ThaiPublica > คอลัมน์ > การข่มขืนกระทำชำเราเเละการต้มชาให้คนอื่นกิน: the tea-rape analogy

การข่มขืนกระทำชำเราเเละการต้มชาให้คนอื่นกิน: the tea-rape analogy

7 เมษายน 2016


ณัฐวุฒิ เผ่าทวี
www.powdthavee.co.uk

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองผมได้เปิด YouTube เข้าไปฟังเพลงไทยเก่าๆ ตอนสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เเละในขณะที่ผมกำลังฟังเพลงสนุกๆ ของวงไอน้ำที่มีชื่อว่า “รักคนมีเจ้าของ” อยู่นั้น (ซึ่งเนื้อเรื่องของมิวสิควิดีโอเพลงนี้มีอยู่ว่า ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งไปเเอบรักผู้หญิงคนหนึ่ง เเต่ผู้หญิงคนนี้มีเเฟนอยู่เเล้ว ผู้ชายหน้าตาดีคนนี้จึงใช้เวลาในมิวสิควิดีโอนี้คิดว่าควรจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะชนะใจผู้หญิงคนนี้ได้) ผมก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่งตอนที่เพื่อนของพระเอกพูดขึ้นมา ณ นาทีที่ 2:27 ว่า “มึงก็ฉุดเลยสิเว้ย เดี๋ยวกูช่วย”

โชคดีที่พระเอกตอบกลับไปว่า “กูเเค่อยากบอกให้เขารู้ ว่ากูชอบ”

มาตรฐานสังคมไทยของการเป็น patriarchal society

ผมเชื่อว่าอาจจะมีคุณผู้อ่านหลายๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ที่กำลังคิดว่า “เเล้วไงล่ะ มันผิดตรงไหน คนเขียนคิดมากไปเองหรือเปล่า” ซึ่งผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องเเปลกนะครับที่หลายๆ ท่านอาจจะคิดอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเราเกือบทุกคนโตมาในสังคมที่ผู้ใหญ่เเละสื่อต่างๆ นานา (อย่างเช่น ละครไทย เป็นต้น) สอนให้พวกเราคิดว่า “ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง” มาตั้งเเต่เด็กๆ เเละด้วยการที่เราเติบโตมาในสังคมที่เป็น patriarchy หรือสังคมที่มีผู้ชายส่วนใหญ่เป็นคนกุมอำนาจในการตัดสินใจหลายๆ อย่างของไทยเรานั้นเอง มันจึงไม่น่าเเปลกใจเลยว่าทำไมพวกเราหลายๆ คนจึงมักจะคิดว่าหลายๆ สิ่งที่ผู้ชายกระทำไม่ดีกับผู้หญิงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดมาตรฐานสังคมเเต่อย่างไร ซึ่งหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ว่านี้ได้รวมการข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงเข้าไปด้วย

เเละการที่ผู้ชายมี mindset ที่เป็น patriachy เช่นนี้ก็ทำให้ผู้ชายไทยหลายๆ คน (รวมไปทั้งผู้หญิงที่ไม่เคยถูกกระทำกับตัวหลายๆ คน) มีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับคำว่าความยินยอม หรือ consent ของผู้ถูกกระทำในคดีหลายๆ คดีที่เกี่ยวข้องกันกับการข่มขืนกระทำชำเราได้

ยกตัวอย่างงานวิจัยของ ดร.นันทพันธ์ ชินล้ำประเสริฐ อาจารย์ประจำที่คณะพยาบาลของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัน (ABAC) ที่พบว่านิสิตนักศึกษาไทยส่วนใหญ่มักคิดว่า

a) ผู้ชายไม่ผิดกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เมาเหล้าเเล้วหมดสติไป ถ้าก่อนหมดสตินั้นผู้หญิงคนนี้ได้ “ให้ท่า” กับผู้ชายไปตั้งเเต่ต้นเเล้ว
b) ผู้หญิงเป็นฝ่ายที่ผิดเองถ้าเเต่งตัวโป๊จนถึงขนาดทำให้ผู้ชายต้องขาดสติได้
c) ถ้าเเต่งงานกันเเล้ว ผู้ชายไม่ผิดกับการใช้เเรงบังคับผู้หญิงให้มีเพศสัมพันธ์กับเขา ถึงเเม้ว่าตัวผู้หญิงจะไม่ต้องการก็ตาม เป็นต้น

เเล้วเรามีวิธีไหนบ้างที่จะสอนให้คนเหล่านี้เข้าใจได้ว่า ความยินยอมของฝ่ายหญิง (ซึ่งก็รวมไปถึงความยินยอมของฝ่ายชายด้วยในกรณีอื่นๆ) เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่คนสองคนจะสามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้

Introducing the British Police

เพื่อที่จะทำให้คนเข้าใจถึงความสำคัญของความยินยอมของคนในกรณีการข่มขืนกระทำชำเราได้มากขึ้น ทางตำรวจประเทศอังกฤษก็ได้สร้างวิดีโอที่เป็น infographic ที่ค่อนข้างน่ารักขึ้นมาชิ้นหนึ่ง วิดีโอนี้มีชื่อว่า Consent: It’s simple as tea (เเปลเป็นไทยก็คือ ความยินยอม: เข้าใจได้ง่ายเหมือนกับการดื่มชา)

ใจความของวิดีโอมีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

a) ถ้าคุณถามเพื่อนของคุณว่า “กินชาไหม” เเล้วเพื่อนของคุณตอบว่า “กิน” เเล้วคุณทำชาให้เขากินเเล้วเขาก็กิน อันนี้โอเค เเต่…

b) ถ้าคุณถามเพื่อนของคุณว่า “กินชาไหม” เเล้วเพื่อนของคุณตอบว่า “อืม ไม่เเน่ใจอะ” ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณจะต้มชาให้เพื่อนของคุณก็ได้เเล้วเเต่คุณ เเต่คุณต้องรู้ว่าเพื่อนของคุณอาจจะเลือกกินชาทีหลังก็ได้ อันนี้เเล้วเเต่เขา เเต่ถ้าเขาเลือกที่จะไม่กิน เเละข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่คุณควรจะเข้าใจ อย่าเอาชากรอกปากให้เขากิน ถึงเเม้ว่าคุณจะเป็นคนที่ต้มชาขึ้นมาก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะเอาชาไปกรอกปากให้เพื่อนคุณกินได้

c) เเละถ้าคุณถามเพื่อนของคุณว่า “กินชาไหม” เเล้วเพื่อนของคุณตอบว่า “ไม่กิน” คุณไม่ต้องไปต้มชาเลย ไม่ต้องเอาชาไปกรอกปากให้เพื่อนคุณกินด้วย เเละอย่าไปโกรธเพื่อนคุณเพียงเพราะเขาไม่ต้องการที่จะกินชา

d) เเละถ้าคุณถามเพื่อนของคุณว่า “กินชาไหม” เเล้วเพื่อนของคุณตอบว่า “กิน” เเต่พอคุณต้มชาเสร็จเเล้วนำมาให้เขากินเเล้วเขาเกิดเปลี่ยนใจไม่กิน ถึงเเม้ว่าคุณอาจจะรู้สึกหงุดหงิดบ้าง เพราะคุณเป็นคนต้มชามาเเล้วเขากลับเลือกที่จะไม่กิน เเต่ยังไงมันก็ยังเป็นสิทธิ์ของเพื่อนของคุณที่เขาจะเลือกไม่กินชาที่คุณต้มมา คนเราเปลี่ยนใจกันได้ เพราะฉะนั้น คุณก็ไม่สามารถที่จะไปบังคับให้เขากินชาที่คุณต้มมาได้

e) เเละถ้าเพื่อนคุณหมดสติไป อย่าไปต้มชาให้เขาดื่ม เเละอย่าไปกรอกชาให้เขาดื่มในขณะที่เขากำลังหมดสติอยู่ เพราะคนที่หมดสติอยู่นั้นไม่ต้องการกินชา เเละคนที่หมดสติอยู่ก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถาม “กินชาไหม” ของคุณได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าเขากำลังหมดสติอยู่

f) เเละถึงเเม้ว่าตอนที่คุณถามเขาว่า “กินชาไหม” ตอนที่เขายังมีสติอยู่เเล้วเขาตอบว่า “กิน” เเต่หลังจากที่คุณต้มชาเสร็จเเล้วนั้นเพื่อนของคุณได้หมดสติไป สิ่งที่คุณควรจะทำคือวางเเก้วชาลง เช็คว่าเพื่อนของคุณยังโอเคไหม เเละที่สำคัญ อย่าเอาชาไปกรอกปากให้เพื่อนคุณกินในขณะที่เขาหมดสติอยู่

g) เเล้วถ้าเพื่อนของคุณเริ่มดื่มชาที่คุณต้มมาให้ เเต่เขากลับหมดสติไปเสียก่อนที่จะกินชาจนหมดเเก้ว อย่าเอาชาที่เหลืออยู่ไปกรอกปากให้เขากินจนหมด นั่นก็เป็นเพราะว่า คนที่หมดสติอยู่นั้นไม่ต้องการกินชา ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม

h) เเละถ้าเพื่อนของคุณกินชาของคุณไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะกินชาที่คุณต้มทุกวันหลังจากนั้น เเละนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะไปหาเพื่อนคุณถึงที่บ้านของเขาโดยที่ไม่ได้นัดหมายเพื่อนำชาของคุณไปให้เขากิน ด้วยเพียงเหตุผลเเค่ว่า “ก็เห็นอยากกินชาไปเมื่อวันเสาร์ที่เเล้วนี่”

เเละถ้าคุณสามารถที่จะทำความเข้าใจได้ว่ามันบ้าบอคอเเตกขนาดไหนที่จะไปบังคับให้คนอื่นเขามากินชาที่คุณต้มถ้าเขาไม่อยากจะกินล่ะก็ มันก็ไม่น่าจะเข้าใจยากนักเวลาเราคิดถึงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์กับคุณ

เอาเป็นว่าเข้าใจกันทั่วถึงนะครับ

อ่านเพิ่มเติม
Chinlumprasert, N. 2001. Date rape perceptions of Thai university students. AU.J.T., 5(1), 37-58. (ดูที่นี่).