู้บริโภคไม่ประสงค์ใช้บริการก็มีสิทธิ์ขอยกเลิกบริการภายใน 45 วันนับตั้งแต่วันซื้อหรือขอรับบริการ หรือภายใน 30 วันตั้งแต่วันถึงกำหนดส่งมอบหรือบริการ นอกจากนี้ หากสามารถพิสูจน์ว่าไม่ได้รับสินค้าหรือบริการ ก็ยังสามารถแจ้งเรื่องไปยังธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตเพื่อขอให้ระงับการจ่ายเงินไปยัง Ensogo ส่วนผู้ที่ชำระด้วยเงินสดผ่าน Ensogo cash ก็สามารถประสานงานไปที่ 1212 ได้เช่นกัน
“บิ๊กต๊อก” ย้ำ ไม่ใช่ “อยู่กับยาเสพติด” แต่คือ “อยู่กับยาเสพติดอย่างไรให้สังคมปลอดภัย”
ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news/178842)
หลังจากกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ต่อการเสนอข่าวที่มีใจความไปในทางที่ว่า “บิ๊กต๊อก” พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประกาศ “ยอมแพ้” และเสนอว่าจะต้องอยู่ร่วมกับยาบ้าให้ได้ อีกทั้งกระแสยังลุกลามไปจนถึงขั้นว่า ต่อจากนี้ยาบ้าจะไม่ใช่ยาเสพติดผิดกฎหมาย
ร้อนถึง พล.อ. ไพบูลย์ ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้ง โดยย้ำว่าตนเองนั้นพูดว่า “เราจะอยู่กับยาเสพติดได้อย่างไร โดยที่สังคมต้องปลอดภัย ไม่เสียหายกับยาเสพติด มันต้องคิดวิธีการนี้ให้ได้”
โดย พล.อ. ไพบูลย์ ยังให้รายละเอียดอีกว่า “วันนี้โลกได้มองยาเสพติดเป็นเรื่องของสาธารณสุข เป็นเรื่องของสุขภาพ และการเข้าถึงยา มีส่วนผสมของยาเสพติดได้อย่างไร และมองเห็นคนเสพยาเสพติดเป็นคนป่วย เป็นโรคหนึ่งที่ต้องได้รับการบำบัดเยียวยาอย่างเหมาะสมจนหายขาด อันนี้คือกรอบและสิ่งเหล่านี้มีเหตุมีผลมีงานวิชาการว่าการประกาศสงครามกับยาเสพติดไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แนวคิดที่พูดกันมาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และหลายประเทศได้ดำเนินการไปแล้ว เขาอยู่กับยาเสพติดได้อย่างเหมาะสมโดยไม่เป็นภัยต่อสังคม”
นอกจากนี้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้อธิบายว่า จะมีการปรับทิศทางการจัดการกับยาเสพติดให้เป็นไปในทางดียวกับโลก คือมองผู้เสพว่าต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูมากกว่าจะเป็นผู้กระทำผิด โดยจะมีการพยายามเสนอกฎหมายใหม่ ที่เพิ่มหลักเกณฑ์ให้ศาลเป็นผู้พิจารณาประกอบกับพฤติการณ์กระทำผิดของแต่ละคน แทนการใช้ปริมาณสารบริสุทธิ์ของสารเสพติดหรือจำนวนเม็ด ให้ศาลใช้ดุลพินิจประกอบการพิจารณามายิ่งขึ้น เพื่อความสอดคล้องในหลักเกณฑ์ เพิ่มความหลากหลายการลงโทษมากขึ้น ส่วนผู้ค้ารายใหญ่จะยังคงมีโทษร้ายแรง
ด้าน นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า “การปรับเปลี่ยนนี้ เข้าใจว่าเพื่อต้องการลดการติดยาเสพติด ลดปัญหาอาชญากรรม ผมว่าก็น่าจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่จะออกมารูปแบบใด ยังไม่ทราบ คงต้องมีการศึกษาและดูแบบอย่างจากประเทศอื่นๆ อย่าลืมว่า ทุกอย่างต้องเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ หากจะถอยหลังหรือทำในแบบเดิมๆ อย่างเดียวอาจไม่เหมาะสมก็ได้”
มา-ไม่มา ค่าขยะ “170 ต่อบ้านต่อเดือน”
วันที่ 23 มิ.ย. 2559 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. …. ให้ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี เสนอเข้าพิจารณาในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มหาดไทย ซึ่งจะเป็นแกนหลักในการแก้ปัญหาขยะตามโรดแมปที่วางไว้ ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ สาธารณสุข อุตสาหกรรม โดยแผนระยะยาวจะแก้ปัญหาขยะทั้งระบบทั่วประเทศ 26 ล้านตันต่อปี กับขยะสะสมรวม 30 ล้านตันให้ลดลงมากที่สุด
ขณะเดียวกันจากที่ได้คำนวณต้นทุนการจัดเก็บพบว่า ต้นทุนการจัดเก็บอยู่ที่ 70 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ค่าขนขยะที่ 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน รวม 170 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชี้ขาดว่า จะจัดเก็บจากครัวเรือนเต็มจำนวนหรือค่อยๆ จัดเก็บเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดจนครบ 170 บาท จากปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับเมืองพัทยาจ่ายเงินงบประมาณค่าจัดเก็บและขนขยะปีละกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท และกรุงเทพมหานคร (กทม.) 6 พันล้านบาท แต่ อปท. จัดเก็บค่าธรรมเนียมได้เพียง 2.3 พันล้านบาท กทม. จัดเก็บได้ 500 ล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างหาแนวทางการนำขยะดังกล่าวไปใช้ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนซื้อขยะไปบริหารจัดการ เช่น ผลิตไฟฟ้า ซึ่งร่างกฎหมายฉบับใหม่จะเปิดให้เอกชนเข้าดำเนินการ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
“บิ๊กตู่” ให้ “วิษณุ” ดู ไทยไม่มีรายชื่อรับเงินเยียวยา GT200
เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2559 เวลา 14.30 น. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวถึงกรณีที่ทางสำนักงานตรวจเงินเเผ่นดิน (สตง.) จะดำเนินการส่งเรื่องให้ทางศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตเเห่งชาติ (ศอตช.) ตรวจสอบการจัดซื้อ “เครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะส่งก็ส่งไป เพราะทาง สตง. ชี้เเจงว่าหากตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องเเล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เพราะผลิตออกมาเเล้วหลายประเทศก็ได้ใช้ ซื้อตามกันมา ตอนนี้ตนยังตอบไม่ได้ เป็นเรื่องของกฎหมาย ส่วนราคากลางของเเต่ละหน่วยงานที่มีความเเตกต่างกันก็ให้ไปตรวจสอบมา
ผู้สื่อข่าวถามต่อในกรณีที่ศาลอังกฤษตัดสินให้ผู้ผลิตจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้เเก่ผู้ที่ซื้อไป เเต่ในรายชื่อผู้ได้รับเงินเยียวยานั้นไม่มีหน่วยงานของประเทศไทย พล.อ. ประยทธ์ กล่าวว่า ทำไมไม่มีเรา ทำไมเราไม่ร้อง เดี๋ยวก็ต้องร้อง หน่วยงานของเราก็มีอยู่ ร้องไปตามช่องทางที่มีอยู่เดิม ถ้าร้องไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่ ถ้าเยียวยาได้เราก็อยากได้เงินเยียวยา จะทำได้หรือไม่ให้รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม เป็นคนไปดูฝ่ายกฎหมาย
ทั้งนี้ ก่อนจบการสัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีให้ตบโพเดียมด้วยเสียงอันดัง พร้อมกล่าวว่า “ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง ประเทศก็ไปไม่ได้” ก่อนจะเดินออกจากตึกบัญชาการไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
